ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน
‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’
ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน
“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”
“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก
“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย
“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตากฝนรอ แล้วกลับมาคนเดียวน่ะ”
“ครับ” เขาพยักหน้ารับ ดวงตาแข็งกร้าวอย่างถือดี
เพียะ! เสียงฝ่ามือกระทบหน้าของคนพูดดังลั่น เด็กชายรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
“พ่อไม่คิดเลยว่าแกจะเหลวไหลและใจแคบแบบนี้ จำไว้นะ ถ้าหนูทรายเป็นอะไรไป แกต้องรับผิดชอบ!” พูดจบคนพูดก็ผลุนผลันออกไปทันที ทิ้งให้เด็กชายยิ่งนิ่งดุจศิลา มือยังคงกุมแก้มที่เพิ่งลิ้มรสโทสะของผู้เป็นพ่อ ในใจเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส ในที่สุดพ่อก็เห็นคนอื่นดีกว่าเขาอย่างที่แม่พูดจริงๆ
คุณไกรภพขับรถฝ่าสายฝนด้วยใจที่ร้อนรน ดวงตาสอดส่ายหาร่างเล็กไปด้วย เขาผิดเองที่บอกให้หนูน้อยรอกลับบ้านพร้อมลูกชาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าพีรภัทรรู้สึกอย่างไรกับเด็กคนนั้น แต่ไม่นึกเลยว่าลูกชายของเขาจะใจร้ายใจดำได้ถึงขนาดนี้ พอมาถึงหน้าโรงเรียนคุณไกรภพก็แทบจะหัวใจสลายเมื่อเห็นร่างเล็กจ้อยนั่งกอดเข่าตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บท่ามกลางสายฝน และเมื่อเห็นเด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองตามแสงไฟหน้ารถทั้งน้ำตา หัวใจของคุณไกรภพก็อ่อนยวบ ดวงหน้าหวานที่มีส่วนคล้ายกับใครคนหนึ่งที่ฝังลึกในหัวใจเสมอมา
ศศิลดาพี่ขอโทษ... หนูทรายลุงขอโทษ
“คุณลุง!” ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ มองร่างที่วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ ร่างเล็กขยับลุกอย่างทุลักทุเล หากพอจะยืนขึ้นได้ก็รู้สึกว่าพื้นโคลงเคลง ก่อนโลกจะวูบดับไปพร้อมสติอันน้อยนิดนั้น
“หนูทราย!” คุณไกรภพเบิกตาค้าง รีบวิ่งเข้ามารับร่างเล็กไว้อย่างตกใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น พีรภัทรรีบตื่นเร็วกว่าปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจของเด็กชายร้อนรุ่มจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ตลอดคืนที่ผ่านมาเขาได้แต่เดินวนไปวนมาในห้องนอน พลางคอยเงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ ทั้งคืน แก้มข้างที่ถูกตบยังคงระบม แต่มันก็ยังไม่เท่ากับหัวใจที่ถูกกระหน่ำทุบด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกินใจ
‘เด็กนั่นจะเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วถ้าเด็กนั่นเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ คุณพ่อจะว่าอย่างไร คงโกรธเกลียดและผิดหวังในตัวเขาจนไม่อาจให้อภัยเลยเป็นแน่’ เด็กชายได้แต่คิดอย่างกระวนกระวาย พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้าน หวังว่าจะเห็นคนเป็นพ่อ หรือไม่ก็คนอื่นๆ ในบ้านบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง เขาจึงตัดสินใจเดินไปทางห้องครัวหลังบ้าน
“โจ๊กได้หรือยังล่ะป้า”
“โอ้ย ฉันก็เร่งมืออยู่เนี่ย จะรีบไปไหน ปกติวันหยุดพวกคุณๆ ตื่นเกือบเที่ยงไม่ใช่เรอะ”
“ก็เอาไปให้แม่คุณหนูเรือนเล็กน่ะสิป้า เกิดพิเรนทร์อะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ไปยืนตากฝนจนไข้จับเข้าให้ ฉันเห็นคุณผู้ชายอุ้มเข้ามาเมื่อคืน หน้างี้ซี้ดซีดจะตายหรือเปล่าไม่รู้นะป้า”
“อ้าว แล้วอยู่ดีๆ ไปยืนตากฝนทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิป้า สงสัยจะเรียกร้องความสนใจมั้ง ว่าแต่ใกล้เสร็จหรือยังล่ะป้า” คนพูดหันมาเร่ง
“เออๆ รอเดี๋ยว แกน่ะอยู่ว่างๆ ก็ช่วยไปเตรียมหยิบปิ่นโตของเรือนนู่นมาเตรียมด้วยแล้วกัน ยกไปทีเดียวจะได้ไม่เสียเวลา” คนพูดสั่งไปคนโจ๊กในหม้อไปอย่างไม่สนใจ พออีกฝ่ายเตรียมของที่สั่งเสร็จ ก็เกิดปวดท้องจึงขอไปเข้าห้องน้ำ แล้วพอกลับเข้ามาอีกที ก็เห็นปิ่นโตวางไว้เถาเดียวจึงหันมาถามอย่างแปลกใจ
“พี่โท!” โทรินทร์ อ้าแขนกว้างรับร่างอรชรของอีกฝ่ายที่โถมตัวเข้ามากอดอย่างเต็มใจ ตรีรักษ์แอบปาดน้ำตาก่อนค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องเงียบๆ เปิดโอกาสให้คนทั้งสองอยู่ตามลำพัง“มาเมื่อไหร่คะ ทำไมไม่บอกกันก่อน” ศุภิสราละล่ำละลักถามด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา“ถ้าบอกแล้วเจ้าสาวคนสวยจะเซอร์ไพรส์เหรอจ๊ะ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ พลางยื่นมือมาช่วยซับน้ำตาให้“พี่โทหายไปไหนมาคะ ทำไมไม่ส่งข่าวมาบ้างเลย รู้ไหมทรายคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงด้วย แล้วทำไมตัวดำแบบนี้ล่ะ”“แหม มาอีกคนละ พี่จะตอบข้อไหนก่อนดีล่ะเนี่ย” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางประคองดวงหน้าหวานซึ้งขึ้นอย่างพิจารณา “ ว้าว วันนี้เจ้าสาวของพี่สวยจริงๆ...”“อะแฮ่ม เจ้าสาวของใครนะ” เสียงกระแอมหนักๆ ขัดคอขึ้นในทันใด พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู สีหน้าหล่อเหลาดูขึงขังเอาเรื่อง “พูดผิดพูดใหม่ได้นะ แล้วช่วยเอามือของนายออกไปจากเจ้าสาวของฉันด้วย ผู้หญิงคนนั้นของฉัน ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปห่างๆ เลย”“เอ๊ะ พี่เพชร!” ศุภิสราปรามเสียงเข้ม พลางถลึงตาดุใส่เจ้าบ่าวของตน ทำเอาคนเตรียมหาเรื่องหน้าเจื่อนลงทันตา ภาพนั้นทำให้โทรินทร์หลุดหัวเราะออกมาอย่างขำขันปนสะใจ“หัวเราะห
ชายหนุ่มในชุดสูททักซิโด้สีขาวสุดเท่ผู้หนึ่งกำลังยืนทอดสายตามองไปยังป้ายชื่อของโรงแรมกึ่งรีสอร์ตสุดหรูเบื้องหน้าอย่างพิศวงทรายเทียมเพชร แกรนด์โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต“ทรายเทียมเพชรงั้นเหรอ!” ไม่เลวแฮะ ชื่อเพราะ ความหมายดี ที่คนวงนอกอาจจะเพียงนึกชื่นชมคนตั้งชื่อที่เข้าใจนำเอาชื่อเล่นของเจ้าของโรงแรมและคู่หมั้นสาวมาร้อยเรียงกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว หากทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้ง แต่หนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็มี ‘เขา’ คนหนึ่งล่ะที่รู้ดีโทรินทร์ วรรณยุกต์ กระตุกยิ้มมุมปากนึกในใจอย่างขำขัน ไม่ต้องบอกก็รู้ไอ้โรงแรมนี่ใครใหญ่สุดดูเหมือนว่า ‘ไอ้ขี้เก๊ก’ คนนั้นกำลังจะโดนกรรมตามทันเข้าให้แล้ว สม! หลังจากผ่านพ้นงานวันนี้ไปคนเป็นเจ้าบ่าวก็คงได้กลัวเมียหงอไปชั่วชีวิตแน่ นึกแล้วคุณหมอหนุ่มก็อยากจะหัวเราะให้ลั่นโลก สะใจนัก ในที่สุดเจ้าคนที่หยิ่งผยองคับฟ้านั่นก็ต้องมาสยบลงให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพียงเพราะคำว่า... รัก... คำเดียว และไอ้ป้ายชื่อโรงแรมนี่ไงคือเครื่องพิสูจน์ว่า...‘ศุภิสรา’ คือเม็ดทรายที่มีคุณค่าเทียมเทียบเพชร หรือไม่ก็อาจเหนือกว่า! สี่ปีแล้วสินะที่เขาไม่
สี่ปีต่อมา เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นตามคำพูดนั้นได้จริง!พีรภัทรวางหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวการขยายสาขาและเปิดตัวโรงแรมแห่งใหญ่ล่าสุดของเขาลงอย่างพอใจ หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อจะบริหารกิจการของบิดาให้มั่นคง รวมถึงขยายกิจการออกไป ร่างสูงใหญ่มองออกไปนอกหน้าต่าง ใครจะไปเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่เขาเคยเอ่ยกับผู้หญิงที่รักไว้จะกลายเป็นจริงขึ้นมาในวันนี้ โรงแรมกึ่งรีสอร์ตหรูริมชายหาดสวยติดทะเลคืออนุสรณ์แห่งความรักที่เขามีต่อเธอผู้นั้น“คุณเพชรคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”“ใครกันครับ นัดไว้หรือเปล่า ”“เอ่อ... ไม่ทราบค่ะ”“อ้าว” ชายหนุ่มอุทานลั่น “แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่ามีธุระอะไร”เลขานุการสาวส่ายหน้ายิ้มๆ มองเจ้านายหนุ่มรูปหล่อผู้เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งเมือง แถมยังเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงติดท็อปไฟว์ของเมืองไทยเวลานี้อย่างมีเลศนัย“เปล่าค่ะ แต่เธอให้บอกแค่ว่าจะคอยคุณที่หาดทรายเพชรค่ะ” พีรภัทรครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด... ที่หาดทรายเพชร หญิงสาวร่างบางระหงผู้หนึ่งกำลังยืนทอดสายตามองผืนทะเลสีฟ้าครามเบื้องหน้าปล่อยหัวใจล่องลอยไปไกลแสนไกล จนกระทั่งมีอ้อมแขนของใครคนหนึ
“นายต้องการอะไร”“ฉันต้องการความมั่นใจจากคนที่น้องทรายรักน่ะสิ” คนพูดต้องกล้ำกลืนความขมปร่าลงไปอย่างยากเย็น ในใจเพียรบอกกับตัวเองเป็นครั้งที่ร้อย...เขาทำเพื่อผู้หญิงที่เขารัก ทำเพื่อน้องทราย เขาเจ็บแค่ไหนก็ได้เพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บ!พีรภัทรมองแววตาของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ“ฉันสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องเธอให้มีความสุขและไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดตลอดไป’“ถ้าเมื่อไหร่ที่นายผิดคำพูด วันนั้นฉันจะมาทวงหัวใจของฉันกลับคืน จำเอาไว้ด้วย!”“จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด ฉันขอสัญญา!” โทรินทร์รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนยื่นซองจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งให้ พร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร“งั้นฉันขอฝากนายดูแลเธอด้วยนะ... ขอให้นายโชคดี!”ที่วังรวิภาส งานหมั้นจวนจะถึงฤกษ์พิธีอยู่แล้ว หากกลับไม่มีวี่แววของว่าที่คู่หมั้นหนุ่มจะมาถึงสักที หม่อมราชวงศ์รัชชากรณ์ผุดลุกผุดนั่งอย่างหัวเสีย ไอ้เจ้าหมอเวรนั่นมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน หรือมันจะเบี้ยว “ทำยังไงดีคะคุณพี่ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว น้องเกรงว่า...” หม่อมราชวงศ์พิมพ์อรุณรวีเอ่ยอย่างเป็นกังวล แลเห็นแขกผู้ใหญ่เริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายมองหน้ากันไปมาอย่างอึดอัด มี
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร พี่โทมาเมื่อไหร่คะ ทำไมไม่ได้ยินเสียงรถเลย” คนพูดทำยิ้มกลบเกลื่อน หากโทรินทร์ไม่ยอมปล่อยผ่าน เขาจับไหล่ทั้งสองของเธอไว้ แล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาแสนเศร้าระทมทุกข์คู่นั้น“ไม่ไว้ใจพี่แล้วใช่ไหม หรือเห็นพี่โทคนนี้เป็นคนอื่น” คุณหมอหนุ่มตัดพ้ออย่างน้อยใจ นั่นทำให้อีกฝ่ายต้องยอมจำนน ศุภิสราถอนหายใจเฮือก นึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องเป็นทุกข์อยู่เวลานี้‘ฉันรักพี่เพชร รักมานานแล้ว’ ดวงหน้าจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาเศร้าสลดอย่างน่าสงสาร ‘อีกไม่นานฉันกับพี่เพชรก็จะแต่งงานกัน’‘แล้วคุณมาบอกฉันทำไมกันคะ ทำไมไม่ไปบอกเขาเอง’‘เพราะฉันอยากให้เธอเห็นใจในความรักของเราสองคน ตั้งแต่เธอกลับเข้ามาในชีวิตพี่เพชร เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก เพราะเขาสงสารที่เคยทำไม่ดีกับเธอมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกผิดที่เขามีต่อเธอเท่านั้น ฉันขอร้องล่ะ อย่าแก้แค้นเขาด้วยการทำให้พี่เพชรต้องรู้สึกผิดต่อเธอมากไปกว่านี้เลยนะ ฉันทนเห็นเขาต้องมาเป็นทุกข์แบบนี้ไม่ได้’ คำนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ‘ฉันรู้ว่าเธอก็รักเขาเหมือนกัน อาจดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ช่วยหลีกทางใ
“อย่าห่วงเลยครับ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันสายไปแล้ว สิ่งที่ผมบอกแม่ไปมันไม่มีวันเป็นจริงได้ ระหว่างผมกับเธอ ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่เม็ดทรายธรรมดาแต่เป็น ‘หม่อมหลวงศุภิสรา รวิภาส’ ลูกสาวมหาเศรษฐีที่รวยล้นฟ้า เขามีผู้ชายดีๆ ที่รักเขา และเขาก็รักผู้ชายคนนั้นมาก อีกไม่นานทั้งสองก็จะแต่งงานกัน แล้วชีวิตของเราสองคนก็จะเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้อีก เพราะฉะนั้นถึงผมจะรู้สึกยังไงก็ไม่สำคัญแล้ว” ปลายเสียงห้าวลึกสั่นสะท้าน“ตาเพชร!” สีหน้าเจ็บปวดของลูกชายทำให้ผู้เป็นแม่สะท้อนใจ“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่เป็นไร” คนพูดฝืนยิ้มทั้งที่หัวใจกำลังร้องไห้ “ ก็แค่ต้องทนเจ็บอีกครั้ง แล้วมันก็จะผ่านพ้นไปเหมือนทุกครั้ง แต่ผมยังยืนยันคำเดิม ผมจะไม่แต่งงานกับน้องเฟื่อง และนอกจากทรายแล้ว ผมก็ไม่แต่งงานกับใครตลอดชีวิต ” พีรภัทรหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว“คุณแม่ครับ ผมขออยู่คนเดียวสักพักได้ไหม ได้โปรดเถอะนะครับ แล้วหลังจากนี้ถ้าคุณแม่อยากให้ทำอะไรผมก็จะตามใจทุกอย่าง แต่ยกเว้นเรื่องแต่งงานเรื่องเดียวเท่านั้น แล้วจะให้ผมขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงระโหยอย่างคนสิ้นหวัง คุณพราวพิไลเดินคอต