นอกจากนี้ นางยังซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีกสิบหมู่ และสร้างทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ดังกล่าว ทำเป็นห้องแถวสิบห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวและครัวพร้อม เผื่อว่าในอนาคตจะมีการขยายกิจการ หรือใช้พื้นที่ตรงนั้นปลูกผลไม้และพืชผักในขนาดที่ใหญ่ขึ้นโฉนดที่ดินของท่านแม่ทัพ หลังจากที่หยางฉิงไปสำรวจแล้ว นางวางแผนว่าในอนาคตจะใช้พื้นที่ตรงนั้นสร้างโรงเตี๊ยมขาจรสำหรับนักเดินทางทั้งหลายในขณะเดียวกัน นางก็ผลักดันให้ชาวบ้านปลูกพริก โดยรับซื้อทั้งหมดเอง นางมีแผนจะทำน้ำมันพริกขายในอนาคต เนื่องจากบริเวณนี้ขาดแคลนพริกเป็นอย่างมาก หยางฉิงเป็นผู้นำเมล็ดพันธุ์ไปให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยประกาศแจ้งแก่ชาวบ้านที่สนใจ พร้อมรับซื้อในราคาจินละห้าสิบอีแปะ เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่พวกเขานับตั้งแต่ที่ผู้ใหญ่บ้านป่าวประกาศ ก็เริ่มมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่สนใจทดลองปลูกพริก เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย อีกทั้งไม่ต้องลงทุนหาเมล็ดพันธุ์เอง ส่งผลให้ชาวบ้านมองหลี่เซิงและหยางฉิงในแง่ดีขึ้นขณะนี้ นางได้ซื้อที่ดินว่างในหมู่บ้านเพิ่มอีกแห่ง และกำลังให้คนสร้างโรงเรือนแบบโปร่ง เพื่อให้สามารถระบายอากาศได้ดี โดยตั้งใจใช้เป็นสถานท
หลังจากที่ท่านแม่ทัพและท่านอ๋องสามเดินทางกลับไปแล้ว หยางฉิงก็เดินตรวจตราชั้นสามของร้าน ตอนนี้มีคุณหนูหลายคนนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งนางจัดไว้เป็นพิเศษ บริเวณรอบๆ ชั้นสาม นางปลูกดอกกุหลาบป่าเป็นไม้เลื้อย พาดผ่านแนวรั้วไม้ ดอกไม้เหล่านี้ออกดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายที่หาได้ยากในเมืองหลวง บริเวณนั้นยังมีน้ำตกจำลองเดิมอยู่แล้ว นางเพียงแค่จัดแต่งเพิ่มเติมให้ดูสมจริงยิ่งขึ้นตลอดทั้งวัน ลูกจ้างทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายจนไม่มีโอกาสได้หยุดพักเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากปิดร้านเรียบร้อย หยางฉิงจึงเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าร้านนางมองใบหน้าของแต่ละคน แม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข หยางฉิงจึงกล่าวขึ้น“ที่ข้าเรียกทุกคนมาวันนี้ ก็เพราะอยากจะขอบใจทุกคนที่ช่วยดูแลร้านเป็นอย่างดี แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นทาสที่ข้าซื้อมาก็ตาม” นางหยุดมองพวกทาสที่นางรับมา แล้วกล่าวต่อ “แต่ข้าอยากให้พวกเจ้าคิดเสียว่า พวกเจ้าก็เป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์เช่นเดียวกับลูกจ้างทั่วไป ไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองเป็นทาส”หลังจากหยางฉิงพูดจบ ทาสทั้งห้าคนต่างหันไปมอ
สิ้นเสียงของหยางฉิง ประทัดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กึกก้องไปทั่วบริเวณผู้คนตื่นเต้นกับคำกล่าวของหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงาม และสนใจในสินค้าที่ถูกประกาศออกมา สำหรับลูกค้าเก่าที่เคยมาซื้อสินค้าจากร้าเทียนเจินถังมาก่อน ต่างรีบเข้าไปเลือกซื้อผลไม้และผักที่ต้องการทันที ขณะที่บรรดาคุณหนูที่เดินผ่านไปมา เมื่อได้ยินว่ามีพื้นที่พักผ่อนบนชั้นสาม ก็เริ่มให้ความสนใจและพากันขึ้นไปดูส่วนชั้นสองมีประตูกั้นไว้ ผู้ที่ต้องการเข้าไปจำเป็นต้องจ่ายเงินก่อน เนื่องจากภายในเป็นสถานที่จำหน่ายยาหายาก นางจึงใช้แผนการนี้เพื่อป้องกันปัญหาหยางฉิงยืนเคียงข้างหลี่เซิง มองดูผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในร้านด้วยความภาคภูมิใจ ร้านของนางเต็มไปด้วยลูกค้า แต่ก็ไม่มีปัญหาการแย่งชิงสินค้ากัน เพราะของทุกอย่างถูกเตรียมไว้เพียงพอต่อความต้องการขณะที่นางกำลังชื่นชมผลจากความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายวันที่ผ่านมา เสียงฮือฮาของผู้คนก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ พวกเขาแหวกทางเดินออกจนเผยให้เห็นบุคคลที่เป็นต้นเหตุของเสียงนั้นหยางฉิงเงยหน้ามอง แล้วก็พบกับชายหนุ่มใบหน้าคุ้นตา ‘ท่านแม่ทัพ!’เมื่อเห็นว่าเป็นหวังจวิ้นเจี้ยง นางกับหลี่เซิงจึงรีบออกไปต้อนรับเขา
นางยังนำดอกไม้จากในสวนมาทำเป็นชาสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย และทำให้นอนหลับสนิท รวมถึงตัวยาอื่น ๆ อีกหลายชนิดแต่สิ่งที่นางทำเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษคือ ยาน้ำรักษาโรคร้าย เพียงแค่ดื่มเข้าไป ไม่ว่าโรคชนิดใดก็สามารถรักษาหายได้ทันที ซึ่งยานี้มีเพียงแค่สิบขวดเท่านั้น...บนชั้นสาม หลังจากที่หลี่เซิงไปหาดินประสิวมาเพื่อใช้ในการทำน้ำแข็ง หยางฉิงก็จัดการปรับแต่งดินประสิวนั้นเพื่อกำจัดสารพิษออก จากนั้นนางนำดินประสิวมาผสมกับเกลือจนสามารถทำให้น้ำแข็งตัวได้ จากนั้นก็ทุบให้เป็นก้อนเล็ก ๆ เพื่อใช้แช่เครื่องดื่มที่เตรียมไว้บนชั้นนี้ชั้นสามถูกจัดให้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งผ่อนคลาย ดื่มชาและน้ำผลไม้คั้นสดที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ นางยังทำขนมเล็ก ๆ ไว้รับประทานคู่กับเครื่องดื่ม ส่วนใหญ่จะเป็นวุ้นมะพร้าว วุ้นส้ม หรือวุ้นผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งผงวุ้นเหล่านี้ นางมีอยู่ในมิติของตนเอง และบางส่วนก็นำออกมาจากมิติเมื่อใกล้ถึงวันเปิดร้าน หยางฉิงและหลี่เซิงจึงไปซื้อทาสมาเพิ่มอีกห้าคน เป็นชายสองคน และหญิงสามคน ซึ่งหญิงทั้งสามมีอายุราวสี่สิบปี แต่ละคนมีฝีมือด้านการทำอาหารเป็นอย่างดี ส่วนชายอีกสองคนมีวรยุทธติดตัว
“วันนี้ขายเป็นเช่นไรบ้าง?” หลี่เซิงเอ่ยถามหยางฉิง“ก็พอขายได้ แม้จะไม่ดีเท่ากับที่เก่า แต่ก็พอรับได้ เพราะยังไม่ค่อยมีใครรู้จักร้านของเราเท่าไหร่” นางตอบพร้อมเดินไปตักข้าวมาให้เขา เพราะคิดว่าเขาคงยังไม่ได้กินข้าว“แล้วท่านเล่า? ไปคุยกับท่านพ่อมาเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านยอมหรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ พลางตั้งใจฟังคำตอบของเขารอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของหลี่เซิง “ท่านพ่ออนุญาตแล้ว ท่านแม่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ ข้านำเงินห้าตำลึงกับโสมที่เจ้าให้ไว้ไปมอบให้ท่านพ่อกิน ข้าเห็นว่าท่านดูอ่อนแอลงมาก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางนึกถึงท่าทีของบิดา...หยางฉิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ข้าไม่ได้ว่าอะไรท่านหรอก แต่ข้ามีเรื่องที่คิดเอาไว้อยู่ ก่อนที่ท้องของข้าจะใหญ่จนไม่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้ หลังจากเปิดร้านแล้ว ข้ายังอยากสร้างบ้านใหม่ตรงสวนสักหน่อย ในช่วงเวลานั้น ข้าจะให้พี่หลี่ชวนช่วยดูแลให้ เมื่อเสร็จแล้ว ข้าจะได้กลับไปอยู่บ้าน ส่วนร้านค้าตรงนี้ ข้าจะไปซื้อทาสมาคอยเฝ้าระวังและช่วยทำงานบ้าน ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”ที่จริงหลี่เซิงก็คิดไว้เช่นกัน “แล้วแต่เจ้า ตอนนี้ท่านตาทำงานเป็นอย่างไรบ้าง?” เขา
อู๋เจิงเงยหน้ามอง เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่เซิง นางก็เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “หลี่เซิงหรือ? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” นางแทบไม่ได้พบเขาบ่อยนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญ“ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ พี่ใหญ่ของข้าไปไหนหรือ?” หลี่เซิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นพี่ชาย เห็นเพียงหลานชายที่นั่งยิ้มให้“ท่านอาหลี่เซิง ข้าจะไปตามท่านพ่อให้เองขอรับ!” เด็กชายพูดจบก็รีบวิ่งออกไปทันทีอู๋เจิงมองตามลูกชายที่วิ่งจากไป นางยังไม่ทันได้ห้ามเขา “ดูเด็กคนนี้สิ ยิ่งโตยิ่งดื้อนัก” นางถอนหายใจแต่ก็แฝงรอยยิ้ม“เด็กกำลังโตก็เป็นเช่นนี้” หลี่เซิงกล่าวอย่างเอ็นดู เขากลับมองว่าหลานชายของเขาเป็นเด็กกล้าแสดงออกมากกว่าไม่นานนัก หลี่เจ๋อก็วิ่งลากพี่ชายของเขากลับมา“เจ้ารีบไปไหนกัน? ท่านอาของเจ้าไม่ได้จะหายไปไหนเสียหน่อย” หลี่ชวนกล่าวเตือนลูกชายด้วยน้ำเสียงเรียบ“ท่านอางานยุ่งมากมาย ข้ากลัวว่าท่านจะรีบกลับเสียก่อน” แม้จะเป็นเด็ก แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับท่านอามาจากชาวบ้านอยู่บ้าง…หลี่ชวนมองลูกชายด้วยท่าทางเหนื่อยใจ ตั้งแต่วันที่เขาไม่ปล่อยให้ครอบครัวต้องดิ้นรนเพียงลำพัง ก็เริ่มเห็นรอยยิ้มของภรรยาและลู