LOGIN‘เฟิ่งจิงหรง’ โง่งมถึงขั้นกระโดดน้ำประชดเรียกร้องความสนใจจาก ‘เซียวจิ้นอวิ๋น’ ทว่าเขากลับประกาศยกเลิกงานหมั้นต่อหน้าผู้คน หักหน้าและหยามเกียรตินางไปแต่งกับ ‘ไป๋หว่านชิง’ แทน นางกลับโง่เขลาเลือกสละชีวิต ดำดิ่งลงสู่สายน้ำ… และสิ้นใจไป กระทั่งวิญญาณอีกดวงได้เข้ามาแทนที่ และเพียงเพราะการช่วยเหลือครั้งแรกของ ‘จ้าวอวี้หมิง’ กลับกลายเป็นวาสนาที่ผูกมัดไปชั่วชีวิต ครั้งหนึ่งย่อมมีครั้งที่สอง และเมื่อมีครั้งที่สอง…ก็ย่อมเป็นเพราะสวรรค์ได้กำหนดเอาไว้แล้ว
View Moreหากเอ่ยถึงคุณหนูสกุลเฟิ่งคงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักจนถอนหายใจอย่างเอือมระอา ด้วยชื่อเสียงอันอื้อฉาวเลื่องลือไปทั่ว ทั้งความเอาแต่ใจและนิสัยร้ายกาจที่พูดทั้งวันก็มิอาจบรรยายได้หมดสิ้น
สกุลเฟิ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ทว่าหลังจากที่นายท่านเฟิ่งรับช่วงต่อจากบิดาผู้เฒ่า แม้จะมีภรรยาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เวลากลับล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีโดยยังไร้บุตรสืบสกุล ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นสกุลเฟิ่งมีทายาทสืบต่ออีกหนึ่งรุ่น ได้อุ้มหลานสักครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ ทว่าเวลากลับล่วงเลยปีแล้วปีเล่า ก็ยังคงไร้วี่แววข่าวดี และแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว นางก็ยังคงเข้าวัดวาไม่เว้นวัน กราบไหว้บูชาขอพรให้สกุลเฟิ่งไม่สิ้น ท่ามกลางเสียงทักท้วงของผู้คนมากมายที่เอ่ยเย้ยหยันว่าวันหนึ่งตระกูลเฟิ่งย่อมสิ้นทายาทสืบทอดอย่างแน่นอน จนเมื่อเวลาล่วงเลยไปปีแล้วปีเล่า เส้นผมของทั้งสองพลางขาวโพลนทั่วหัว ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าก็ไม่อาจรอคอยได้อีก สุดท้ายก็สิ้นลมจากไปด้วยโรคชรา แต่แม้ร่างกายจะดับสูญ วิญญาณกลับยังคงเป็นห่วงกังวล ไม่อาจปล่อยวางและหลับใหลได้อย่างสงบอยู่ดี กระทั่งวันหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศที่ยังโศกเศร้า เพราะสกุลเฟิ่งยังคงไว้ทุกข์ต่อการจากไปของต้นไม้ใหญ่ของตระกูล เฟิ่งฮูหยินที่แต่งเข้าสกุลเฟิ่งมานานนับสิบปีไม่เคยมีวี่แววตั้งครรภ์ กลับกลายเป็นว่าตั้งครรภ์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ! พอข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองราวกับไฟลามทุ่งหญ้าแห้ง ผู้คนต่างแตกตื่น บ้างก็เอ่ยแสดงความยินดีต่อสกุลเฟิ่ง บ้างกลับหัวเราะเยาะและตั้งข้อครหา ว่าหรือแท้จริงแล้วสวรรค์กำลังกลั่นแกล้ง เพราะทายาทที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน กว่าจะได้มากลับไม่ใช่บุตรชาย หากแต่เป็น…บุตรสาวแทน! ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวหรือบุตรชาย ท่านเฟิ่งกลับมิได้ถือสา เขาคอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดช่วงตั้งครรภ์ เอาใจใส่และตามใจทุกสิ่งอย่างที่นางปรารถนา จนกระทั่งวันเวลาล่วงเลยผ่านไปบุตรในครรภ์ที่ทะนุถนอมมาอย่างดีกำเนิดออกมา…เป็นบุตรสาว แม้จะถูกผู้คนเย้ยหยันว่า สกุลเฟิ่งสิ้นไร้ผู้สืบทอดแต่ทว่านายท่านเฟิ่งหาได้ใส่ใจไม่ เขากลับเลี้ยงดูบุตรสาวราวกับบุตรชาย ให้เรียนรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์เติบโตไม่แพ้บุรุษ ทว่าในคราเดียวกันก็ยังคงตามใจอย่างถึงที่สุด ไม่ว่านางต้องการสิ่งใด ล้วนหามาให้หมดสิ้น เฟิ่งฮูหยินกับนายท่านเฟิ่งอยู่กินร่วมกันมาหลายสิบปี แม้จะรักใคร่กลมเกลียวแต่กลับประสบเคราะห์ยากที่จะมีบุตรอีกครั้ง จนกระทั่งเมื่อคุณหนูเฟิ่งเติบโตพ้นวัยปักปิ่น ราวกับสวรรค์เมตตา เฟิ่งฮูหยินกลับตั้งครรภ์อีกครั้งทั้งที่อายุมากแล้ว ดังนั้น เพื่อไม่ให้บุตรสาวคนโตเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งคู่จึงเอาอกเอาใจอย่างถึงที่สุด และยังคาดหวังว่าทารกในครรภ์ครั้งนี้จะเป็นบุตรชาย ข่าวดีก็ไม่นานเกินรอ เฟิ่งฮูหยินให้กำเนิดบุตรชาย สมใจอย่างที่รอคอย นายท่านเฟิ่งถึงขั้นจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกอยู่หลายวันหลายคืน ถึงแม้จะได้บุตรชายไว้สืบทอดสกุลสมใจอยากแล้ว แต่ด้วยความรักของบิดาที่ไม่แบ่งแยก เขายังคงตามใจบุตรสาวเช่นเคย ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดก็หามาให้ได้ทั้งสิ้น กระทั่งบุรุษที่นางหมายตาก็ต้องได้มาเป็นสามีของคุณหนูสกุลเฟิ่ง! นายท่านเฟิ่งถึงขั้นไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจบีบคั้นอีกฝ่ายให้จำใจรับบุตรสาวตนเป็นภรรยา… จนกระทั่งเรื่องใหญ่ปะทุขึ้น เมื่อจู่ๆ คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋น คู่หมั้นของคุณหนูเฟิ่งกลับป่าวประกาศไปทั่วทั้งเมืองว่าจะยกแม่สื่อไปสู่ขอคุณหนูสกุลไป๋เป็นภรรยา และยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลเฟิ่งแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำเช่นนี้ย่อมเปรียบประหนึ่งว่าตบหน้าสกุลเฟิ่งต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง เฟิ่งจิงหรย่อมรู้สึกถูกหยามเกียรติ เสียทั้งศักดิ์ศรีและขายหน้าอย่างถึงที่สุด ทว่าเหนือกว่านั้นคือไฟโทสะที่ลุกโชนในใจของนาง ด้วยนิสัยเอาแต่ใจ ดื้อรั้นและไม่เคยยอมใคร อีกทั้งยังชิงชัง ไป๋หว่านชิงอยู่เดิมที เมื่อเซียวจิ้งอวิ๋นสละนางเลือกอีกฝ่ายเป็นภรรยา ทั้งที่สตรีทั่วหล้ามากมายแต่กลับเลือกผู้ที่นางเกลียดขี้หน้า ความแค้นและความอับอายจึงปะปนกันจนลุกลามเป็นเพลิงไฟที่ไม่อาจดับ หากกล่าวว่านางคือ นางร้ายในบทละคร เช่นนั้นอีกฝ่ายก็คงเป็นปีศาจในคราบดอกบัวขาวกระมัง! เฟิ่งจิงหรงเดือดดาลล้วนกับถูกฉกชิงสมบัติล้ำค่าจากอกไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางจึงทำทุกวิถีทางอย่างน่าสมเพช เพียงเพื่อดึงเซียวจิ้งอวิ๋นกลับคืนมาโดยไม่สนว่าวิธีการจะเลวร้ายหรือทำลายศักดิ์ศรีเพียงใด ราวกับสุนัขหวงกระดูก ขอเพียงได้ยืนอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง นั่นก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว ถ้อนคำครหาด่าทอของผู้คนยิ่งโหมซ้ำเติม ภาพลักษณ์ของคุณหนูเฟิ่งที่ผู้คนเอือมระอา และกลายเป็นที่นินทาพูดถึงหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เฟิ่งจินหรงกลับหาได้สนใจ ไม่ยอมหยุด ความแค้นและความสิ้นหวังค่อยๆ ประทุในใจจนคับแน่น นางทำทุกอย่างแล้ว ทั้งเรียกร้องความสนใจด้วยถ้อยคำพูดและการกระทำทุกอย่าง แต่เซียวจิ้งอวิ๋นกลับไม่สนใจ…นางโกรธจนเลือดลมพุ่งพล่านราวกับกระอักกระเลือดขาดอากาศหายใจ สุดท้ายความดื้อรั้นและเอาแต่ใจที่ซุกซ่อนมานานจึงทำได้แม้กระทั่ง…กระโดดลงแม่น้ำประชดประชันเพื่อหวังว่าเซียวจิ้งอวิ๋นจะเหลียวหลังกลับมามองอีกสักครั้ง… ณ จวนสกุลเฟิ่ง เสียงน้ำกระแทกดังก้องในความมืด...ร่างกายเหมือนถูกกดทับจนหายใจไม่ออก หัวใจที่เพิ่งหยุดเต้นเพราะความเจ็บปวดแสนสั้นในโลกปัจจุบันกลับเหมือนถูกบีบให้เต้นอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินผา ลมหายใจแผ่วเบาเจือกลิ่นยาขมแสบปลายจมูก เสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นดังแว่วขึ้นข้างกาย ทำให้สติเลือนรางค่อยๆ ถูกดึงกลับมา “อึก!” “คุณหนู…อย่าทิ้งบ่าวไปนะเจ้าคะ” น้ำเสียงร้องไห้สั่นเครือของสาวใช้ปานจะขาดใจ ทันใดนั้น ดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้น ร่างทั้งร่างสะท้านไหวราวกับถูกดึงขึ้นมาจากห้วงน้ำเย็นยะเยือก เสียงไอสำลักน้ำดังต่อเนื่อง จนลำคอเจ็บแสบและจมูกขื่นขมไปด้วยกลิ่นคาวคลุ้ง “คุณหนู! คุณหนูฟื้นแล้ว!” เสียงแหลมสั่นเครือดังขึ้นข้างหู พร้อมกับโผเข้ามาประคองด้วยน้ำตานองหน้า หญิงสาวหอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเบิกกว้างมองรอบกายอย่างพร่ามัว เพดานไม้เก่าที่ไม่คุ้นตา กลิ่นสมุนไพรฉุนร้อนลอยอบอวล และสตรีแปลกหน้าที่เรียกตนว่าคุณหนู นี่…ที่ไหนกัน? เกิดอะไรขึ้นยังไม่ได้อีกเหรอ ไม่ใช่ว่าหัวใจของเราหยุดเต้นไปแล้วนี่? มือเรียวของนางยกขึ้นลูบใบหน้าตนเองอย่างสับสน แต่สิ่งที่สัมผัสกลับไม่ใช่โครงหน้าที่คุ้นเคย หากเป็นผิวเนียนละเอียดและเส้นผมดำยาวสลวยราวแพรไหม ความทรงจำสุดท้ายในหัวกลับเป็นภาพเลือดท่วม แสงไฟวาบวับก่อนที่ทุกสิ่งดับวูบไป พร้อมกับมีความทรงจำแปลกปลอมไหลทะลักเข้ามาในห้วงสำนึก ภาพของคุณหนูตระกูลเฟิ่งผู้เลื่องชื่อเฟิ่งจิงหรงบุตรีคนเดียวของตระกูลกระโดดน้ำประชดประชันชีวิต...เหตุการณ์คุ้นเคยเหมือนในนิยายเล่มโปรด ยังไม่ทันได้หาคำตอบ เสียงโหวกเหวกนอกห้องก็ดังขึ้น “แย่แล้ว! แย่แล้ว! นายท่านเฟิ่งบุกไปจวนสกุลเซียวแล้ว!” เสียงร้องตื่นตกใจดังขึ้นพร้อมฝีเท้าที่เร่งรีบ สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือนด้วยลมหายใจหอบกระเส่า เสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง นางกวาดตามองรอบห้องอย่างร้อนรน แต่ทันใดนั้นกลับสะดุดเข้ากับร่างสตรีบนเตียงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา สายตาที่ควรจับจ้องเพียงแค่ชั่ววูบกลับแข็งค้างเหมือนถูกตรึงไว้ ความตกใจทำให้ริมฝีปากสั่นเครือจนคำพูดติดอยู่ในลำคอ “คุ…คุณหนู!” เสียงขาดห้วงราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความจริงหรือเพียงภาพลวงตา สตรีบนเตียง เฟิ่งจิงหรงในร่างใหม่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ม่านตาสั่นไหวก่อนจะหันไปมองสาวใช้ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ ในแววตาที่เคยเอาแต่ใจกลับเจือด้วยความแปลกแยกและเยือกเย็นที่ไม่เคยมีมาก่อน ลมหายใจของนางสะท้านสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน หัวใจของนางเต้นรัวจนแทบทะลุออกจากอก ยิ่งภาพความทรงจำแปลกปลอมไหลทะลักเข้ามามากเท่าใด ความเป็นจริงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “เฟิ่ง…จิงหรง” นางพึมพำชื่อออกมาอย่างไม่แน่ใจ เสียงสั่นแผ่วเบาจนแทบไม่ใช่เสียงของตนเอง ในห้วงความทรงจำปรากฏเรื่องราวมากมายตั้งแต่ต้นจนจบของคุณหนูสกุลเฟิ่งผู้เอาแต่ใจ ทั้งการหมั้นหมายกับคุณชายเซียวที่ถูกยกเลิกกระหันหันก่อให้เกิดความอับอายกลายเป็นความโกรธแค้นที่ผลักดันให้นางกระโจนลงแม่น้ำ… ทุกอย่างไม่ต่างอะไรกับโครงเรื่องในนิยายเล่มโปรดที่เคยอ่านยามว่างในโลกเดิม นิยายที่นางเพิ่งอ่านค้างไว้ก่อนหัวใจวายตาย! “นี่…อย่าบอกนะว่า…!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ลมหายใจติดขัดราวกับไม่กล้าสรุปความคิดนั้นออกมาเต็มปาก “ฉัน…ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคุณหนูจอมร้ายกาจจริงๆ” นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ ความเย็นชืดของความจริงบีบคั้นจนต้องกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้หลุดเสียงกรีดร้องออกมา ชะตากรรมของบทเฟิ่งจิงหรง…นางร้ายที่ถูกเหยียบย่ำ ถูกหัวเราะเยาะเย้ย และสุดท้ายถูกเขี่ยทิ้งจนตายอนาถ… หัวใจดวงน้อยพลันสั่นไหว พร้อมกับความโกรธเกนี้ยวแล่นไปทั่วทั้งร่าง หากสวรรค์ส่งนางเขามาอยู่ในร่างนี้…ต่อให้จะมีชะตากรรมเลวร้ายเช่นใด มันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก! “คุณหนู! คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ที่ยืนมองอยู่ข้างเตียงถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เฟิ่งจิงหรงหรือควรกล่าวว่า นางในร่างใหม่หันไปสบตาอีกฝ่าย ก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางที่ไม่เหมือนคุณหนูผู้เอาแต่ใจในความทรงจำแม้แต่น้อย รอยยิ้มนั้นสงบเยือกเย็น แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “ข้ายังไม่ตาย” นางเอ่ยช้าๆ แต่กลับหนักแน่น คล้ายเป็นต้องการประกาศกับสาวใช้และตัวเองบรรยากาศภายในห้องโถงอาหารเงียบกริบลงชั่วขณะเมื่อคำถามของนายท่านเฟิ่งหลุดออกมา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังคุณชายจ้าวด้วยความคาดหวัง…ไม่เว้นแม้แต่เฟิ่งจิงหรงนางลอบเหล่หางตามองบุรุษข้างกาย หาได้หันไปสบตาเขาโดยตรง ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะหันไปมองบิดาราวกับห้ามปราม“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น พลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฮือกหนึ่ง นางหาได้ต้องการบีบบังคับให้จ้าวอวี้หมิงต้องรู้สึกกดดัน อึดอัดหรือลำบากใจอันใด“กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นชืดแล้วไม่อร่อยได้”เฟิ่งฮูหยินเข้าใจได้ว่าบุตรสาวคงรู้สึกลำบากใจใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะปรายไปมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า “นายท่านเฟิ่งเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น คุณชายจ้าวอย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ”พอสิ้นคำ จ้าวอวี้หมิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมฉายแววครุ่นคิดอย่างชัดเจน มุมปากหนาผุดรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบก่อนจะยกตะเกียบคีบอาหารวางลงชามให้สตรีข้างกายราวกับเป็นสิ่งที่ควรทำ หาใช่เรื่องแปลก“คุณหนูเฟิ่งงดงามไม่น้อย ข้าว่าบุรุษใดที่เห็นแล้วก็ต้องหันกลับมามองทั้งสิ้น”ถ้อยคำเรียบง่ายกลับหนักแน่นดั่งหินผา ดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องโถงร
หลายวันผ่านไป หลังงานมงคลใหญ่ระหว่างสกุลเซียวและสกุลไป๋เสร็จสิ้น ทว่าเสียงซุบซิบนินทาก็ยังไม่ยอมจางหาย ข่าวคราวต่างเล่าลือกันไม่หยุด ว่าเจ้าบ่าวหรือคุณชายเซียวหาได้ชืนมื่นหรือมีสีหน้ายินดีไม่ แววตากลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมยามได้เห็นอดีตคนรักอย่างคุณหนูเฟิ่งมาร่วมงาน แถมยังเผลอทอดสายตามองด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียเองส่วนคุณหนูไป๋ผู้เป็นเจ้าสาว แม้ใบหน้าจะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมผืนบาง แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับขุ่นมัวและหม่นหมอง หาได้เบิกบานแต่อย่างใดเฟิ่งจิงหรงหาได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นนัก หากคนร้อยคนเอ่ยปากก็เป็นร้อยความหมาย นางไม่อยากเก็บมาใส่ใจว่าเซียวจิ้นอวิ๋นจะยังคงเหลือเยื่อใยหรือไม่…?หรือคุณหนูไป๋จะทุกข์ใจเพียงใด…?เพราะนับจากวันที่นางเอ่ยปากหยอกล้อชักชวนบุรุษผู้นั้นให้มาเยือนจวนเล่นๆ ก็ไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากนั้น จ้าวอวี้หมิงจะเริ่มแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง พร้อมข้ออ้างที่ชวนให้หัวเราะอยู่ร่ำไป“ข้าผ่านมาทางนี้พอดี…ในรถม้ามีขนมติดมาจึงนำมาฝาก”หรือไม่ก็ “วันนี้ฝนตกหนักยิ่งนัก ข้าเลยแวะมาดูว่าหลังคาเรือนคุณหนูเฟิ่งรั่วหรือไม่”เฟิ่งจิงหรงถึงกับหัวเราะร่อออกมาจนเ
ยามเช้าของวันงานแต่ง แม้ว่าบรรยากาศจะอบอวลไปด้วยความเป็นมงคล ทั้งจวนสกุลไป๋และสกุลเซียวต่างเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี หากแต่ภายใต้ความครึกครื้นนั้นกลับเจือปนด้วยความหม่นหมองของคู่บ่าวสาวไป๋หว่านชิงสวมชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน ใบหน้างดงามถูกคลุมด้วยผ้าผืนบางรอคอยให้เจ้าบ่าวเป็นผู้เปิดในคืนเข้าหอ นางกล่าวลามารดาอยู่เพียงสองสามประโยค ก่อนจะขึ้นเกี้ยวรถม้า โดยมีสาวใช้คอยประคองอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่างว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ของเจ้าสาวควรเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ทว่าในห้วงความคิดลึกๆ ของไป๋หว่านชิงกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ภาพของสตรีผู้นั้นยังคงฉายชัดในความทรงจำ และทุกครั้งที่นึกถึง แววตาของจ้าวอวี้หมิงที่ทอดมองสตรีผู้นั้นก็มักแวบขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงฆ้องกลองและขบวนแห่เจ้าสาวดังขึ้นเอิกเกริกผู้คนมากมายต่างออกมายืนเบียดเสียดสองข้างทางเพื่อรอชมงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเดิมทีแล้วงานแต่งครั้งนี้ผู้ที่ควรได้เป็นเจ้าสาวคือคุณหนูเฟิ่งหากแต่ชะตากลับพลิกผัน กลายเป็นคุณหนูไป๋ซึ่งเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลพ่อค้า กลับได้วาสนาดีแต่งเข้าสกุลขุนนางใหญ่โตขบวนเกี้ยวเคลื่อนไปยังจุดหม
บรรยากาศยามบ่ายคล้อยภายในจวนสกุลเฟิ่งเงียบสงัด มีสายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านสวนดอกเหมย กลีบดอกสีแดงสดโปรยปรายร่วงลงบนพื้นหินที่ชื้นเย็น เฟิ่งจิงหรงเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานก็พาลอารมณ์เสีย จนเหล่าสาวใช้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา นางกระทืบเท้าเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายประกายแข็งกร้าว ทั้งตลอดทางน้ำเสียงหวานยังบ่นพึมพำไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ออกจากสกุลจ้าวจนถึงจวน“หึ! สกุลจ้าวหรือจะอดอยากถึงเพียงนั้น ขนมหวานพรรค์นั้นใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแต่ข้าอยากเจอหน้าเขาต่างหาก หาใช่อยากกินสิ่งใดเสียเมื่อไร!” นางบ่นพลางผลักบานประตูเรือนเสียงดัง กระแทกกำแพงจนเหล่าสาวใช้พากันก้มหน้าก้มตาเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงทว่าไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หอบหายใจแรงพลางรายงานเสียงตะกุกตะกัก “คุณหนูเจ้าคะ! คุณชายจ้าว…มาขอพบเจ้าค่ะ!”เฟิ่งจิงหรงสะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึงคลายลงชั่วขณะ ก่อนเชิดหน้าขึ้น ปั้นสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ราวกับไม่สนใจใยดีทว่าภายในใจกลับลอบยิ้ม เกรงว่าตอนนี้นางคงมีน้ำหนักไม่น้อยในใจบุรุษผู้นั้น เ











