LOGIN‘เฟิ่งจิงหรง’ โง่งมถึงขั้นกระโดดน้ำประชดเรียกร้องความสนใจจาก ‘เซียวจิ้นอวิ๋น’ ทว่าเขากลับประกาศยกเลิกงานหมั้นต่อหน้าผู้คน หักหน้าและหยามเกียรตินางไปแต่งกับ ‘ไป๋หว่านชิง’ แทน นางกลับโง่เขลาเลือกสละชีวิต ดำดิ่งลงสู่สายน้ำ… และสิ้นใจไป กระทั่งวิญญาณอีกดวงได้เข้ามาแทนที่ และเพียงเพราะการช่วยเหลือครั้งแรกของ ‘จ้าวอวี้หมิง’ กลับกลายเป็นวาสนาที่ผูกมัดไปชั่วชีวิต ครั้งหนึ่งย่อมมีครั้งที่สอง และเมื่อมีครั้งที่สอง…ก็ย่อมเป็นเพราะสวรรค์ได้กำหนดเอาไว้แล้ว
View Moreหากเอ่ยถึงคุณหนูสกุลเฟิ่งคงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักจนถอนหายใจอย่างเอือมระอา ด้วยชื่อเสียงอันอื้อฉาวเลื่องลือไปทั่ว ทั้งความเอาแต่ใจและนิสัยร้ายกาจที่พูดทั้งวันก็มิอาจบรรยายได้หมดสิ้น
สกุลเฟิ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ทว่าหลังจากที่นายท่านเฟิ่งรับช่วงต่อจากบิดาผู้เฒ่า แม้จะมีภรรยาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เวลากลับล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีโดยยังไร้บุตรสืบสกุล ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นสกุลเฟิ่งมีทายาทสืบต่ออีกหนึ่งรุ่น ได้อุ้มหลานสักครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ ทว่าเวลากลับล่วงเลยปีแล้วปีเล่า ก็ยังคงไร้วี่แววข่าวดี และแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว นางก็ยังคงเข้าวัดวาไม่เว้นวัน กราบไหว้บูชาขอพรให้สกุลเฟิ่งไม่สิ้น ท่ามกลางเสียงทักท้วงของผู้คนมากมายที่เอ่ยเย้ยหยันว่าวันหนึ่งตระกูลเฟิ่งย่อมสิ้นทายาทสืบทอดอย่างแน่นอน จนเมื่อเวลาล่วงเลยไปปีแล้วปีเล่า เส้นผมของทั้งสองพลางขาวโพลนทั่วหัว ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าก็ไม่อาจรอคอยได้อีก สุดท้ายก็สิ้นลมจากไปด้วยโรคชรา แต่แม้ร่างกายจะดับสูญ วิญญาณกลับยังคงเป็นห่วงกังวล ไม่อาจปล่อยวางและหลับใหลได้อย่างสงบอยู่ดี กระทั่งวันหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศที่ยังโศกเศร้า เพราะสกุลเฟิ่งยังคงไว้ทุกข์ต่อการจากไปของต้นไม้ใหญ่ของตระกูล เฟิ่งฮูหยินที่แต่งเข้าสกุลเฟิ่งมานานนับสิบปีไม่เคยมีวี่แววตั้งครรภ์ กลับกลายเป็นว่าตั้งครรภ์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ! พอข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองราวกับไฟลามทุ่งหญ้าแห้ง ผู้คนต่างแตกตื่น บ้างก็เอ่ยแสดงความยินดีต่อสกุลเฟิ่ง บ้างกลับหัวเราะเยาะและตั้งข้อครหา ว่าหรือแท้จริงแล้วสวรรค์กำลังกลั่นแกล้ง เพราะทายาทที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน กว่าจะได้มากลับไม่ใช่บุตรชาย หากแต่เป็น…บุตรสาวแทน! ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวหรือบุตรชาย ท่านเฟิ่งกลับมิได้ถือสา เขาคอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดช่วงตั้งครรภ์ เอาใจใส่และตามใจทุกสิ่งอย่างที่นางปรารถนา จนกระทั่งวันเวลาล่วงเลยผ่านไปบุตรในครรภ์ที่ทะนุถนอมมาอย่างดีกำเนิดออกมา…เป็นบุตรสาว แม้จะถูกผู้คนเย้ยหยันว่า สกุลเฟิ่งสิ้นไร้ผู้สืบทอดแต่ทว่านายท่านเฟิ่งหาได้ใส่ใจไม่ เขากลับเลี้ยงดูบุตรสาวราวกับบุตรชาย ให้เรียนรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์เติบโตไม่แพ้บุรุษ ทว่าในคราเดียวกันก็ยังคงตามใจอย่างถึงที่สุด ไม่ว่านางต้องการสิ่งใด ล้วนหามาให้หมดสิ้น เฟิ่งฮูหยินกับนายท่านเฟิ่งอยู่กินร่วมกันมาหลายสิบปี แม้จะรักใคร่กลมเกลียวแต่กลับประสบเคราะห์ยากที่จะมีบุตรอีกครั้ง จนกระทั่งเมื่อคุณหนูเฟิ่งเติบโตพ้นวัยปักปิ่น ราวกับสวรรค์เมตตา เฟิ่งฮูหยินกลับตั้งครรภ์อีกครั้งทั้งที่อายุมากแล้ว ดังนั้น เพื่อไม่ให้บุตรสาวคนโตเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งคู่จึงเอาอกเอาใจอย่างถึงที่สุด และยังคาดหวังว่าทารกในครรภ์ครั้งนี้จะเป็นบุตรชาย ข่าวดีก็ไม่นานเกินรอ เฟิ่งฮูหยินให้กำเนิดบุตรชาย สมใจอย่างที่รอคอย นายท่านเฟิ่งถึงขั้นจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกอยู่หลายวันหลายคืน ถึงแม้จะได้บุตรชายไว้สืบทอดสกุลสมใจอยากแล้ว แต่ด้วยความรักของบิดาที่ไม่แบ่งแยก เขายังคงตามใจบุตรสาวเช่นเคย ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดก็หามาให้ได้ทั้งสิ้น กระทั่งบุรุษที่นางหมายตาก็ต้องได้มาเป็นสามีของคุณหนูสกุลเฟิ่ง! นายท่านเฟิ่งถึงขั้นไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจบีบคั้นอีกฝ่ายให้จำใจรับบุตรสาวตนเป็นภรรยา… จนกระทั่งเรื่องใหญ่ปะทุขึ้น เมื่อจู่ๆ คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋น คู่หมั้นของคุณหนูเฟิ่งกลับป่าวประกาศไปทั่วทั้งเมืองว่าจะยกแม่สื่อไปสู่ขอคุณหนูสกุลไป๋เป็นภรรยา และยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลเฟิ่งแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำเช่นนี้ย่อมเปรียบประหนึ่งว่าตบหน้าสกุลเฟิ่งต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง เฟิ่งจิงหรย่อมรู้สึกถูกหยามเกียรติ เสียทั้งศักดิ์ศรีและขายหน้าอย่างถึงที่สุด ทว่าเหนือกว่านั้นคือไฟโทสะที่ลุกโชนในใจของนาง ด้วยนิสัยเอาแต่ใจ ดื้อรั้นและไม่เคยยอมใคร อีกทั้งยังชิงชัง ไป๋หว่านชิงอยู่เดิมที เมื่อเซียวจิ้งอวิ๋นสละนางเลือกอีกฝ่ายเป็นภรรยา ทั้งที่สตรีทั่วหล้ามากมายแต่กลับเลือกผู้ที่นางเกลียดขี้หน้า ความแค้นและความอับอายจึงปะปนกันจนลุกลามเป็นเพลิงไฟที่ไม่อาจดับ หากกล่าวว่านางคือ นางร้ายในบทละคร เช่นนั้นอีกฝ่ายก็คงเป็นปีศาจในคราบดอกบัวขาวกระมัง! เฟิ่งจิงหรงเดือดดาลล้วนกับถูกฉกชิงสมบัติล้ำค่าจากอกไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางจึงทำทุกวิถีทางอย่างน่าสมเพช เพียงเพื่อดึงเซียวจิ้งอวิ๋นกลับคืนมาโดยไม่สนว่าวิธีการจะเลวร้ายหรือทำลายศักดิ์ศรีเพียงใด ราวกับสุนัขหวงกระดูก ขอเพียงได้ยืนอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง นั่นก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว ถ้อนคำครหาด่าทอของผู้คนยิ่งโหมซ้ำเติม ภาพลักษณ์ของคุณหนูเฟิ่งที่ผู้คนเอือมระอา และกลายเป็นที่นินทาพูดถึงหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เฟิ่งจินหรงกลับหาได้สนใจ ไม่ยอมหยุด ความแค้นและความสิ้นหวังค่อยๆ ประทุในใจจนคับแน่น นางทำทุกอย่างแล้ว ทั้งเรียกร้องความสนใจด้วยถ้อยคำพูดและการกระทำทุกอย่าง แต่เซียวจิ้งอวิ๋นกลับไม่สนใจ…นางโกรธจนเลือดลมพุ่งพล่านราวกับกระอักกระเลือดขาดอากาศหายใจ สุดท้ายความดื้อรั้นและเอาแต่ใจที่ซุกซ่อนมานานจึงทำได้แม้กระทั่ง…กระโดดลงแม่น้ำประชดประชันเพื่อหวังว่าเซียวจิ้งอวิ๋นจะเหลียวหลังกลับมามองอีกสักครั้ง… ณ จวนสกุลเฟิ่ง เสียงน้ำกระแทกดังก้องในความมืด...ร่างกายเหมือนถูกกดทับจนหายใจไม่ออก หัวใจที่เพิ่งหยุดเต้นเพราะความเจ็บปวดแสนสั้นในโลกปัจจุบันกลับเหมือนถูกบีบให้เต้นอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินผา ลมหายใจแผ่วเบาเจือกลิ่นยาขมแสบปลายจมูก เสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นดังแว่วขึ้นข้างกาย ทำให้สติเลือนรางค่อยๆ ถูกดึงกลับมา “อึก!” “คุณหนู…อย่าทิ้งบ่าวไปนะเจ้าคะ” น้ำเสียงร้องไห้สั่นเครือของสาวใช้ปานจะขาดใจ ทันใดนั้น ดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้น ร่างทั้งร่างสะท้านไหวราวกับถูกดึงขึ้นมาจากห้วงน้ำเย็นยะเยือก เสียงไอสำลักน้ำดังต่อเนื่อง จนลำคอเจ็บแสบและจมูกขื่นขมไปด้วยกลิ่นคาวคลุ้ง “คุณหนู! คุณหนูฟื้นแล้ว!” เสียงแหลมสั่นเครือดังขึ้นข้างหู พร้อมกับโผเข้ามาประคองด้วยน้ำตานองหน้า หญิงสาวหอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเบิกกว้างมองรอบกายอย่างพร่ามัว เพดานไม้เก่าที่ไม่คุ้นตา กลิ่นสมุนไพรฉุนร้อนลอยอบอวล และสตรีแปลกหน้าที่เรียกตนว่าคุณหนู นี่…ที่ไหนกัน? เกิดอะไรขึ้นยังไม่ได้อีกเหรอ ไม่ใช่ว่าหัวใจของเราหยุดเต้นไปแล้วนี่? มือเรียวของนางยกขึ้นลูบใบหน้าตนเองอย่างสับสน แต่สิ่งที่สัมผัสกลับไม่ใช่โครงหน้าที่คุ้นเคย หากเป็นผิวเนียนละเอียดและเส้นผมดำยาวสลวยราวแพรไหม ความทรงจำสุดท้ายในหัวกลับเป็นภาพเลือดท่วม แสงไฟวาบวับก่อนที่ทุกสิ่งดับวูบไป พร้อมกับมีความทรงจำแปลกปลอมไหลทะลักเข้ามาในห้วงสำนึก ภาพของคุณหนูตระกูลเฟิ่งผู้เลื่องชื่อเฟิ่งจิงหรงบุตรีคนเดียวของตระกูลกระโดดน้ำประชดประชันชีวิต...เหตุการณ์คุ้นเคยเหมือนในนิยายเล่มโปรด ยังไม่ทันได้หาคำตอบ เสียงโหวกเหวกนอกห้องก็ดังขึ้น “แย่แล้ว! แย่แล้ว! นายท่านเฟิ่งบุกไปจวนสกุลเซียวแล้ว!” เสียงร้องตื่นตกใจดังขึ้นพร้อมฝีเท้าที่เร่งรีบ สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือนด้วยลมหายใจหอบกระเส่า เสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง นางกวาดตามองรอบห้องอย่างร้อนรน แต่ทันใดนั้นกลับสะดุดเข้ากับร่างสตรีบนเตียงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา สายตาที่ควรจับจ้องเพียงแค่ชั่ววูบกลับแข็งค้างเหมือนถูกตรึงไว้ ความตกใจทำให้ริมฝีปากสั่นเครือจนคำพูดติดอยู่ในลำคอ “คุ…คุณหนู!” เสียงขาดห้วงราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความจริงหรือเพียงภาพลวงตา สตรีบนเตียง เฟิ่งจิงหรงในร่างใหม่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ม่านตาสั่นไหวก่อนจะหันไปมองสาวใช้ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ ในแววตาที่เคยเอาแต่ใจกลับเจือด้วยความแปลกแยกและเยือกเย็นที่ไม่เคยมีมาก่อน ลมหายใจของนางสะท้านสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน หัวใจของนางเต้นรัวจนแทบทะลุออกจากอก ยิ่งภาพความทรงจำแปลกปลอมไหลทะลักเข้ามามากเท่าใด ความเป็นจริงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “เฟิ่ง…จิงหรง” นางพึมพำชื่อออกมาอย่างไม่แน่ใจ เสียงสั่นแผ่วเบาจนแทบไม่ใช่เสียงของตนเอง ในห้วงความทรงจำปรากฏเรื่องราวมากมายตั้งแต่ต้นจนจบของคุณหนูสกุลเฟิ่งผู้เอาแต่ใจ ทั้งการหมั้นหมายกับคุณชายเซียวที่ถูกยกเลิกกระหันหันก่อให้เกิดความอับอายกลายเป็นความโกรธแค้นที่ผลักดันให้นางกระโจนลงแม่น้ำ… ทุกอย่างไม่ต่างอะไรกับโครงเรื่องในนิยายเล่มโปรดที่เคยอ่านยามว่างในโลกเดิม นิยายที่นางเพิ่งอ่านค้างไว้ก่อนหัวใจวายตาย! “นี่…อย่าบอกนะว่า…!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ลมหายใจติดขัดราวกับไม่กล้าสรุปความคิดนั้นออกมาเต็มปาก “ฉัน…ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคุณหนูจอมร้ายกาจจริงๆ” นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ ความเย็นชืดของความจริงบีบคั้นจนต้องกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้หลุดเสียงกรีดร้องออกมา ชะตากรรมของบทเฟิ่งจิงหรง…นางร้ายที่ถูกเหยียบย่ำ ถูกหัวเราะเยาะเย้ย และสุดท้ายถูกเขี่ยทิ้งจนตายอนาถ… หัวใจดวงน้อยพลันสั่นไหว พร้อมกับความโกรธเกนี้ยวแล่นไปทั่วทั้งร่าง หากสวรรค์ส่งนางเขามาอยู่ในร่างนี้…ต่อให้จะมีชะตากรรมเลวร้ายเช่นใด มันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก! “คุณหนู! คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ที่ยืนมองอยู่ข้างเตียงถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เฟิ่งจิงหรงหรือควรกล่าวว่า นางในร่างใหม่หันไปสบตาอีกฝ่าย ก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางที่ไม่เหมือนคุณหนูผู้เอาแต่ใจในความทรงจำแม้แต่น้อย รอยยิ้มนั้นสงบเยือกเย็น แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “ข้ายังไม่ตาย” นางเอ่ยช้าๆ แต่กลับหนักแน่น คล้ายเป็นต้องการประกาศกับสาวใช้และตัวเอง“นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวจะมีน้ำใจช่วยเหลือผู้คน”น้ำเสียงทุ้มต่ำของซูเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเจือความเหน็บแนม สายตาเหลือบมองสหายตรงหน้าที่เอาแต่ทอดสายตาลงไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม มองไปยังร้านเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋อย่างไม่ลดละ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาซูเหรินเจี๋ยยกน้ำชาขึ้นจิบพลางๆ แววตาฉายแววครุ่นคิดเมื่อหลายวันก่อนหน้า เขาและสหายนั่งจิบชาดวลหมากกันอยู่โรงเตี๊ยมตรงข้ามกิจการของสกุลไป๋ ทว่ากลับเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายขึ้นหน้าร้านเสียงดังเอะอะโวยวาย จนเขาและสหายอดมองด้วยความสนใจไม่ได้แท้จริงแล้วเป็นเพียงคุณหนูสกุลเฟิ่งที่ตามตื้อเซียวจิ้นอวิ้น นางประกาศเสียงดังว่าจะกระโดดลงน้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ใยดีเดินจากไปไม่เหลียวแลขณะที่เหตุการณ์ดูเสมือนจะสงบลง ทว่าไม่ทันไรเขากลับได้ยินเสียงดังโหวกวายตะโกนมาว่ามีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย พอหันกลับไปมองสหาย กลับเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นลงไปยังชั้นล่างโรงเตี๊ยม วิ่งผ่าฝูงชนท่าทางคล้ายเข้าไปช่วยแล้วซูเหรินเจี๋ยไม่คาดคิดว่าสหายผู้นี้ที่มีนิสัยนิ่งเฉย หาได้สนใจเรื่องของผู้ใดหรือแม้แต่สตรีใด นอกจากคุณหนูไป๋ ทว่าเหตุใดกลับยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณหนูเฟิ่งแทน ทั้งที่
นายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอดบรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัดแม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออกท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัวเฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ“เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่า
ดูเหมือนความคิดในหัวของนางจะดังเกินไปหน่อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปยังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งที่ความคิดก่อนหน้านี้ยังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว แต่ไฉนกลับพูดออกไปราวกับตกหลุมพรางของความหล่อเหลาของอีกฝ่ายเสียแล้วเฟิ่งจิ่นหรงยืนนิ่ง ตัวแข็งชะงักคล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะขณะที่จ้าวอวี้หมิงมองสตรีตรงหน้า หัวคิ้วเข้มขมวดอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าถ้อยคำเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือหูฝาดเพี้ยนไปเอง แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสติของสตรีตรงหน้าอาจเลอะเลือนไปเสียแล้ว“ข้าไม่ใช่คุณชายเซียว…” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึม แต่แฝงด้วยความเย็นชา “หากคุณหนูอยากไปสกุลเซียวนั้นอยู่เส้นทางหน้าวังหลวง หากจำไม่ได้ก็บอกให้สารถีพาไป นี่คือจวนสกุลจ้าว”จ้าวอวี้หมิงถอนหายใจลึก ก่อนจะหันหลังจะเดินหนีคล้ายกับปฏิเสธพลางๆทว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นเฟิ่งจิ่นหรงกลับก้าวตามเข้ามา ร่างบางยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่“ข้า..ข้า มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกะเต็มไปด้วยความประหม่า นางเงยหน้าขึ้นพลันประสานสบเข้ากับดวงตาคมกริบเย็นเยียบตรงหน้าพอดีจ้าวอวี้หมิงยืนนิ่ง มองสตร
บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนักเฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิมไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่ “เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบาความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้นทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”เฟิ่งจิงหรงหันขวับไป
ณ สกุลเซียวไป๋หว่านชิงเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้าเปิดกิจการขายเครื่องปั้นเคลือบอยู่ในตลาด แม้เป็นเพียงสกุลพาณิชเล็กๆ หาได้มีเกียรติสูงส่งดังตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทว่าสวรรค์กลับประทานรูปโฉมอันงดงามให้ ที่ไม่ว่าผู้ใดที่เดินผ่านไปแล้วล้วนต้องเหลียวหลังหวนมองอีกทั้งยังมีวาทศิลป์การพูดจาละเมียดละไมอ่อนหวานจับใจ สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้ซื้อหาสินค้าได้โดยง่ายดังนั้น กิจการเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋จึงขายดิบขายดี มิใช่เพราะคุณภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ด้วยเสน่ห์การเจรจาของไป๋หว่านชิงเป็นสำคัญกระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ไป๋หว่านชิงเฝ้าร้านอยู่กับเหล่าคนงาน กลับถูกกลุ่มอันธพาลบุกเข้ามาก่อกวน หาได้หมายจะปล้นเครื่องปั้นราคาแพงไม่แต่กลับหมายจะฉุดนางไปเป็นภรรยาแทน!ทว่าสวรรค์เหมือนกำหนดไว้ เมื่อบุตรชายคนรองของสกุลเซียว…คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋นผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดวันนั้นจึงเป็นวันที่ทั้งสองพบพานกันครั้งแรกและกลายเป็นรักแรกพบของทั้งสองฝ่ายและไม่นานหลังจากนั้น คุณชายเซียวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง หักหน้าสกุลเฟิ่งด้วยการประกาศยกเลิกการหมั้นหมายกับ เฟิ่งจิง
หากเอ่ยถึงคุณหนูสกุลเฟิ่งคงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักจนถอนหายใจอย่างเอือมระอา ด้วยชื่อเสียงอันอื้อฉาวเลื่องลือไปทั่ว ทั้งความเอาแต่ใจและนิสัยร้ายกาจที่พูดทั้งวันก็มิอาจบรรยายได้หมดสิ้นสกุลเฟิ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ทว่าหลังจากที่นายท่านเฟิ่งรับช่วงต่อจากบิดาผู้เฒ่า แม้จะมีภรรยาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เวลากลับล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีโดยยังไร้บุตรสืบสกุลฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นสกุลเฟิ่งมีทายาทสืบต่ออีกหนึ่งรุ่น ได้อุ้มหลานสักครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ ทว่าเวลากลับล่วงเลยปีแล้วปีเล่า ก็ยังคงไร้วี่แววข่าวดีและแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว นางก็ยังคงเข้าวัดวาไม่เว้นวัน กราบไหว้บูชาขอพรให้สกุลเฟิ่งไม่สิ้น ท่ามกลางเสียงทักท้วงของผู้คนมากมายที่เอ่ยเย้ยหยันว่าวันหนึ่งตระกูลเฟิ่งย่อมสิ้นทายาทสืบทอดอย่างแน่นอนจนเมื่อเวลาล่วงเลยไปปีแล้วปีเล่า เส้นผมของทั้งสองพลางขาวโพลนทั่วหัวฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านผู้เฒ่าก็ไม่อาจรอคอยได้อีกสุดท้ายก็สิ้นลมจากไปด้วยโรคชรา แต่แม้ร่างกายจะดับสูญ วิญญาณกลับยังคงเป็นห่วงกังวล ไม่อาจปล่อยวางและหลับใหลได้อย่างสงบอยู่ดีกระทั่งวันหนึ่ง












Comments