เมื่อยมทูตหน้าใหม่ดึงวิญญาณมาผิดดวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลของโลกวิญญาณ หลินลู่ฉีผู้มีปราณมงคลในยุคปัจจุบัน จึงถูกส่งไปยังต่างโลก สวมร่างเด็กน้อยวัยสามขวบ ที่เพิ่งถูกงูกัดตายด้านหลังอารามเต๋า เจ้าอาวาสไม่อาจยอมรับวิญญาณสวมร่างได้ แต่เมื่อขับไล่วิญญาณร้าย ออกจากร่างกายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขับไล่คน ออกจากอารามแทน (3เล่มจบ252ตอน)
view moreณ เมืองฝู แคว้นเยี่ยน
ด้านหลังอารามเต๋าแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่านั่งยอง ๆ ยกฝ่ามือขึ้นลูบปิดเปลือกตาของเด็กน้อยวัยสามขวบ ผู้ซึ่งถูกสัตว์ร้ายคร่าชีวิตไป นางเดินเล่นอยู่หลังอารามเหมือนเช่นทุกวัน งูพิษร้ายผ่านมาฉกเข้าที่ขาจนสิ้นใจตาย
“อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ”
นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน
“ขอรับท่านอาจารย์” จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย
ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว
“อ๊ากกก ! มีผี !” เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์
“จี้คงมีอะไร”
“นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์” เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น
“ว่าอย่างไรนะ” นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น
“นี่มัน...เป็นไปไม่ได้”
รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว
“ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !”
ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป
ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา
ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน
นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน
เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย
“เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !” นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี...
ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน...
กองถ่ายหนังรึ ?
ไม่เห็นมีคนอื่นเลย ตรงนี้มีแค่นักแสดงนักพรตกับลูกศิษย์
เด็กน้อยขยับลุกขึ้นยืน โอ้ นี่เธออายุเท่าไหร่กันแน่ สูงได้ไม่ถึงเอวของตาเฒ่าคนนี้เลย
ทันใดนั้นเด็กน้อยรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิด พร้อมเรื่องราวมากมายไหลผ่านเข้ามาในความทรงจำ เป็นชีวิตที่ผ่านมาสามปีของเจ้าของร่างเดิม ที่แท้นางก็คือก้อนเนื้อไร้ค่าที่มารดาไม่ต้องการ กระทั่งชื่อยังถูกเรียกขานว่าหยางท่ง ไร้แซ่จากตระกูลบุพการีทั้งสอง
เป็นเพราะบิดาทำร้ายจิตใจและร่างกายของมารดาจนตั้งครรภ์ จากนั้นบิดาเกิดคลุ้มคลั่งเสียสติ ถูกท่านตาของนางสังหารด้วยมือของเขาเอง เป็นความปรารถนาที่บิดเบี้ยวของบุรุษวิปลาสผู้หนึ่ง เด็กที่เกิดมาจึงไม่มีผู้ใดต้องการ ถึงขั้นส่งไปทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเต๋าแห่งนี้
เจ้าอาวาสให้แม่ม่ายขาเป๋คนหนึ่ง เลี้ยงดูนางที่กระท่อมร้างด้านหลังของวัด แต่พอนางอายุได้สามขวบแม่ม่ายขาเป๋ได้พบเจอญาติจากแดนไกล ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเดิมไปกับพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีใครอยากนำตัวภาระ อย่างเด็กน้อยหยางท่งไปด้วย นางจึงถูกทอดทิ้งเอาไว้ที่นี่ กระทั่งถูกงูพิษร้ายกัดจนสิ้นใจตาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เรื่องราวที่ผ่านดวงตาของเด็กน้อยตั้งแต่เกิดจนถึงตาย กลับชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำของหลินลู่ฉีด้วย เป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเสียจริง ทารกที่ไหนจะมีความทรงจำเช่นนี้ได้ แต่พอนึกว่าตัวเองได้สวมร่างผู้อื่นอยู่ คงไม่มีเรื่องไหนแปลกประหลาดไปกว่านี้แล้ว
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ณ ยมโลก
ยมทูตหน้าใหม่กำลังร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าหัวหน้าของตน เนื่องจากได้ดึงวิญญาณมาผิดดวง ซ้ำยังเป็นดวงวิญญาณที่เป็นดาวมงคล ก่อให้เกิดการผันผวน ในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของโลกวิญญาณ
“หัวหน้าทำเช่นไรดี ๆ ฮือ ๆ”
“หยุดร้องไห้เสียที ! หากเป็นดวงวิญญาณทั่วไป มีหรือจะจัดการไม่ได้ แต่นี่นางมีปราณมงคลเด่นชัด ดวงวิญญาณเช่นนี้ไม่อาจจมสู่ยมโลกในช่วงเวลานี้ได้ มิเช่นนั้นจะเกิดหายนะใหญ่หลวงขึ้น”
ผู้เป็นหัวหน้ายมทูตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เช่นนั้นก็ส่งนางไปสวมร่างยังโลกอื่นเถิด ถือว่าไม่ผิดต่อกฎการเวียนว่ายตายเกิด”
ขอแค่ไม่ตกลงมาอยู่ในยมโลกก็เพียงพอ ไม่ใช่หรือ
“ส่งไปสวมร่างยังโลกอื่น” ยมทูตผู้ทำผิดถึงกับตกใจกับการชี้นำของหัวหน้า นี่มันเป็นการแหกกฎยมโลกชัด ๆ
“จะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำเจ้าก็ไปรับโทษกับท่านยมบาลเองเถอะ”
“ทำขอรับ ๆ จะส่งนางไปเกิดยังโลกอื่นเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
ด้วยเหตุนี้วิญญาณของหลินลู่ฉีที่ยังไม่ถึงเวลาตาย จึงถูกส่งมาสวมร่างของเด็กน้อยเคราะห์ร้ายหยางท่ง
หลินลู่ฉีลุกขึ้นมานั่งบนตั่งด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ได้ยินเสียงนักพรตเฒ่ากับลูกศิษย์กำลังหารือกันเรื่องของเธอ
ในโลกปัจจุบันตอนเธอเกิดนั้น บังเอิญได้พบร่างทรงคนหนึ่งในโรงพยาบาล คนผู้นั้นได้บอกแก่มารดาเธอไว้ ว่าเธอเกิดมาพร้อมดวงชะตาสูงส่ง เป็นดวงชะตาของดาวมงคลกลับชาติมาเกิด อยู่ใกล้ใครก็ทำให้คนผู้นั้นร่ำรวยด้วยโชคลาภวาสนา เรียกว่าแทบไม่มีภัยร้ายมากล้ำกรายด้วยซ้ำ
แต่เหตุใดถึงได้ด่วนตายเร็วนัก ไม่ใช่ว่าดาวมงคลเช่นเธอ ต้องมีอายุยืนยาวนับร้อยปีหรอกหรือ และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไม ต้องมาสวมอยู่ในร่างของเด็กน้อยโชคร้ายผู้นี้ด้วย
หลินลู่ฉีจำเรื่องราวหลังความตายไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าตัวเองได้ล่องลอย ตามหลังใครสักคนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และติดค้างอยู่ที่นั่นพักใหญ่ ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในร่างของเด็กน้อยคนนี้เสียแล้ว
บานประตูห้องถูกเปิดออก นักพรตเฒ่าโยนห่อผ้าเก่า ๆ ให้เด็กน้อย
“เจ้าจงออกไปจากอารามของข้าเสีย ที่นี่ไม่ต้อนรับดวงวิญญาณชั่วร้าย”
“ฉัน เอ่อ ข้าไม่ใช่ดวงวิญญาณชั่วร้ายเสียหน่อย”
นักพรตเฒ่าไม่สนใจนาง ยืนกรานว่านางไม่สมควรอยู่ในอารามเต๋าแห่งนี้อีกต่อไป “ไปเสีย”
“ท่านไล่เด็กสามขวบออกจากวัด อีกทั้งยังเป็นเด็กที่ถูกงูกัดอีกด้วย ใจจืดใจดำเสียจริง”
หลินลู่ฉีพยายามไถลตัวลงจากตั่ง แต่เท้านางสั้นเกินไปทำเช่นไรก็ไม่สามารถลงมาได้
“เด็กสามขวบผู้นั้นดับสลายจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าอย่าได้เอ่ยให้ข้าขำนักเลย”
นักพรตเฒ่าแม้ไม่ได้มีวิชาเก่งกาจนัก แต่ยังพอมองออกว่า วิญญาณที่สวมร่างหยางท่งนั้นไม่ใช่เด็กอย่างแน่นอน เขาไม่อาจเลี้ยงดูดวงวิญญาณเร่ร่อน ที่มายึดร่างของเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้ ยิ่งไม่สามารถกำจัดวิญญาณให้ออกจากร่างได้เหมือนกัน
ราวกับมีพลังบางอย่างต่อต้านเอาไว้ ทำได้ทางเดียวคือไล่นางออกจากอารามไปเสีย เด็กสามขวบจะมีชีวิตรอดข้างนอกได้อย่างไร หากนางตายอีกสักครั้งก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
หลินลู่ฉีใช้ความพยายามอย่างหนัก ไถลลงมาจากตั่งได้ในที่สุด นางจ้องนักพรตเฒ่าด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านไล่ข้าจริงรึ”
“หากเจ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะให้จี้คงจับเจ้าโยนออกไปเอง”
หลินลู่ฉีใช้มือน้อย ๆ คว้าห่อผ้าขึ้นมาเปิดดู ด้านในมีซาลาเปาแป้งข้าวโพดอยู่สองลูก กระบอกน้ำไม้ไผ่ไว้ดื่มอีกหนึ่งอัน ไม่มีเงินหรือเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน ช่างยากจนจริง ๆ
“น่าเสียดายนัก หากท่านเลี้ยงดูข้าต่ออีกสักหน่อย อารามเต๋าแห่งนี้คงมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น ไหนเลยจะแร้นแค้นเช่นนี้” นางหิ้วห่อผ้าขึ้นคล้องไหล่ ก่อนเดินออกจากอารามเต๋าไปด้วยท่าทางอุกอาจ
สายตาของสองศิษย์อาจารย์แลดูซับซ้อนลุ่มลึก จี้คงผู้เป็นศิษย์เอ่ยขึ้นก่อน
“ท่านอาจารย์ไล่นางไปเช่นนี้จะดีหรือขอรับ” จี้คงเติบโตมาพร้อมกับหยางท่ง เขารู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องมองดูนาง ถูกไล่ออกจากอารามไปเช่นนี้
“จี้คงเอ๋ยนางไม่ใช่หยางท่ง เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น”
เจ้าอาวาสไม่มีทางเลือก หากมีคนล่วงรู้ว่าเขาเลี้ยงดูวิญญาณร้ายที่มาสวมร่างผู้อื่น เกรงว่าชื่อเสียงอันน้อยนิดของตน จะพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี สู้ตัดขาดกันไปเลยจะดีกว่า
แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือคำพูดสุดท้ายของเด็กน้อยที่ว่า หากเลี้ยงดูนางต่อสักหน่อย จะทำให้มีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าอย่างไร
ด้านหน้าประตูทางเข้าวัด ป้ายอารามซานหยวนเก่าผุพัง แกว่งห้อยลงมาด้านหนึ่ง หากมีลมพัดแรง ๆ คงหล่นลงพื้นทันที หลินลู่ฉียืนนิ่งเงยหน้ามองมันอยู่กับที่ นางรู้ว่าเจ้าอาวาสทำเช่นนี้เพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกับนาง ที่เป็นดวงวิญญาณมาสวมร่างผู้อื่น
แต่จากความทรงจำของหยางท่งแล้ว อารามเต๋าแห่งนี้คือบ้านของนาง เป็นไปได้นางอยากตอบแทนบุญคุณสถานที่แห่งนี้ แทนเจ้าของร่างสักครั้ง
“เอาเถอะหากข้าร่ำรวยเมื่อใด จะกลับมาบริจาคน้ำมันตะเกียงให้มากหน่อยก็แล้วกัน” นางเอ่ยเพียงเท่านี้ก็หันหลังเดินจากไป
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld
Mga Comments