LOGIN“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”
“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”
เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!
.
.
.
ไม่นานนักวันอังคารก็มาถึง แต่ทว่าเฟยเฟิ่งกลับไม่ได้เตรียมตัวสอนคนในหมู่บ้านเพาะเห็ดอย่างที่คิด เพราะคุณปู่ที่ได้รับจดหมายโผล่มาถึงหมู่บ้านชิวหลินเสียแล้ว
“น้ำค่ะ” เฟยเฟิ่งวางแก้วน้ำลงให้ปู่ของตนจากนั้นก็พูดต่อเมื่อเห็นว่าปู่หันซ้ายหันขวามองหาคน
“ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะ จื่อหานไปลงนาแล้ว วันนี้หนูไม่ได้ออกไปขายของลูกเลี้ยงเลยไปนาด้วย ส่วนแม่สามีไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าเขาไปไหน”
“อยู่บ้านคนเดียวทำอะไรล่ะ”
“เตรียมสอนชาวบ้านเพาะเห็ดค่ะ หนูเห็นคนต้องขึ้นเขากันทุกวัน บางวันอาจจะไม่ได้เห็ดเลยก็มีบ่อย เลยคิดว่าแบบนี้คงดีกว่า มีแอบเพาะเห็ดหลินจือไว้ด้วย แล้วหนูจะส่งให้ปู่บ้างแล้วกันค่ะ”
“เฟยเฟยลำบากแล้วจริงๆ”
“ค่ะ ลำบาก แต่ไม่ต้องมานั่งระวังว่าจะมีใครย่องมาขโมยสมบัติแม่ไปรึเปล่า ไม่ต้องระแวงว่าวันไหนชุดหนูจะขาดให้ขายหน้าคน ไม่ต้องกลัวโดนหาเรื่องให้หนูผิดจะได้ให้คุณพ่อสั่งตีหนู”
“ทำไมไม่บอกปู่ว่าฝั่งนั้นก็แกล้งหลาน”
“ถ้าบอกไปแล้วคุณปู่จะเชื่อเหรอคะ หนูไม่ใช่หลานชาย ไม่มีใครสนใจลูกสาวที่แม่ตายไปแล้วหรอกค่ะ” ว่านเฟยเฟิ่งก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับปู่
“เรื่องในจดหมายเป็นความจริงใช่ไหม”
“หนูจะโกหกปู่เรื่องน่าอายแบบนั้นทำไมคะ” เฟยเฟิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมแสดงท่าทีเหมือนว่าอายนักหนา
“ถ้าปู่ยืนยันจะให้หย่าหลานจะทำยังไง” ว่านหนิงมู่ถามออกไปพลางจิบน้ำ
“ถ้าปู่จะบังคับจริงๆ สุดท้ายหนูก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้หนูมีความสุขดี มีอิสระที่อยากจะทำอะไรก็ได้ ปู่อยากให้หนูเป็นผู้ใหญ่นี่คะ”
“อืม ก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจริงๆ แล้วจะกลับไปเรียนหนังสือไหม” หนิงมู่ยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย หากวันนั้นใส่ใจหลานมากกว่านี้เสียหน่อยคงไม่ต้องเกิดเหตุการณ์ส่งมาอยู่ไกลตัว จนไม่อาจพาเธอกลับไปได้อีกแล้วเช่นนี้
“กลับค่ะ แต่หนูคิดว่าควรหาทางซื้อบ้านในเมืองให้ได้ก่อน” เฟยเฟิ่งเงยหน้าเผยให้เห็นดวงตาเป็นประกาย
“เอาสิ ปู่จะช่วยห้าพันหยวน นั่นน่าจะเท่ากับที่จานจิ่งเหมยเอาสินเดิมของแม่หลานไป” ว่านหนิงมู่หลังเปิดใจลดอคติในวันที่เห็นเฟยเฟิ่งออกไปทำมาหากินอย่างตั้งใจ ก็เริ่มไล่ถามความจริงจากลูกสาวคนเล็ก เขาได้รับรู้ว่าที่เฟยเฟิ่งขนสินเดิมมารดามาจนหมดบ้าน ไม่ใช่เพราะจะเอาเปรียบน้องชาย แต่เพราะกลัวว่าหากทิ้งเอาไว้ น้องชายคงไม่เหลือสมบัติมารดาไว้ดูต่างหน้าสักชิ้น
“หนูแยกของน้องไว้แล้ว วันไหนโตพอจะดูแลของตัวเองได้ จะให้เขาไม่มีขาดค่ะ”
“ปู่รู้แล้ว ถ้าภายในสามปีหลานซื้อบ้านในเมืองได้สำเร็จปู่จะไม่บังคับให้หย่าอีก” ว่านหนิงมู่คำนวณไว้ในใจหากหลานสาวทำสำเร็จมีบ้านในเมืองได้ ข้อครหาเรื่องฐานะของหลานเขยก็คงไม่มีความหมายแล้ว คนที่จะหาเงินอย่างน้อยหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นหยวนได้ภายในสามปี เขาเองก็ไม่ติดใจที่จะฝากให้ดูแลเฟยเฟย
“หนูอยากซื้อให้ได้ภายในปีนี้เลยด้วยซ้ำไป”
“ก็ถ้าไม่เกินสามปีปู่ก็พอใจทั้งหมด ให้แน่ใจว่าไม่ได้หาอยู่คนเดียวก็พอ ปู่จะขอตรวจบัญชีด้วย” ว่านหนิงมู่ที่เข้าใจกันกับหลานแล้วก็วางใจ และจะกลับไปคุยกับคนบ้านตั้งให้เข้าใจถึงข้อตกลงที่เขามีกับหลานสาว หากยินดีรอโดยไม่รู้ว่าจะได้สมใจหวังหรือไม่เขาก็ไม่ขัดข้อง แต่หากไม่ยินดีก็เข้าใจเช่นกัน
“ที่จริงสามีหนูเขาหาเงินเก่งมากเลยนะคะ ถ้าไม่ติดว่าช่วยพี่ชายใช้หนี้เมื่อสองสามปีก่อน แล้วก็ยังมีบ้านเดิมของแม่คอยผลาญ เขาก็เป็นคนรวยคนหนึ่งในหมู่บ้านเลยค่ะ”
“คุณหนูว่าน ผมพาลูกกลับมากินข้าว”
“น้าเฟิ่ง!” ซูลี่วิ่งเข้ามากอดเอวเฟยเฟิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่ตนนับเป็นมารดากำลังนั่งคุยกับชายแปลกหน้า
“ซูลี่ จื่อซวาน นี่คือปู่ของน้าเอง ทักทายคุณทวดแบบที่น้าสอนเร็วเข้า” เมื่อเฟยเฟิ่งพูดจบ เด็กทั้งสองก็ไปหาผักที่ปลูกกันเองมาเป็นของขวัญให้แก่ทวดคนใหม่ของพวกเขา
“อืม รู้ความจริงๆ” หนิงมู่ที่รับผักมาแล้วก็ถอดกำไลหยกและแหวนหยกรับขวัญเหลนนอกสายเลือด
“คุณท่าน…นั่นอาจมีค่ามากเกินไป” ซีจื่อหานทักท้วงขึ้นเมื่อเห็นหยกที่สีใสจนมองแทบจะทะลุผ่านได้สองชิ้นนั้น
“อันที่แพงปู่เก็บไว้ที่บ้าน ที่ใส่มาข้างนอกคือเสียไปได้ ไม่เสียดาย” ว่านเฟยเฟิ่งเป็นคนตอบออกไป
คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าคนอย่างว่านเฟยเฟิ่งอยู่ห่างไกลเหลือเกิน แม้จะยังไม่ได้รักใคร่กัน แต่เมื่อโชคชะตาพามาให้เป็นคู่ชีวิต เขาคงไม่เห็นแก่ตัวดึงคนลงมาต่ำ มีแต่จะต้องถีบตนเองให้สูงขึ้นเท่านั้น
“ขอเวลาให้ผมสักหน่อย ผมจะเป็นคนที่คู่ควรกับหลานสาวของคุณท่าน”
“ดี! ฮ่าๆๆ คิดแบบนี้สิถึงจะสมเป็นลูกผู้ชาย ปู่จะรอดูความสำเร็จของหลานเขย ฟางลี่เลือกคนได้หลักแหลมจริงๆ”
ว่านหนิงมู่พึงพอใจกับทัศนคติของชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก นึกแล้วก็ไม่เลวเลยทีเดียว อายุมากพอที่จะปราบพยศเฟยเฟยได้ ขยันพอที่จะมีแววสร้างตัวได้ในวันที่ประเทศเปลี่ยนแปลง และมีความคิดพอที่จะทะเยอทะยานในทางที่ถูกต้อง สุดท้ายหน้าตาดีพอที่จะให้เขายอมรับว่าสูสีเหมาะสมกับหลานสาว
“แต่หน้าตา…เหมือนว่าจะเคยเห็นที่ไหนนะ” ว่านหนิงมู่พึมพำออกมา แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเขาคุ้นหน้าตาคนตรงหน้าได้อย่างไร
“คงเห็นตอนผมไปเป็นคนงานรับเหมาน่ะครับ อาหญิงของคุณหนูว่านก็เจอผมเพราะเหตุนั้น” จื่อหานที่หูดีเป็นพิเศษตอบออกไป
“ไม่ใช่หรอก แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคุณมีเวลาพิสูจน์ตัวเองสามปี ถึงเวลานั้นถ้ายังย่ำอยู่ที่เดิม ผมคงต้องขอหลานสาวคืน”
“คุณทวดอย่าเอาน้าเฟิ่งไปนะ” ซูลี่ได้ยินเช่นนั้นรีบห้าม
“ถ้าไม่ต้องการแบบนั้นก็ต้องให้พ่อเธอทำตามข้อตกลง” หนิงมู่กล่าวพลางอุ้มเด็กหญิงนั่งตัก
“ข้อตกลงอะไรเหรอครับน้าเฟิ่ง” จื่อซวานเอ่ยถาม
“คืออย่างนี้…”
ทว่าทันทีที่ว่านเฟยเฟิ่งพูดเรื่องซื้อบ้านในเมืองออกไป คนบ้านซีทั้งสามก็ร้องออกมาดังลั่น “ห๊า?!”
“เอาล่ะมาถึงที่นี่แล้วปู่คงจะแวะไปหาจ้วงไป่ชิงสักหน่อย ตั้งแต่มาประจำการก็ไม่ได้พบกันนานแล้ว ไม่รบกวนแล้ว ยังไงก็พาเฟยเฟยกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียมด้วย”
“เสร็จธุระเรื่องนาแล้วจะรีบไปครับ” จื่อหานรับคำ
“ปู่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิคะ”
ว่านเฟยเฟิ่งชักชวน แต่เมื่อเห็นปู่ส่ายหน้าปฏิเสธก็ไม่รั้งไว้ไปส่งปู่ของตนขึ้นรถ และยืนมองจนรถคันนั้นลับตาไป
“ผมจะหาเงินหมื่นหยวนในสามปีได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวคุณก็คิดออกค่ะ คุณหาห้าพัน ฉันหาห้าพัน ไม่ต้องคิดมาก ฉันดูบัญชีแล้ว ฉันรู้ว่าคุณจะต้องทำได้” เฟยเฟิ่งยิ้มหวาน ก่อนจะเรียกเด็กทั้งสองไปช่วยทำอาหารหลังบ้าน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 33 คุณไม่มีสิทธิ์ตีลูกผมว่านเฟยเฟิ่งที่ยังตักของขายให้ลูกค้าในตลาดไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงไวไฟที่เจอหน้าสามีแค่วันเดียวก็ยอมนอนด้วยไปเสียแล้ว“ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว” เสียงจามสามครั้งติดทำให้เฟยเฟิ่งต้องขมวดคิ้วแน่น“ตายจริง ทั้งฤดูหนาวไม่เป็นอะไร พออุ่นขึ้นดันมาไม่สบาย ขายหมดแล้วก็รีบกลับบ้านไปพักเถอะ” ป้าจูเหมยกล่าวด้วยความเอ็นดู ช่วงนี้เธอมีความสุขนักเพราะลูกชายคนเดียวกลับมาจากรับจ้างแล้ว ทั้งยังได้ไปจัดการเรื่องพ่อให้ถูกต้อง ทำให้จูเหมยสบายใจเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี“ให้ฉันไปส่งไหมสหายว่าน สหายมีบุญคุณต่อฉันกับแม่จนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” ลูกชายของป้าจูกล่าว บุญคุณนับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ส







