ในค่ำคืนนี้ คนในบ้านสกุลซูมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปแม่เฒ่าเซี่ยงนอนคร่ำครวญอยู่บนเตียงอิฐไฟด้วยความโกรธ และพลิกตัวไปมาเกือบจะทั้งคืนพอคิดถึงเรื่องที่นางหลี่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับนางก็โกรธขึ้นมาทันที ไหนจะนังเด็กสารเลวซูหวั่นนั่นเอง ตามที่คาดเอาไว้นังเด็กผู้หญิงแบบนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้จริงๆดูเหมือนว่าจะต้องหาวิธีแอบขายซูหวั่นไปเป็นเด็กล้างเท้าให้คนในเมืองเสียแล้ว!เมื่อพ่อเฒ่าซูเห็นว่านางยังไม่นอนอีก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า“ขี้กลากขึ้นหลังของเจ้าแล้วหรือยังไง พลิกไปพลิกมาอยู่ได้ เจ้าไม่นอนแต่ข้าต้องนอนนะ พรุ่งนี้เช้าจะต้องไปถางหญ้าที่นาอีก!”แม่เฒ่าเซี่ยงพึมพำอย่างเย็นชา และไม่ต่อปากต่อคำกับพ่อเฒ่าซูแต่อย่างใด เพียงแค่ถามขึ้นมาว่า“ตาเฒ่า เจ้ารู้สึกหรือเปล่าว่าครอบครัวเจ้ารองเปลี่ยนไปแล้วนะ ส่วนนังหนูหวั่นนั่นก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนตั้งแต่กระโดดน้ำตายมา!”“หมาพอมันจนตรอกจริงๆก็ยังกระโดดข้ามกำแพงได้เลย เจ้าบีบบังคับครอบครัวเจ้ารองขนาดนั้นยังจะไม่ให้ครอบครัวเขาออกมาโต้ตอบบ้างเลยเหรอ?ยายเฒ่า ไม่ใช่ว่าข้าจะต่อว่าเจ้านะ ทำอะไรก็ต้องมีมโนธรรมในใจบ้าง ครอบครัวเจ้ารองดีกับเราขนาดไหนแ
วันรุ่งขึ้น ซูหวั่นก็ได้ไปพบกับป้าฟาง เพื่อขอให้ซูชิงสามีของป้าฟางช่วยหาคนงานที่มีความสามารถมาสักสองสามคนและป้าฟางก็ตกปากรับคำอย่างรวดเร็วครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูชิงก็พาเหล่าบรรดาพวกผู้ชายไปช่วยสร้างห้องครัวและห้องส้วมให้กับนาง โดยที่ซูหวั่นเข้าป่าไปโดยลำพังและก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ กระต่ายหนึ่งตัวและไก่ป่าอีกหนึ่งตัวได้ติดกับดักแล้วซูหวั่นได้ใส่กระต่ายและไก่ป่าลงไปในพื้นที่จินตนาการ โดยพบว่าแม่กระต่ายที่ใส่ไว้ก่อนหน้านี้มีลูกถึงสิบตัวแล้ว!และทุกตัวก็น่ารักเสียจริงๆแม่ไก่ตัวนั้นยังคงฟักไข่อยู่ และก็ไม่รู้ว่าฟักลูกไก่ออกมากี่ตัวแล้ว ซูหวั่นเดินเข้าไปในห้องห้องนั้น และพบว่าเครื่องปรุงและยาที่ใช้ไปแล้วถูกเติมเอาไว้จนเต็มทั้งหมดและอากาศภายในพื้นที่ก็ดูจะสะอาดและหอมหวานยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีกโดยที่มีน้ำพุสายหนึ่งอยู่ตรงผิวของแม่น้ำ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซูหวั่นเกิดภาพลวงตาหรือไม่ แต่นางมักจะรู้สึกว่าน้ำพุนี้ค่อนข้างจะขาว ราวกับน้ำพุแห่งจิตวิญญาณเลยทีเดียวส่วนปลาและกุ้งที่จับยัดเข้าไปก่อนหน้านี้ก็โตขึ้นมากด้วยเช่นกันสวนผลไม้ยังคงเต็มไปด้วยผลไม้ และส่วนใหญ่จะสุกแล้ว นางไม่รู้ว
ซูหวั่นรู้ดีว่ามีคนของเสี่ยวเฮยต้านติดตามมา ซึ่งนางก็ไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องติดต่อกับเสี่ยวเฮยต้านอยู่แล้วเมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเวลาย่ำค่ำแล้วกำแพงนั้นสร้างเสร็จค่อนข้างเร็ว โดยเสร็จสิ้นแล้วในตอนนี้ ส่วนห้องครัวและห้องส้วมนั้นสร้างยังไม่ถึงครึ่งบ้านในสมัยนี้สร้างขึ้นค่อนข้างจะง่าย แต่ฝนไม่รั่วก็ใช้ได้แล้ว ส่วนหลังคาก็มุงด้วยใบจาก และพบเห็นกระเบื้องได้น้อยมากต่อไปเมื่อหาเงินได้ ซูหวั่นวางแผนไว้ว่าจะสร้างบ้านใหม่ด้วยแผ่นอิฐ สำหรับบ้านในตอนนี้ ก็พอจะอยู่อาศัยไปก่อนไม่จำเป็นต้องใช้เงินอัดไปมากกว่านี้“ท่านพี่ ท่านพี่กลับมาแล้ว!”ซูลิ่วหลางนั่งเท้าคางอยู่ที่ประตูใหญ่ ดวงตาค่อยๆสว่างขึ้นมาหลังจากที่ได้เห็นซูหวั่นซูหวั่นหยิบแอปเปิลจากกระบุงหาบยื่นส่งให้ซูลิ่วหลาง“ไปกินในห้องนะ อย่าให้ใครเห็นได้ล่ะ”ไม่ใช่เป็นเพราะว่านางไม่อยากจะให้แอปเปิลกับพวกลุงซูชิง แต่ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีผลไม้ที่เรียกว่าแอปเปิลอยู่เลยและการที่จะดึงออกมาจากอากาศ มันเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้เลยซูลิ่วหลางถือผลแอปเปิลและวิ่งเข้าไปในห้องอย่างว่าง่ายซูหวั่นหิ้วไก่ป่าเข้าไปด้านใน พร้อมกับร้องเรียกนา
ซูหวั่นถอนหายใจ“ข้ารู้ดีว่าท่านปู่ท่านย่าเป็นคนดีที่ไม่รังเกียจของจำนวนน้อย แต่ข้าละอายใจเกินไปที่จะหยิบยื่น และพวกท่านลุงที่มาช่วยงานก็คิดว่ามันน้อยไปด้วยเช่นกันนะคะ”นางจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะว่าแม่เฒ่าเซี่ยงมาที่นี่ก็เพราะได้กลิ่นหอมของเนื้อไก่นั่นเองแต่ทำไมแม่เฒ่าเซี่ยงถึงไม่คิดเลยล่ะว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เนื้อไก่สักชิ้นก็ไม่ได้แบ่งให้พวกเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอไงแม้กระทั่งว่ายังจงใจที่จะยื่นมาอวดต่อหน้านางหลี่อีกด้วยเดิมทีนางก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว แล้วจะพูดว่าไม่สำนึกบุญคุณได้อย่างไร เนื้อไก่พวกนี้นางจะไม่แบ่งให้บ้านใหญ่อย่างเด็ดขาดถ้ามีมากก็ยังพอไหว แต่นี่แค่ไก่ตัวเดียวเองในบ้านยังมีผู้ชายอีกหลายคนที่มาช่วยงาน รวมครอบครัวของพวกเขาอีกสี่ปาก เดิมทีมันก็ไม่พอกินอยู่แล้วและนางหวางก็เข้าใจความหมายของซูหวั่นในทันที“ข้าว่าพวกเจ้าไม่อยากที่จะหยิบยื่นเนื้อไก่ให้บ้านใหญ่อยู่แล้ว ยอมให้คนอื่นกินเนื้อ แต่กลับไม่ยอมให้พ่อแม่กิน พี่รองพี่สะใภ้รอง พวกพี่รีบออกมาบอกสิว่านี่มันเหตุผลแบบไหนกัน!”เมื่อวานนางไม่ได้กินเนื้อไก่เลย วันนี้นางจะต้องกินไก่สักคำให้ได
ซูหวั่นเป็นกังวล หลังจากต้มยาเสร็จแล้วก็ยกเข้าไปในบ้าน หลังจากบอกกับซูเหลียนเฉิงว่า รอให้เย็นสักหน่อยแล้วค่อยดื่ม นางก็รีบขึ้นไปบนบ้านใหญ่ในทันที แต่ประตูของบ้านใหญ่ปิดอยู่ โดยที่มันถูกล็อกอย่างแน่นหนาจากด้านใน ไม่ยากเลยที่จะคิดว่า จะต้องมีคนเข้ามาล็อกประตูหลังจากที่นางหลี่ได้เดินเข้าไป เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว หากนางหลี่เข้าไปไม่ได้ นางก็คงจะต้องกลับบ้านหรือตะโกนเรียกอยู่หน้าประตูอย่างแน่นอน และตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู งั้นก็แสดงว่าจะต้องเข้าไปข้างในแล้วอย่างแน่นอน หลังจากนางเข้าไปแล้วถึงจะปิดประตู เพราะป้องกันไม่ให้ซูหวั่นเข้าไปก่อเรื่องหรือเปล่า? ซูหวั่นหยิบก้อนหินมาวางไว้ที่ข้างกำแพงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปีนข้ามกำแพงแล้วเปิดประตู ลานบ้านมืดมาก ไม่ได้จุดไฟตะเกียง มีแสงไฟสลัวๆ ส่องออกมาจากหน้าต่างก็ห้องหลัก พร้อมกับเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าเซี่ยงดังแว่วมา “กินเหลือแล้วค่อยยกมาใช่ไหมล่ะ!”แม่เฒ่าเซี่ยงเอามือทุบโต๊ะ แทบอยากจะบีบคอนางหลี่ให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอดไปเลย “มีแค่นี้ก็กล้ายกขึ้นมางั้นเหรอ เห็นว่าพวกข้าเป็นขอทานหรือไง หลี่เซียงหรู ก่อนห
“ตอนนี้มันเป็นยังไง ประคบประหงมลูกสะใภ้อย่างกับอะไร บอกว่าไม่กลัวใครเขาจะหัวเราะเยาะและเข้าใจผิดเหรอ”ยิ่งพูดแม่เฒ่าเซี่ยงก็ยิ่งอุกอาจ โดยที่ใบหน้าของพ่อเฒ่าซูนั้นกลับดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็คิดว่าภรรยาเฒ่าของตัวเองช่างโง่จนเกินเยียวยาแล้วจริงๆ คำพูดอะไรก็สามารถพูดออกมาได้ทั้งนั้น “ยัยเฒ่ารีบหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”พ่อเฒ่าซูโกรธจนจุกหน้าอก และแขนขาก็สั่นไปหมด“เจ้ามันพูดไม่คิดเสียจริงๆ ยังกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอไง!” เมื่อเห็นเขาโกรธแบบนี้ แม่เฒ่าเซี่ยงก็คิดเพียงว่าตัวเองได้พูดแทงใจดำพ่อเฒ่าซูเข้าเสียแล้ว และนางก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่“หรือว่าข้าพูดผิดไปงั้นรึ? แกไม่ระวังกาลเทศะเอง แล้วจะมาโทษข้าได้ยังไง!” “เจ้า!” พ่อเฒ่าซูหายใจเข้าลึกๆ ใช้มือค้ำโต๊ะเอาไว้ โดยยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี ร่างกายของเขาก็อ่อนลง จากนั้นก็ร่วงจากโต๊ะและไปกองอยู่ที่พื้น หายใจอย่างกระหืดกระหอบ ซูฉางฝูตื่นตระหนก รีบไปคว้าพ่อเฒ่าซูเอาไว้“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไรไปครับ!” เมื่อเห็นว่าพ่อเฒ่าซูเป็นลมล้มพับลงไป แม่เฒ่าเซี่ยงก็ตื่นตระหนกจนไม่กล้าพูดอะไรอีก พร้อมกับวิ่งโซ
ซูลิ่วหลางขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เมื่อขอบตาเจ็บแปลบๆ น้ำตาก็ได้ไหลออกมาเป็นสาย นางหลี่ย่อตัวลง และลูบศีรษะของซูลิ่วหลางด้วยความรัก“แม่ไม่ระวังตัวแล้วไปกระแทกกับขอบโต๊ะเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่กี่วันก็หายแล้ว” ซูลิ่วหลางเอาตัวถูกับนางหลี่ไปมา พร้อมกับเป่าไปที่นางหลี่เบาๆ ราวกับแม่ที่กำลังเป่าบาดแผลให้ลูกอยู่“ท่านแม่ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม แค่เป่าๆแบบนี้ ความเจ็บก็บินหายแล้วล่ะ!” ขอบตาของนางหลี่ร้อนผ่าว และไม่รู้ว่าขอบตานั้นได้เปียกชื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางปาดน้ำตา และตบท้ายทอยของซูลิ่วหลางเบาๆ“เด็กโง่” “ท่านแม่ ท่านพ่อให้ข้าคอยดูน้ำอาบเอาไว้ ตอนนี้น้ำอาบยังร้อนอยู่เลยนะ ท่านกับท่านพี่รีบไปอาบน้ำเถอะ อาบแล้วจะได้นอนสบายๆไง” เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหวั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของซูลิ่วหลางกระดำกระด่างไปแล้วในตอนนี้ ซึ่งต้องอาศัยแสงจันทร์ถึงสามารถมองเป็นได้ชัด นางถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการที่นางต้องการให้ครอบครัวนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น มันคงเป็นภาระที่หนักและห่างไกลเหลือเกิน ซูหวั่นหยิกหน้าเล็กๆของซูลิ่วหลาง“มอมแมมขน
หลังจากส่งถังเสี่ยวจิ่วออกจากบ้านตระกูลซูไปแล้ว ซูหวั่นถึงได้อธิบายที่มาที่ไปของถังเสี่ยวจิ่วให้นางหลี่ฟัง นางหลี่เป็นคนที่ซื่อๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่สูงศักดิ์ นางก็ต้องรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา“อาหวั่น งั้นท่านชายคนนี้ เจ้ารู้ตื้นลึกหนาบางของเขาหรือเปล่า หากไปมาหาสู่กันแบบนี้ มันจะเป็นการนำอันตรายมาสู่เจ้าหรือไม่ แม่เกรงว่า...” “ท่านแม่ ท่านแม่วางใจได้ ข้าคิดทบทวนเรื่องนี้ดีแล้วนะคะ” ถังเสี่ยวจิ่วไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ตั้งใจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเรื่องตื้นลึกหนาบางนั้น มันคงไม่จำเป็นแต่อย่างใด ในยุคสมัยแบบนี้ มีเพียงทวนดาบเท่านั้นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ หากขี้ขลาดและอดกลั้นอย่างโง่งมก็รนแต่จะเหมือนพ่อและแม่ของนางเท่านั้น และมันก็ยิ่งจะทำให้คนอย่างแม่เฒ่าเซี่ยงยิ่งเหิมเกริมเข้าไปใหญ่ คำพูดเหล่านี้ ซูหวั่นเก็บไว้แค่ในใจ โดยไม่ได้พูดกับนางหลี่แต่อย่างใด เพราะเกรงว่าจะทำให้นางหลี่เป็นกังวลเสียเปล่า เมื่อเห็นว่าซูหวั่นมั่นใจ นางหลี่ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้“อาหวั่น เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้