บทที่ 12 ข้าจะเผยความชั่วของนางเอง
หานเสี่ยว์ลุกขึ้นยืนทอดสายตามองไปด้านนอกหน้าต่างตอบคำถามที่ลู่ฟางได้เอ่ยถาม
“ใช่ ! ข้าเองไม่อยากจะให้นางต้องมาเลี้ยงดูเด็ก ๆ อีกต่อไป ตลอดเวลาที่นางแต่งเข้ามาข้าเองก็ไม่ได้มีใจให้นางเลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางรังแกเด็ก ๆ จนกระทั้งตอนที่นางตกน้ำจากการผลักของลู่เอ๋อร์ ข้าก็ได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมาข้าเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนเสียจริงปล่อยให้นางรักแกลูกของตนเองได้” เขาเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดไม่รู้เรื่องที่ลูก ๆ ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานใจเช่นนี้
“แล้วทำไมท่านพี่ถึงได้ไม่ลงโทษฮูหยินของท่านล่ะเจ้าคะเด็ก ๆ น่าสงสารเสียจริง”ลู่ฟางใบหน้าเศร้าสลดทำท่าทีสงสารเด็ก ๆ แสร้งว่าตนเองนั้นไม่รู้เรื่องทั้ง ๆ ที่นางเองก็รับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่นางไม่อยากจะบอกเหิงเยว์เพราะนางอยากให้เหิงเยว์ได้รับรู้ด้วยตนเอง และหย่าพร้อมไล่หานเสี่ยว์ออกจากเรือนนี้ไปส่ะ หลังจากนั้นนางจะเข้ามาแทนที่เอง
“เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อของนางเป็นขุนนางที่มีอำนาจ แค่นางยอมหย่าให้ข้าก็ดีมากแล้ว ในตอนแรกนางบอกจะหย่าให้แท้ ๆ แต่จู่ ๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปไม่ยอมหย่าเสียอย่างนั้น ข้าเองจึงไม่รู้จะทำอย่างไร อีกอย่างช่วงนี้ดูเหมือนว่าลู่เอ๋อร์กับเลี่ยงเฟิงเองก็อยากอยู่ใกล้ชิดนางมากกว่าแต่ก่อน” เขาได้บอกกล่าวกับลู่ฟาง นางเองครุ่นคิดได้แต่เคลือบแคลงใจ ในคำพูดของท่านพี่เหิงเยว์หากนางจะหย่าเหตุใดถึงทำดีกับเด็ก ๆ เช่นนั้น
“ท่านพี่อย่าหาว่าข้ายุ่งวุ่นวายกับเรื่องในเรือนของท่านเลยนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเข้ามาข้าเห็นเด็ก ๆ อยู่กับฮูหยินของท่านที่ศาลาด้านนอก นางน่าจะแสร้งทำดีจนเด็ก ๆ วางใจ ท่านพี่เหิงเยว์รู้ใช่มั้ยเจ้าคะว่าคนเราไม่น่าจะเปลี่ยนไปราวคนละคนเช่นนั้นได้ ข้าคิดว่านางน่าจะมีแผนอันใดแน่ ๆ ที่ข้าเอ่ยออกมาเพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ” ลู่ฟางทำทีเห็นใจและสงสารเด็ก ๆ
“ข้าไม่อยู่เฉยแน่หากนางคิดจะทำอันใดเด็ก ๆ ส่วนเจ้าวันนี้หมดธุระแล้วก็กลับเถิด ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย ฝากขอบน้ำใจท่านป้าด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ วันหน้าข้าจะมาหาท่านพี่และหลานใหม่ ท่านพี่ดูแลตนเองด้วยนะเจ้าคะ” ลู่ฟางลุกขึ้นมาก้มโค้งลงก่อนจะเดินออกไปอย่างเสียดาย ที่เหิงเยว์ไม่เคยมองนางเป็นอื่นเลย แต่อย่างไรนางเองก็ไม่ย่อท้อ นางจะทำทุกทางให้เหิงเยว์จัดการไล่หานเสี่ยว์ออกจากเรือนของเขาไปส่ะ
“คิดว่าทำดีแล้วท่านพี่จะมองท่านเปลี่ยนไปงั้นหรือ ข้าจะเปิดโปงความชั่วช้าของท่านเอง ”ลู่ฟางเดินออกจากเรือนของเหิงเยว์พร้อมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา นางจะหาทางให้หานเสี่ยว์ต้องออกไปจากที่นี่
ฝั่งด้านหานเสี่ยว์เมื่อกลับมาห้องก็ให้เข่อซิงเล่าเรื่องของลู่ฟางให้นางฟังทั้งหมด ก็ได้รู้ว่าลู่ฟางนั้นเป็นผู้ใดและนางจะไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะไม่อยากมีเรื่องราว แค่ได้สนทนากันในวันนี้ก็พอรู้นิสัยของนางว่าไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เฮ้อ ! ข้าจะทำอย่างไรไม่ต้องพบเจอนางดีนะเทพสวรรค์บัลดาลให้ข้าทะลุมิติมาที่นี่ทำไมต้องให้ข้ามาพบเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย ” หานเสี่ยว์พึมพำอยู่เพียงลำพังไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนค่ำอีกแล้ว
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามาแล้ววันนี้ข้ามีของมามอบให้แก่ท่านด้วยเจ้าค่ะ ”เสียงเล็กแหลมที่วิ่งเข้ามาหาหานเสี่ยว์ได้ถือของซุกซ้อนอยู่ด้านหลังใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามีอันใดให้ข้าหรือ ตื่นเต้นเสียจริงอยากรู้แล้วสิ” หายเสี่ยว์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ในห้องของตัวเองก็ทำท่าทางตื่นเต้นอยากรู้ว่าเด็กน้อยนี้มีอันใดมาให้นาง
“ท่านแม่ต้องชอบมาก ๆ แน่ ๆ เจ้าค่ะ " ลู่เอ๋อร์ยื่นผ้าเช็ดหน้ามอบให้แก่หานเสี่ยว์นางรีบรับมาดูก็ต้องตื้นตันหัวใจ
“นี่เจ้าปักชื่อของข้าด้วยตนเองหรือ” หานเสี่ยว์ลูบตัวอักษรที่ปักเป็นชื่อนางก็อดที่จะดีใจไม่ได้แม้ตัวอักษรจะยังไม่สวยงามเพราะลู่เอ๋อร์ยังเด็กแค่นี้นางก็รู้สึกดีมาก ๆ
“เจ้าค่ะ ข้าถามจากท่านพี่ว่าชื่อของท่านแม่เขียนเช่นไรจึงตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้ามาให้ท่านแม่ "
“งดงามมาก ๆ อย่างนี้ข้าต้องตอบแทนเสียแล้ว” หานเสี่ยว์ดึงตัวของลู่เอ๋อร์มากอดพร้อมหอมที่แก้มแดงระเรื่อของเด็กหญิงฟอดใหญ่
“คุณหนูเจ้าคะถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงได้เข้ามาตามนายหญิงของตนเองไปทานอาหารที่ห้องโถงก็ได้พบภาพที่อบอุ่นหัวใจ อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นหัวใจ
“เราไปกินอาหารเย็นกันเถอะแล้วเลี่ยงเฟิงล่ะไม่มากับเจ้าด้วยหรือ” หานเสี่ยว์ลุกขึ้นจับมือของลู่เอ๋อร์ก่อนจะถามหาเด็กชายตัวน้อย
“ท่านพี่เลี่ยงเฟิงน่าจะไปรออยู่ที่ห้องโถงแล้วเจ้าค่ะ” หานเสี่ยว์พยักหน้ารับรู้พร้อมเดินไปที่ห้องโถง
เมื่อมาถึงก็พบว่าตอนนี้มิใช่แค่เลี่ยงเฟิงที่นั่งรอนางอยู่แต่มีเหิงเยว์ที่นั่งรอทั้งสองเช่นกัน
“พวกเจ้าจะให้ข้ารอถึงเมื่อไหร่เหตุใดถึงนานมาเหลือเกิน " มาถึงก็ต้องเจอกับคำถามที่น่าชวนปวดหัว นางไม่คิดอยากจะร่วมโต๊ะกับเขาด้วยซ้ำเหตุใดวันนี้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย
“แล้วทำไมท่านไม่กินก่อนล่ะ ปกติท่านไม่เคยมาร่วมโต๊ะด้วยซ้ำ"
“ท่านพ่อขอรับอย่างไรท่านแม่ก็มาแล้วอีกอย่างท่านพ่อเองก็พึ่งมาถึงเมื่อครู่อย่าต่อว่าท่านแม่เลย" เลี่ยงเฟิงกระตุกแขนเสื้อของท่านพ่อเพราะไม่อยากให้ทั้งสองต้องมาต่อว่ากันด้วยเรื่องเท่านี้ หานเสี่ยว์มองหน้าเหิงเยว์อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยมีลู่เอ๋อร์กับเลี่ยงเฟิงนั่งคั่นระหว่างกลาง
สาวใช้ก็ได้จัดเตรียมมาวางจนเต็มโต๊ะ หานเสี่ยว์ก็รีบกินอาหารให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะไม่อยากอยู่ร่วมโต๊ะกับเหิงเยว์เท่าไหร่นัก
“เจ้าดูแลเรือนให้ดีข้าจะไม่อยู่ที่เรือนนี้สองวัน " จู่ ๆ เหิงเยว์ก็ได้พูดขึ้นทำให้ความเงียบบนโต๊ะอาหารได้ดังขึ้น
“ทำไมต้องบอกข้าด้วย ท่านจะไปไหนข้าไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย”
“ที่ข้าต้องบอกเพราะหากข้าไม่อยู่ที่เรือนมีเรื่องอันใดเจ้าตัดสินใจเองได้เลย " หานเสี่ยว์พยักหน้าเพื่อรับรู้ ก่อนจะตั้งใจกินอาหารต่อ
“ท่านพ่อให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” เลี่ยงเฟิงได้เอ่ยถามเพราะคิดว่าท่านพ่อของตนนั้นไปเที่ยวเล่นต่างแคว้น
“ข้าไม่ได้ออกไปท่องเที่ยวแต่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ หากวันหน้าข้าว่างจะพาเจ้าทั้งสองไปเที่ยว” เลี่ยงเฟิงมีใบหน้าที่สลดเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจท่านพ่อของตนเอง
“เช่นนั้นท่านพ่ออย่าลืมซื้อขนมอร่อย ๆ มาฝากข้าด้วยนะเจ้าคะ” ลู่เอ๋อร์เองก็ได้พูดขึ้นมาเวลาที่นางเอ่ยเรื่องของกินแววตาของนางก็ส่องประกายแวววาว ทำให้หานเสี่ยว์ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ด้วยความเอ็นดูนาง
“ได้สิเดี๋ยวข้าจะซื้อมาฝากพวกเจ้าทั้งสอง”เขาลูบหัวของลู่เอ๋อร์พร้อมรับปากนาง
“ทั้งสองได้อย่างไรขอรับ ท่านพ่อต้องซื้อมาฝากท่านแม่ด้วยนะขอรับ” เลี่ยงเฟิงที่มีคติเปลี่ยนไปแล้วก็ได้เอ่ยให้ท่านพ่อซื้อของมาฝากท่านแม่ด้วย
“ก็ได้ พวกเจ้าอิ่มกันแล้วก็รีบพากันกลับห้องเถิดข้ามีเรื่องจะคุยกับหานเสี่ยว์สักครู่”
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ท่านแม่สัญญาว่าจะไปส่งข้ากับท่านพี่เข้านอนทุกวัน “
“เช่นนั้นไปส่งพวกเจ้าทั้งสองแล้วค่อยคุยกัน ”
เหิงเยว์ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารจะพาเด็ก ๆ ไปส่ง ทำให้หานเสี่ยว์อึดอัดยิ่งไปกันใหญ่
“มีเรื่องอันใดเอ่ยมาตอนนี้มิได้หรืออย่างไร เหตุใดต้องรอเด็ก ๆ ไปที่อื่นก่อนด้วยเล่า มันเสียเวลา” เมื่อนางไม่อยากอยู่เหิงเยว์เพียงลำพังก็ได้เอ่ยขึ้นมา
“เรื่องที่ข้าจะพูดคุยกับเจ้าเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ไม่ควรมารับรู้”
“ฮึ ฮึ แล้วแต่ท่านเถอะเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ไปกันเถอะข้าจะไปส่งพวกเจ้าเข้านอน ” หานเสี่ยวเคล้นหัวเราะออกมาจากในลำคอก่อนจะพาเด็ก ๆ ไปส่งที่ห้องโดยมีเหิงเยว์พร้อมกับเข่อซิงเดินตามหลังมา เมื่อส่งเด็ก ๆ เข้านอนเสร็จแล้วหานเสี่ยว์ก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามเรื่องที่เขาอยากจะพูดคุยกับนาง
บที่ 39 น้องของสองแฝด1 ปีต่อมา หลังจากวันนั้นหานเสี่ยว์ก็ได้ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับเหิงเยว์ใช้เวลาค่ำคืนด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งนางนั้นได้ตั้งท้องให้กับเหิงเยว์จนตอนนี้ท้องเริ่มแก่มากแล้ว แถมฤดูนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย เหิงเยว์จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้หานเสี่ยว์ไปใกล้แม่น้ำนั้นอีกเลย ในตอนแรกเขาแทบสั่งให้บ่าวนำดินมากลบบ่อน้ำนั้นไปส่ะเพราะกลัวว่าหานเสี่ยว์คิดจะกลับไปอีก แต่ถูกนางขอไว้ เพราะนี่คือความทรงจำที่ดีของนางหากไม่มีบ่อน้ำนี้ก็ไม่มีนางเช่นกัน เหิงเยว์ถึงยอมตามใจฮูหยินของเขา "คุณหนูเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะยืนนาน ๆ จะทำให้เหนื่อยเอาได้นะเจ้าคะท้องของคุณหนูก็โตมากกว่าสตรีที่อายุครรภ์เท่ากันด้วยซ้ำ หรือว่าคุณหนูจะตั้งท้องแฝดเจ้าคะ"เข่อซิงที่คอยประคองหานเสี่ยว์ได้เอ่ยขึ้นพร้อมมองไปที่ท้องของหานเสี่ยว์ "จริงหรือท่านแม่ เช่นนั้นก็ดีนะสิ" เลี่ยงเฟิงที่เดินมาจากห้องของตนเองก็ได้ยินที่เข่อซิงกล่าว "ท่านแม่จะมีน้องสองคนหรือเจ้าคะ งั้นก็เป็นเรื่องดีเสียจริงข้ากับท่านพี่จะได้ไม่ต้องแย่งกัน น้องจ๋าเจ้าจงออกมาเป็นหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งนะได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่" ลู่เอ๋อร์ใช้มือเล็กลู
บทที่ 38 ทำน้องให้เด็กทั้งสอง"หานเสี่ยว์เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นนี่ก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่ทุกวันเด็ก ๆ ทั้งสองก็อยากเข้ามาหาเจ้าแต่ข้าก็ต้องโกหกไปว่าเจ้าไม่สบาย เพราะข้าไม่อยากให้เลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ต้องเสียใจที่รู้ว่าเจ้าจากไป เจ้าอยู่ที่ใดไม่สงสารใจข้าบางหรือ ข้าทำได้เพียงเฝ้ารอเจ้าอย่างท้อใจข้ามิอาจทำเช่นใดได้เลยกับมาหาข้าเถอะนะ หานเสี่ยว์ ไม่สิซู่ซ่าน หรือว่าจิวฉิง ไม่ว่าเจ้าจะชื่อนามอันใดข้าก็รักที่เจ้าเป็นเจ้ากลับมาหาข้าเถอะนะตอนนี้หัวใจของข้าแทบสลายแล้ว อย่าจากข้าไปเลย ข้ารักเจ้า เจ้าได้ยินมั้ยว่าข้ารักเจ้าเพียงใด" น้ำเสียงโศกเศร้าใบหน้าซูบผอมของเหิงเยว์ที่คร่ำครวญอยู่ข้างร่างหานเสี่ยว์พร้อมจับมือนางแน่นไม่ยอมปล่อย "รักเพียงใดหรือเจ้าคะ" จิวฉิงที่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างของหานเสี่ยว์ก็ส่งยิ้มพร้อมเอ่ยถามบุรุษที่พร่ำรักนางอยู่ต่อหน้า"ข้ารักเจ้ามาก ชีวิตของข้าก็ให้เจ้าได้ เอ๊ะ! เดี๋ยวสินางยังไม่ฟื้นนี่น่าหรือว่าข้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว " เหิงเยว์ชะงักเมื่อจู่ ๆ เขาก็ตอบคำถามหานเสี่ยว์ จึงได้ใช้มือตบหน้าตนเองเบา ๆจนหานเสี่ยว์ต้องจับมือของเขาเอาไว้"อย่าตีตนเองเลยนี่มิใช่
บทที่ 37 อย่าทิ้งข้าไป"นี่เจ้าจะทิ้งข้า ทิ้งเลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ไปจริง ๆ หรือ แล้วข้าจะอยู่อย่างไรเด็กทั้งสองจะอยู่อย่างไร ไม่ข้าไม่เชื่อเจ้าต้องฟื้นสิ ท่านหมอหลอกลวงข้าเจ้าต้องฟื้น แล้วเช่นนี้ข้าจะทนได้อย่างเล่าในเมื่อตอนนี้ข้ารักเจ้าหมดทั้งหัวใจ " ความเคว้งคว้างในหัวใจของเหิงเยว์ได้ก่อตัวขึ้น เขาซบหน้าลงซบร่างกายของหานเสี่ยว์สะอึกไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ภายในห้องก็มีเพียงเสียงร้องไห้ทุกข์ระทมของทุกคน เหิงเยว์ทำอะไรมิได้ทำได้เพียงร้องไห้แม้แต่เรี่ยวแรงที่เช็ดน้ำตาของตนเขายังทำไม่ได้เสมือนโลกทั้งใบได้แตกสลายไปแล้ว ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เขาได้เสียซู่ซ่านไปมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เขาเรียกนางซ้ำ ๆ เท่าไร่ร่างบางที่นอนแน่นิ่งก็มิอาจตอบสนอง "ข้ามิอาจจะช่วยเหลือฮูหยินของท่านได้ ต้องขออภัยอีกครั้งร่างที่นอนไร้สติของฮูหยินไม่นานชีพจรอาจจะหยุดเต้น ถึงเวลานั้นท่านคงรู้นะขอรับ หมดหน้าที่ข้าแล้วข้าขอตัว" ท่านหมอโค้งคำนับพร้อมออกจากห้องไป ปล่อยให้เหิงเยว์จมอยู่กับความทรมานใจอยู่เช่นนั้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นท่านหมอ แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบเห็
บทที่ 36 ลาก่อนฝั่งด้านหานเสี่ยว์นางกินอาหารเย็นเสร็จสิ้นก็ไล่ให้เข่อซิงกลับไปพักผ่อน วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่นางรอคอยมาตลอด จึงอ้างกับเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ว่านางมีอาการไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย เด็กทั้งสองเห็นท่านแม่มีอาการแปลกไปจึงคิดว่าไม่สบายจริง ๆ และไม่อยากรบกวนให้ท่านแม่ได้พักผ่อน นางรอจนทุกคนเข้านอนเมื่อนางเปิดประตูดูสถานการณ์ด้านนอกเมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปที่สระน้ำอยู่ด้านหลังเรือน ความเงียบสงัดทำให้หานเสี่ยว์เองก็รู็สึกเงียบเหงาเหลือเกิน นางเดินไปอย่างเชื่องช้า มองรอบ ๆ เห็นภาพความทรงจำที่ผ่านมาน้ำตาใส ๆ ก็เริ่มเอ่อนอง ความผูกพันธ์กับคนที่นี่ล้วนมีความหมายกับนางเหลือเกินมันเป็นความทรงจำที่มีค่ามาก ๆ ยิ่งก้าวเท้าเดินก็ยิ่งเจ็บถึงขั่วหัวใจ รอยยิ้มแววตาของเด็กทั้งสองที่คอยยิ้มให้ก็ยิ่งทำให้นางร้องไห้มากกว่าเดิม แต่ทุกอย่างนางต้องทิ้งไว้ที่นี่ "จากนี้ข้าคงไม่ได้พบเจอพวกเจ้าอีกแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขในทุก ๆ วัน ลาก่อนนะเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ " เมื่อมาถึงสะพานหานเสี่ยว์ก็ได้ก้าวเท้าขึ้นไปยังสะพานเพื่อไปอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ก่อ
บทที่ 35 คำสอนของท่านแม่คล้ายคำกล่าวลารุ่งสางมาเยือนอีกคราหานเสี่ยว์ร้องไห้ทั้งคืนเมื่อนางตื่นเช้ามาเปลือกตาของนางก็มีอาการบวมแดง เข่อซิงได้เข้ามานำน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตาก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดเพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย"คุณหนูข้านำน้ำมาให้เจ้าค่ะ วันนี้ด้านนอกอากาศดีมากหากคุณหนูล้างหน้าเสร็จแล้วเราไปด้านนอกดีมั้ยเจ้าคะ" "ดีเช่นกัน" หานเสี่ยว์ก็ได้ล้างหน้าล้างตาเข่อซิงเองก็ช่วยแปรงผมให้ ไม่นานทั้งสองก็ได้ออกมารับลมด้านนอกต้นไม้นานาชนิดเริ่มผลิใบเขียวขจี อากาศสดชื่นยิ่งนักหานเสี่ยว์ทอดสายตามองเหล่าผีเสื้อแมลงปอต่างพากันบินวนดมเกสรดอกไม้เพื่อดำรงชีวิต "คงถึงเวลาแล้วสินะ" นางเอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องไปแต่หัวใจของนางตอนนี้ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางรอคอยเวลานี้มาตลอด นางคิดว่าวันที่นางไม่อยู่เด็กทั้งสองจะเป็นเช่นไรจะคิดถึงนางหรือไม่? หรือจะร้องไห้คร่ำครวญเพราะคิดถึงนาง แต่หากนางไม่ไปก็เป็นห่วงคุณย่าที่รอคอยนางอยู่อีกโลก นางยังมีห่วงหากจะอยู่ที่นี่ต่อ หานเสี่ยว์ยังคงต้องรอวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงนางถึงจะกลับได้ นางถึงเอ่ยถามเข่อ
บทที่ 34 เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะเข่อซิงเมื่อรับรู้ว่าคุณชายเหิงเยว์ต้องการอยู่เพียงลำพังกับนายหญิงของตนนางก็ก้มหน้าเพื่อรับรู้และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมนางเองก็อยากให้นายหญิงของตนมีความสุขเสียที เพราะอย่างไรตอนนี้คุณชายเหิงเยว์ก็ได้แสดงท่าทีว่ารักนายหญิงของนางเข้าแล้วและพร้อมจะดูแลนางตลอดไป เพียงแต่นายหญิงของนางต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป "อย่าพึ่งไปอยู่ชมจันทร์กับข้าเสียก่อน ""ไม่ข้าอยากจะพัก ข้าเหนื่อย" เหิงเยว์มองใบหน้าของหานเสี่ยว์ก่อนจะตัดสินใจอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมแขน ทำให้นางตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและกลับตกจากอ้อมแขนของเขา"หากข้าอุ้มเจ้าอยู่เช่นนี้เจ้าคงไม่เหนื่อยใช่หรือไม่ ?""อ๊าย ! นี่ท่านทำอะไรของท่านปล่อยข้าลงไปนะ ""ทำไมล่ะ เจ้าเอ่ยเองว่าเจ้าเหนื่อยข้าก็ช่วยให้เจ้าได้พักอยู่นี่อย่างไรล่ะ ""มะ....ไม่ต้องปล่อยข้าลง ข้ายืนเองดีกว่า""ฮึ ก็ได้ " เขาปล่อยนางให้ยืนเอาเอง ตอนนี้หัวใจของหานเสี่ยว์เต้นแรงเมื่อร่างกายสัมผัสกันแถมเมื่อครู่ตอนที่เขาอุ้มนางได้กอดคอเขาแน่นเพราะกลัวตกได้ยินเสียงหัวใจของเหิงเยว์ที่เต้นไม่เป็นจังหวะทั้ง ๆ ที่นางพยายามห