กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใคร
จะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ
ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า
“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด”
“ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เจ้าคะ”
เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก
ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย
“ยืนเหม่ออันใดอยู่ตรงนั้น มารินชาให้ข้า”
“เพคะ”
หลานเสวี่ยสะดุ้งจากความคิดเรื่อยเปื่อยรีบเดินเข้าไปยกกาน้ำชารินให้ ทว่าสายตาของนางดันไปสะดุดกับตัวหนังสือบนม้วนไม้ไผ่ แน่นอนว่าเธออ่านออกเพราะอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
“อ่านออกด้วยหรือ”
“เพคะ หม่อมฉันรู้ไม่กี่ตัวอักษร คงไม่คู่ควรให้กล่าวว่าอ่านได้”
นางรีบถอยร่นออกไปข้าง ๆ ทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองทำตัวไม่เหมาะสม จนตกเป็นเป้าสายตาของฝ่าบาท เขามองเธอด้วยความสงสัย
“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่อง ภัยแล้งที่ส่งผลให้ราษฎรอดอยาก ไหนลองบอกความคิดของเจ้าสักหน่อยสิ”
“หม่อมฉันมิกล้า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวง หม่อมฉันเป็นเพียงบ่าวไพร่เกรงว่าจะพูดจาไม่เหมาะสม”
หลานเสวี่ยพยายามบ่ายเบี่ยง นางไม่กล้าพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตของนางคงตกอยู่ในอันตราย แต่เขาได้ฟังเธอพูดกลับยิ้มออกมา
“พูดมาเถิด ข้าไม่ถือสาเจ้าหรอก การที่จะปกครองคนก็ควรรับฟังความเห็นของผู้อื่น”
“ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมอบตรา ไว้ชีวิตให้หม่อมฉันได้หรือไม่ เผื่อพูดอะไรผิดอย่างน้อยก็รักษาชีวิตไว้ได้” ยิ้มแห้งให้
“ได้สิ ฉ่างกงกงเอาตราไว้ชีวิตมาให้เรา”
ใครจะคิดว่าเขาจะบ้าทำอะไรแบบนี้ แต่ก็ดีแล้วถ้าได้ตรานั้นมาอย่างน้อยก็มีประโยชน์เยอะเลย อีกอย่างนางจะได้เริ่มแผนที่คิดขึ้นมาเมื่อกี้
“นี้คือตราไว้ชีวิตพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฉ่างกงกง เดินก้มหน้ามามอบตราให้ ก่อนจะหันมองไปทางหลานเสวี่ยด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่รับใช้ฝ่าบาทมาเกือบสามสิบปีตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเจ้าชายองค์น้อยจนถึงขึ้นครองราชย์ เขายังไม่เคยเห็นฝ่าบาทจะมองสตรีนางไหนด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อนเลย
“กระหม่อมขอทูลลา”
“ไปเถอะ เอาล่ะคงไม่มีสิ่งใดแล้วกระมังพูดได้หรือยัง"
“เพคะ ฝ่าบาท”
หลานเสวี่ยรีบเอาตราไว้ชีวิตเอาไปเก็บในช่องมิติ ก่อนจะหายใจโล่งขึ้นมา
“จากความเห็นของหม่อมฉัน คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงมากเท่าไหร่ ก่อนอื่นต้องดูว่าขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องนี้ โปร่งใสหรือไม่ และค่อยใช้เงินซื้อเสบียงจากที่อื่น จากที่หม่อมฉันได้ฟังจากคนในวังพูดกันว่า มีแค่หกเมืองที่กำลังพบกับความหิวโหยขั้นรุนแรง คิดว่าคงมีเงินพอที่จะซื้อเสบียงแจกจ่ายนะเพคะ”
สีหน้าท่าทางที่เธอพูดดึงดูดความสนใจของเขายิ่งนัก ราวกับว่า เธอมีหัวคิดที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใด ความมั่นใจกับน้ำเสียงหนักแน่นทำให้น่าฟังขึ้นไปอีก
“ถ้าตรวจสอบแล้วว่าขุนนางเชื่อถือได้ แต่ไม่มีคนชายเสบียงให้จะทำอย่างไร เพราะหลายที่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”
“จะว่าไปมันก็มีวิธีอยู่ ฝ่าบาทรู้จักดินแดนเซียนหรือไม่เพคะ”
“ข้าพอรู้อยู่บ้าง”
“หม่อมฉันเคยรู้จักคนผู้หนึ่ง ที่เคยไปมาหาสู่กับดินแดนเซียน กับดินแดนมนุษย์ หากฝ่าบาทต้องการหม่อมฉันสามารถติดต่อกับสหายเก่าผู้นี้เพื่อถามไถ่ได้อยู่เพคะ”
“ข้าก็พึ่งรู้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ ถ้าเช่นนั้นก็จัดการเถิด เรื่องราคาข้าไม่ต่อ แต่ก็ไม่ควรแพงเกินไป ถ้าทำสำเร็จเจ้าจะได้ความดีความชอบ และจะได้รับรางวัลด้วย”
ขอรางวัลเป็นใบหย่าได้หรือไม่ หลานเสวี่ยคิดในใจ ก็อยากขอแลกเสบียงกับใบหย่าอยู่หรอก แต่พอคิดดี ๆ ถ้าเขาได้ของแล้วจะปล่อยเธอไปเหรอ อีกอย่างเมื่อรู้ว่าเธอมีความสามารถก็ยิ่งจะบังคับให้เธอทำงานให้อย่างกับเครื่องผลิตอาหาร ลำพังชีวิตเธอคนเดียวมันก็ง่ายมากที่จะออกไป แต่สองชีวิตของหยางกับเหมย คงรอดยาก
ด้วยเหตุนี้เธอจึงขอรับเงินแทนดีกว่า จากนั้นค่อยติดสินบนทหารยามแล้วหนีออกไป
“คิดอันใดอยู่ ทำไมยิ้มกว้างเช่นนี้”
“หม่อมฉันคิดถึงรางวัลเพคะ" ก้มหน้าเก็บความคิดไว้ก่อน
หลานเสวี่ยขอตัวไปเขียนจดหมาย จึงได้ออกมา พอไม่มีคนอยู่แล้วนางจึงออกจากตำหนักอันกง เดินตรงไปที่สวนหลวง ป่านนี้สองคนนั้นคงไม่กระวนกระวายใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วมั้ง
เมื่อมุดผ่านรูเข้ามาก็เห็นสองคนนั่งรอที่หน้าทางเข้า ทำเอาหลานเสวี่ยซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“ข้ากลับมาแล้ว"
ทันทีที่เสียงของนางดังขึ้นทั้งสองคนก็รีบวิ่งมาหาด้วยความเป็นห่วง พลางตรวจดูว่านางบาดเจ็บหรือเปล่า ทั้งสองคนน้ำตาเอ่อล้นด้วยความดีใจ
“ข้าไม่เป็นไร ยังอยู่ครบทุกสัดส่วน”
“แล้วคุณหนูสวมชุดอะไรอยู่หรือ"
เหมยรีบถาม พร้อมมองดูรอบ ๆ ตัว ก่อนที่หยางจะรีบตอบ “ชุดของนางกำนัลตำหนักอันกง คุณหนูเหตุใดท่านถึงไปที่อันตรายเช่นนั้น แถมยังเป็นนางกำนัล แบบนี้มันหยามเกียรติคุณหนูเกินไปแล้ว”
“พวกเขาทำกับท่านเข่นนี้ได้อย่างไร ท่านเป็นถึงพระชายา ทำไมถึงกล้าทำเช่นนี้”
“หยุดก่อน เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟังเอง”
หลานเสวี่ยเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนฟัง จึงทำให้พวกนางสงบลงบ้าง
“ถ้าหากซื้อขายสำเร็จ พวกเราจะได้ออกไปแล้วใช่ไหม ดีจังเลยเจ้าค่ะ”
“พี่หยางเราเตรียมเก็บข้าวของรอเลย”
“อย่าพึงดีใจไป ต้องรอให้เรื่องสำเร็จจริง ๆ ถึงจะเตรียมตัวได้ เพราะข้าเองยังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เหมือนจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
หลานเสวี่ยเข้าไปสำรวจในมิติ หลังจากเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก นางยังเพิ่มพื้นที่เก็บของด้วย ตอนนี้สามารถเก็บผลผลิตได้ถึง 100 ตัน ส่วนคะแนนเหลือ 105 กลับมายากจนอีกครั้ง แต่ถ้าขายมันฝรั่งพวกนี้จะได้เงินมากพอจะใช้ชีวิตสุขสบายไปตลอดชาติแน่
ในที่เก็บของมีมันฝรั่งเกือบสี่สิบตัน ถ้าเอาไปขายข้างนอกคงตกเป็นเป้าสายตาแน่ ๆ โชคยังดีที่ได้ขายตรงให้กับฮ่องเต้ คอยดูเถอะจะรีดเงินให้หนักเลย
เมื่อเสร็จธุระที่ตำหนักเย็นนางจึงออกไปเพราะต้อง แกล้งทำเป็นได้รับจดหมายสื่อสารแล้ว ค่อยตกลงราคากันอีกครั้ง ครั้งนี้นางเอามันฝรั่งทำไปด้วย จะได้ทำให้พวกเขารู้ว่าสิ่งนี้มีวิธีปรุงยังไง
นางมาถึงตำหนักอีนกงก็ต้องแปลกใจ เพราะมีข้ารับใช้ของหลี่ผิน ยืนรอด้านนอก นางปีศาจคงมาอีกแล้ว
“เจ้าไปพักเถอะ เดี๋ยวไปก่อเรื่องจะไม่ดี”
“เจ้าคะ ใบหน้าท่านหายดีแล้ว แถมยังสวยขึ้นอีก”
“เจ้าก็ด้วยเหรอ คนอื่น ๆ ชอบพูดเหมือนกัน จนพวกนางขอยานั้นกับข้า แต่ข้าใช้หมดแล้วเลยไม่มีให้”
“แบบนี้เอง ข้าน้อยขอตัวก่อนนะ”
“ไปเถอะ”
หลานเสวี่ยยิ้มร่าเมื่อหัวหน้านางกำนัลไม่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ตนแล้ว อีกอย่างก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า น้ำพุทำให้หน้าใส่จริง ๆ แม่จะไม่เท่ากับตัวเธอที่ไปอาบทุกวัน ทำให้ผิวดูสวยมีออร่าเปล่งปลั่ง แถมยังเนียนนุ่มน่าสัมผัสอีกด้วย
ส่วนใบหน้าของคนที่เอาน้ำพุไปทา จะได้รับความใสสว่างไร้รอยสิว ถ้าบรรจุขวดไปขายเธอต้องรวยแน่ ๆ รอก่อนเถิด มัวแต่คิดเพลินจนเดินมาถึงที่พัก ก็ดีแล้วจะได้นอนกลางวันบ้าง
“น้องเสี่ยวหลง มานี้สิ”
“ไปไหน ..”
หลานเสวี่ยถูกจูงมือมาห้องอาหารของนางกำนัล ก่อนจะพบอาหารน่าอร่อยมากมายบนโต๊ะ พร้อมนางกำนัลคนอื่นอีกหลายคน
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมพาข้ามาที่นี่”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากเลี้ยงอาหารเพื่อขอโทษเจ้าที่กล่าวหาว่าเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หัวหน้าต้องถูกลงโทษ พวกเราขอโทษจากใจจริง”
นางควรเชื่อดีไหม ดูสายตาแต่ละคนมีเป้าหมายชัดเจนมาก ราวกับเห็นหลานเสวี่ยเป็นผู้วิเศษ คงเป็นเพราะเรื่องของยาที่ทาแล้วหน้าใสไร้สิว ทำให้พวกนางทำดีด้วย
แต่ช่างเรื่องพวกนั้นก่อนตอนนี้หิวอีกแล้ว หลานเสวี่ยกัดน่องไก่คำโต แม้จะไม่อร่อยเท่าของจากระบบ แต่ก็พอกินได้
“กินด้วยกันสิ ข้ากินไม่หมดหรอก”
“ได้สิ”
พอกินเสร็จก็ไม่พ้นเรื่องของน้ำยาวิเศษที่พวกนางเรียก หลานเสวี่ยจึงใช้วิธีนี้เพื่อโปรโมทสินค้าใหม่ นั้นคือน้ำยาวิเศษ นางให้นางกำนัลพวกนี้เป็นคนลองใช้ ถ้าหากคนอื่นเห็นผลลัพธ์ต้องมาขอซื้อจากนางแน่ ๆ
แบบนี้ก็ไม่เสียหายอะไร จึงให้ไปคนละขวด แล้วค่อยไปเดินย่อยที่สวน เพราะไม่มีอะไรทำ เป็นนางกำนัลที่ว่างมากจริง งานของเธอคนอื่นก็แย่งกันทำไปหมดแล้ว
“เสี่ยวหลง พระสนมหลี่ผินเรียกให้ไปพบ”
“ข้าเหรอ มีเรื่องอะไรกันนะ”
“ไม่รู้ แต่ท่าทางโกรธกริ้วมาก ระวังตัวไว้ด้วยนะ"
หลานเสวี่ยไม่เข้าใจว่าสนมคนนี้ ทำไมถึงเรียกเธอไป คงไม่ใช่เพราะอยากได้น้ำยาวิเศษแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นยังดีเสียกว่า เดินตามมาไม่นานก็เห็นหลี่ผินนั่งดื่มชาที่ศาลาริมน้ำในตำหนักอันกง
“หม่อมฉันจางเสี่ยวหลง คารวะพระสนม”
“เจ้าเองสินะนางจิ้งจอกคนนั้น คงจะใช้ใบหน้าสวย ๆ ของเจ้าใช่ไหมล่อลวงให้ฝ่าบาทเรียกใช้ทั้งวัน”
หลี่ผินไม่พูดเปล่าใช้มีของตนบีบแก้มของหลานเสวี่ยเอาไว้ ตอนนี้จะต่อต้านก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในสถานะนางกำนัล จึงได้แต่ยอมไปก่อน
“ถ้าเจ้ายังกล้าล่อลวงฝ่าบาทอีก ครั้งหน้าเจ้าจะไม่มีหน้าสวย ๆ แบบนี้ให้เชยชมอีก จำไว้”
“เพคะ หม่อมฉันจะจำไว้”
ใบหน้าของนางถูกบีบจนเป็นรอยแดง ก่อนจะถูกสะบัดจนหันไปตามแรง จากนั้นพวกเขาก็ค่อยเดินออกไป พร้อมกับยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะ
“บ้าผู้ชายจริง ๆ ใครจะอยากได้ผัวหล่อนกัน อยากได้ก็เอาไปเลยยกให้”
หลานเสวี่ยพูดตามหลัง แม้จะไม่รู้สึกเจ็บที่ใบหน้าเลย เพราะร่างกายของเธอแข็งแรงกว่าคนทั่วไปแล้ว แต่เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ หรือเธอจะทวงบัลลังก์เมียเอกแล้วสั่งลงโทษพวกนั้นให้เข็ดหลาบเลยดีไหม โมโหจริง ๆ
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ