หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ
“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน”
“รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ”
“ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ”
“เจ้าคะ ฉ่างกงกง”
นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้ง
พอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง
แต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลยว่าเธอจะทำได้ แต่เขาก็ลองเสียงดู ถ้าเธอโกหกก็แค่สั่งไปตัดหัว เพราะเขาก็มีแผนสำรองไว้ แม้จะเทียบไม่ได้กับแผนของนางกำนัลตัวเล็ก ๆ แต่ก็พอทำให้รอดพ้นวิกฤตด้วยการสูญเสียให้น้อยที่สุด
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจกราบทูล”
“เชิญ!”
เจ้ากรมพระคลัง แซ่กวนประสานมือขออนุญาต ก่อนจะมองมาที่หลานเสวี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ และถูกขนาบข้างด้วยขุนนางใหญ่ทั้งสองท่านที่นั่งบนที่นั่งพิเศษ
“กระหม่อมไม่สามารถเชื่อถือนางกำนัลผู้นี้ได้ นางเป็นใครมีรากเหง้ามาจากที่ใดถึงสามารถติดต่อกับผู้คนจากแดนเซียนได้ ข้าเองก็ขออภัยที่พูดตรง ๆ แต่นี่คือความคิดเห็นของข้า ท่านเจ้ากรมโยธาคิดเห็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าคิดเห็นเช่นเดียวกัน จะให้ปักใจเชื่อได้อย่างไรกัน”
“เอาละ เช่นนั้นนางกำนัลจาง เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร เพราะข้าเองก็ต้องฟังเสียงของเหล่าขุนนางของข้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นจึงจะเตรียมการได้”
เมื่อได้ฟังความคิดจากเจ้ากรมพระคลังกวนหวังหลิง และ เจ้ากรมโยธาหยางไป๋หวอ หลานเสวี่ยก็ยิ้มมุมปากหยิบมันฝรั่งสองสามลูกออกมา ดึงดูดสายตาของทั้งสามคนในห้องเป็นอย่างดี
“นี้คือมันฝรั่ง เป็นหัวมันจากแดนเซียน ให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าพืชผักในโลกมนุษย์ถึงสิบเท่า กินลูกเดียวอิ่มทั้งวันยังได้ อย่ากระนั้นเลยให้หม่อมฉันทำให้ เสวยเพื่อไขข้องใจเลยดีกว่า”
หลานเสวี่ยพูดพลางเดินถือมันฝรั่งสามลูกด้วยสองมือ นางเดินวันไปตั้งแต่เจ้ากรมคลัง ไปหาเจ้ากรมโยธา สุดท้ายมาหยุดที่ฮ่องเต้ ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันนางคงได้เป็นนักขาย แทนที่จะเป็นนักเศรษฐศาสตร์
ส่วนเจ้ากรมทั้งสองอึ้งไปเลย เพราะเกิดมาไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้ ส่วนฮ่องเต้ที่นั่งมองจากที่ไกล ๆ ก็ยิ่งสงสัยว่า สตรีผู้นี้เป็นนางกำนัลจริงหรือ การพูดจาฉะฉาน ความรู้แน่น ไม่เกรงกลัวอำนาจของฮ่องเต้เลยสักนิด แตกต่างจากคนอื่นที่สั่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ได้ ท่านทั้งสองก็ไปดูวิธี และบันทึกไว้เพราะต้องนำไปเผยแผ่ให้ทุกคนรู้”
“ยอมรับพระบัญชาฝ่าบาท”
“หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
เมื่อได้รับอนุญาตนางก็เดินเชิดหน้าออกมา เพราะลืมตัว ปกติชีวิตก่อนนางก็เป็นถึงลูกสาวมหาเศรษฐี ไม่เคยเดินก้มหน้าเลยไม่คุ้นเคย ทำเอาหลงเยี่ยนที่มองตามหลังได้แต่สงสัย ตกลงแล้วนางเป็นผู้ใดกันถึงกล้าทำเช่นนี้
หลานเสวี่ยมาถึงห้องครัวหลวง นางเดินตามหลังขุนนางทั้งสองมาที่นี่ ก็ทำเอาทุกคนในครัวแตกตื่นกันยกใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวก็รีบออกมารับหน้าแทบไม่ทัน
มาถึงที่นี่ก็นึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาสามปีที่หลานเสวี่ยต้องทนกินอาหารสุนัขพวกนั้น มันเป็นเพราะใครกัน อยากเห็นหน้าก่อนจะจดไว้ในบัญชีแค้น นางจึงสอดส่องทุกอย่างในห้องครัวด้วยความสงสัย
“ท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ มีอะไรให้ผู้น้อยรับใช้หรือขอรับ โปรดสั่งมาได้เลย”
“ข้าไม่มีหรอก แต่เจ้าจงทำตามความต้องการของนางกำนัลผู้นั้น ไม่ว่านางจะขออะไรก็ตาม”
“นางใช่ไหม”
พ่อครัวหันไปมองหลานเสวี่ยที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างในครัว พอใครมาขวางนางก็บอกไปว่ามากับเจ้ากรมทั้งสองจนไม่มีใครกล้าขวาง
“ห้องครัวนี้ทำอาหารส่งให้ตำหนักไหนบ้าง บอกข้าได้ไหม”
พ่อครัวร่างอ้วนใบหน้ายิ้มมุมปาก ดูเป็นคนถ่อมตน ไม่เหมือนคนไม่ดีเลย นางจึงไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร หรือมีใครสั่งมา ถ้าเป็นอย่างหลังก็นับว่าแย่มาก ที่ปล่อยให้คนรังแกภรรยาตัวเอง ไม่อายบ้างหรือไงฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน
“ห้องครัวหลวง ส่งอาหารไปทั้งตำหนักของวังหน้า และวังหลังทั้งหมด และอาหารของข้าราชบริพารทั้งหมดในวังล้วนทำจากที่นี่”
“รวมตำหนักเย็นด้วยหรือไม่”
พอได้ยินคำพูดของนาง ทุกคนหันมามองตาม ๆ กัน รวมถึง เจ้ากรมทั้งสองก็เช่นกัน ที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ เพราะคำว่าตำหนักเย็น กลายเป็นคำต้องห้ามไปแล้วในวังหลวง
“ใช่แล้ว นี้คือสำรับอาหารของตำหนักเย็น เนื่องจากเกิดภัยแล้ว แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงลดอาหารของตนถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้ต้องลดของตำหนักอื่นด้วย ก็จะเหลือเท่านี้”
“เช่นนี้เอง ตามสบายเถิดข้าแค่จะยืมครัวสักหน่อย”
“เช่นนั้นก็เชิญตามสบาย" หัวหน้าห้องครัวปาดเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างไม่เข้าใจ ทำไมแค่คุยกับนางกำนัลเขาถึงรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวแบบนี้
“ไม่มีอะไรมากหรอก มันฝรั่งสามลูกนี้ข้าจะทำอยู่สามเมนู นั่นคือต้ม,ทอด และสุดท้ายเผาไฟเหมือนมันหวานง่าย ๆ”
“พวกเราจะจดไว้ทุก รายละเอียดเลยเชิญแม่นางจางทำตามสบายเถอะ”
“ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ตามสบายเถอะ”
หลานเสวี่ยมองเจ้ากรมทั้งสองด้วยความสงสัย ทำไมบอกให้เธอไม่ต้องเกร็งทำตัวตามสบาย แต่พวกเขาเหงื่อออกทั้งตัว แถมสีหน้าไม่ดีด้วย ไหนจะเตรียมคนจดบันทึกเป็นสิบ ใครกันแน่ที่กำลังเกร็งอยู่
หลานเสวี่ยไม่สนใจพวกเขา ลงมือทำอาหารกับมันฝรั่งสามลูกที่โตเท่ากำปั้นนักกล้าม
วิธีต้มง่ายหน่อย ทำตามปกติได้ แค่ขั้นตอนสุดท้ายเอามาบด แล้วนำมาทานแทนข้าว อร่อยดี ส่วนเผาก็ทำได้ง่ายเหมือนกับมันหวาน หรือมันม่วงทั่วไป
บอกหน่อยคือวิธีทอด แต่ให้ความอร่อยยืนหนึ่ง ใครบางไม่ชอบเฟรนช์ฟรายส์ ใครไม่ชอบก็ช่าง แต่จางเสี่ยวหลงชอบมาก กินครั้งไหนต้องไปออกกำลังกายให้วุ่นกลัวอ้วน
เอาล่ะขั้นตอนก็มีตามนี้
1. หั่นมันฝรั่ง - หั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบาง ๆ หรือแท่งยาว ซึ่งการหั่นนี้อาจใช้มีดธรรมดา ไม่ได้บางหรือเป็นเส้นเล็กเหมือนที่เรามีในปัจจุบัน
2. ล้างน้ำ - แช่มันฝรั่งในน้ำเพื่อขจัดแป้งออกไปเล็กน้อย ช่วยให้กรอบมากขึ้นเมื่อทอด
3. ตั้งกระทะน้ำมัน - ใช้น้ำมันหมู น้ำมันงา หรือไขมันสัตว์ชนิดอื่นในการทอด เพราะน้ำมันพืชที่ใช้ทั่วไปอย่างถั่วเหลืองหรือดอกทานตะวันยังไม่เป็นที่แพร่หลายมาก
4. ทอดในกระทะ - ทอดมันฝรั่งด้วยไฟกลางจนเหลืองกรอบ หมั่นคนให้สุกทั่วถึงกัน
5. ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน - เมื่อมันฝรั่งทอดได้ที่ ให้ตักขึ้นพักบนภาชนะที่สะเด็ดน้ำมัน
6. ปรุงรส (ถ้ามี) - ในยุคนั้นการปรุงรสอาจใช้น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นเกลือธรรมชาติ หากมีเครื่องเทศ เช่น พริกไทย ก็สามารถเติมได้
พอแต่กลิ่นหอมของมันฝรั่งทอดฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว ทุกคนต่างกลืนน้ำลายตาม ๆ กัน อยากจะมีลาภปากได้ชิมสักชินก็บุญแล้ว แม้แต่หลานเสวี่ยที่เคยกินเฟรนซ์ฟรายส์มาก่อน ยังแปลกใจว่ามันฝรั่งทอดที่นางทำอร่อยมาก สดใหม่หวานเค็ม จนแทบไม่อยากแบ่งให้ฮ่องเต้เสวยแล้ว รู้แบบนี้เอามาเยอะ ๆ ก็ดี
แต่เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทาน นางก็เป็นคนยกสามเมนูไปที่ห้องหนังสือ ปวดแขนมาก จะให้คนอื่นทำก็ไม่ได้เพราะตัวเองเป็นนางกำนัลอยู่ตอนนี้ เรียวขาสวยรีบบึ่งไปที่ตำหนักอันกง ส่วนเจ้ากรมทั้งสองวิ่งตามทั้งจดทั้งถาม จนภาพลักษณ์ขุนนางผู้สง่าหายไปหมดแล้ว
“แม่นางจาง ข้าไม่เข้าใจว่าต้องทอดนานเท่าใด?”
“แล้วจะต้มนานเท่าใดกัน”
สองคนนั้นถามมาจนสุดทาง ถามทุกเรื่องแม้กระทั่งจะปอกเปลือกมันฝรั่งหนาเท่าใด ทำเอาหลานเสวี่ยปวดหัวไมเกรนขึ้นกันเลย
“ข้าจะจดข้อมูลให้ท่านทั้งสองเอง ในเมื่อมีวิธีการปฏิบัติแล้ว แค่เอาทฤษฎีไปเสริมน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ขอบคุณแม่นางจาง มาก ๆ นับว่าแม่นางช่วยพวกเราไว้เยอะเลย”
“ข้าเองก็เช่นกัน ในเมื่อมันเป็นของล้ำค่าคงจะดีไม่น้อยถ้าจะขอรายละเอียดการเพาะปลูกเจ้ามันวิเศษนี้ เอ่อ เดี๋ยวค่อยคุยรายละเอียดทีหลังก็ได้”
“ได้เจ้าคะ ข้าน้อยยินดีเป็นอย่างมาก"
นางรีบเดินต่อไป จนมาถึงตำหนักอันกงพอดี เมื่อเข้ามาข้างในสิ่งแรกคือฉ่างกงกง เอาเข็มเงินมาตรวจพิษให้เรียบร้อย แล้วจึงนำเข้าไปถวายให้ฝ่าบาทเสวยเป็นคนแรก
“สามอย่างนี้ดูแตกต่างกันจริง ๆ แม้จะเป็นอาหารจานดินแดนเซียนแต่ก็มีกรรมวิธีปรุงแต่งที่คล้ายกันกับโลกมนุษย์มาก เช่นนั้นนางกำนัลจางช่วยอธิบายแต่ละแบบให้พวกเราฟังเถิด”
“เมนูแรก ‘ต้ม’ เมนูนี้เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีกับข้าวเช่นเนื้อสัตว์ หรืออาหาร สามารถใช้มันฝรั่งแทนข้าวฟ่าง จะนำไปต้มแล้วเอาเปลือกออก จากนั้นบดให้ละเอียดใส่เกลือนิดหน่อยเท่านั้นก็มีรสชาติอร่อย
ที่สอง ‘ทอด’ เมื่อมีแค่มันฝรั่งกับน้ำมันหมู ก็สามารถอร่อยได้กับการทอด สามารถปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย อร่อยไม่แพ้กัน
อันที่สาม ‘เผา’ ง่ายมาก ในเมื่อมีแค่มันฝรั่ง ก็แค่เอาไปเผาไฟอ่อน หรือกลบด้วยขี้เถ้าร้อน ๆ เหมือนมันหวานทั่วไป เท่านี้ก็อิ่มท้องได้แล้วเพคะ
ฝ่าบาททรงลองเสวยดูเพคะ”
“แม่นางจางช่างลึกซึ้ง ที่ข้าพูดจาไม่น่าฟังเมื่อก่อนอย่าได้เก็บเอาไปคิดมากเลย จ้าคงต้องถอนคำพูดแล้ว”
“ข้าก็เช่นนั้น ดวงตาคนแก่คงมืดบอดแล้ว”
หลานเสวี่ยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะส่งสายตาให้ฮ่องเต้ที่ลังเลว่าจะทำอะไรดี หรือเขาไม่กล้าที่จะชิมอาหารของเธอ
“ฝ่าบาทเสวยเถิดเพคะ เดี๋ยวจะเย็นก่อนรสชาติจะไม่อร่อยเท่าที่ควร”
“ได้ ข้าจะลองดู”
หลงเยี่ยนยังคงหน้านิ่ง กดดันให้หลานเสวี่ยตื่นเต้นพอสมควร กลัวว่าอาหารที่ทำจะไม่ถูกปาก หรือเขาอาจตำหนิเธอก็เป็นได้ แต่ท่าทางของเจ้ากรมทั้งสองคงหมายตามันฝรั่งทอดตั้งแต่ตอนแรกแล้วมั้งเห็นมองไม่ยอมหยุดเลย
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ