เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ ....
บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน
แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้
ตำหนักสนมหานผิน
หานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป
นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พวกนางต่างมองมาด้วยความสงสัย กลิ่นหอมบนตัวหานหลง นั้นหอมเย้ายวนเหลือเกิน ถ้าเข้าใกล้ฝ่าบาทคงต้องพอพระทัยในตัวพวกนางเป็นแน่ ทำให้นางสนมพวกนั้นเริ่มประจบประแจงเพื่อตีสนิท
“น้ำหอมของท่านพี่หานช่างหอมเสียจริง บอกข้าได้หรือไม่ว่ามันคือน้ำหอมอันใดกัน ข้าอยากจะเอาไปฝากไทเฮาเสียหน่อย” หลี่ผิน กล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา แถมยังเอาไทเฮามาอ้างอีก
“กลิ่นหอมเช่นนี้ ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้าได้ลองสักครั้งคงจะทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานข้ามากขึ้นแน่ ๆ” เมื่อเห็นว่าหานหลงไม่ยอมพูด จางผิน สนมที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดก็หล่าวขึ้น
ส่วนนางสนมที่ต่ำกว่าขั้นผินไม่มีผูใดกล้าถาม เพราะกลัวจะถูกตำหนิ จึงได้แต่รับฟัง เผื่อตัวเองจะได้โอกาสใช้ของล้ำค่าเช่นนั้นบ้าง
“ใจจริงข้าก็อยากบอกพวกท่านนะ แต่พอดีจ้าเองยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เพราะมีพ่อค้าเร่เอามาขายให้ ตอนนี้พ่อค้าคงเดินทางไปเมืองอื่นแล้วกระมัง” นางไม่ยอมบอกหรอก ถ้าบอกไปก็ไม่เท่ายื่นอาวุธให้ศัตรูเหรอ
หลี่ผิน กับจางผินยิ้มมุมปากเพราะคิดเอาไว้แล้วว่านางไม่บอกแน่นอน แต่พวกนางก็จะสืบหาข้อมูลมาให้จงได้
“ได้ข่าวว่าฝ่าบาทจะทำพิธีขอฝนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ผู้ใดกันนะจะได้เป็นคนเต้นระบำบวงสรวงในพิธีครั้งนี้ ท่านพี่ทั้งสองคิดว่ามีสิทธิ์หรือเปล่าเจ้าคะ?”
หลี่ผิน แสร้งถามทั้งที่รู้ดีว่าตนเองจะได้รับสิทธิพิเศษนั้น เพราะนางเป็นหลานสาวของไทเฮา มีเหรอจะยอมให้โอกาสดี ๆ หลุดมือไปแม้จะตำแหน่งเท่ากันแต่นางไม่ได้มองว่าสองคนนั้นอยู่ในที่เดียวกันกับตนเองสักครั้ง
หานผินยิ่งไม่ชอบนางเข้าไปอีก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี นางก็มีครีมอาบน้ำที่หอมขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะแพ้ หลี่ผินไปแน่ “ข้าไม่สนตำแหน่งนั้นหรอก แค่ใช้เรือนร่างก็พอแล้ว ใช่ไหมน้องจาง”
“ใช่แล้วท่านพี่ พวกเรามีความงามเป็นอาวุธก็ต้องถนัดเรื่องนี้ แต่ดูแล้วน้องหลี่คงไม่เคยใช้ เพราะตั้งแต่เข้ามาถูกเรียกตัวไม่ถึงสามครั้งเสียด้วยซ้ำ”
สองพี่น้องต่างสายเลือดหัวเราะเบา ๆ นับว่าการจับมือกันครั้งนี้คุ้มค่ายิ่งนัก ทำให้หลี่ผินกัดฟันเดินออกไปได้ด้วยสีหน้าพ่ายแพ้เช่นนี้ก็ดีเกินคาดแล้ว
แต่นางก็ไม่เสียเวลาอยู่เช่นกัน จึงรีบเข้าไปในครัวหลวงหาของว่างให้ฝ่าบาทในยามที่ฟ้ามืดดื่มชาร้อน ๆ สักหน่อยคงดี นางยิ้มกว้างให้กับความคิดตัวเอง
หานผินกับขันทีรับใช้ และนางกำนัลอีกสองคนเดินมาถึงตำหนักอันกง ก็หยุดที่หน้าประตู ก่อนจะถูกเชิญให้เข้าไป ทันทีที่นางเดินผ่านทหารยามก็มองตามด้วยความหยาดเยิ้ม
ใครจะต้านทานความหอมเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะกับสตรีที่โดดเด่นอย่างหานผิน
“ฉ่างกงกง ข้าน้อยเอาของว่างมาให้ฝ่าบาท ช่วยกราบทูลด้วยเจ้าค่ะ”
“ช่วยรอสักครูข้าน้อยจะไปกราบทูลให้”
ขันทีของนางรีบยื่นถุงเงินให้กับฉ่างกงกง เพราะเป็นเรื่องปกติที่ทำกัน แบบนี้จะทำให้นางเข้าพบฝ่าบาทได้อย่างสบาย
ไม่นานฉ่างกงกงก็เดินออกมา “เข้าไปได้”
หานผินยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยกชุดน้ำชากับของว่างเจ้าไป
"หม่อมฉันหานผิน ขอถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ" คุกเข่าทำความเคารพตามธรรมเนียม
“ทำตัวตามสบายเถิด” เสียงเรียบนิ่ง
หานผินยกชุดน้ำชาเจ้าไปถวายบนโต๊ะ พร้อมกับเดินสะบัดตัวแรง ๆ เพื่อให้กลิ่นหอมส่งไปถึงฝ่าบาท ไม่นานฉ่างกงกงก็เอาเข็มเงินมาตรวจพิษในอาหารที่เอามา เมื่อไม่มีสิ่งใดก็ออกไปยืนข้าง ๆ ฝ่าบาท
หานผินนั่งเงียบ ๆ สายตาจับจ้องที่พระพักตร์ตรวจสอบดูว่าฝ่าบาทชอบกลิ่นน้ำหอมนี้หรือเป่ลา ทว่าไม่นานก็เดินมาทางนี้ก่อนจะนั่งลงตรงหน้า
“ฝ่าบาทหม่อมฉันรินชาให้เพคะ”
“ชาดี ขอบใจเจ้ามาก”
หานผินยิ้มร่าเมื่อได้รับคำขอบใจ ก่อนจะทำหน้าเศร้า แล้วเอ่ยคำอันหวานล้ำออกมา
“นานเท่าใดแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้มาหาหม่อมฉัน พระองค์คงจะทรงงานหนักใช่ไหมเพคะ”
“งานรัดตัวเช่นนี้คงไปไหนไม่ได้ ภัยแล้งหนักหนา ผู้คนหิวโหยข้าจะมัวนึกถึงความสุขตัวเองอย่างไร”
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ”
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ คืนนี้หากทำงานเสร็จเร็วข้าจะไปเยี่ยมเอง”
หานผินดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อฝ่าบาทรับปากเช่นนี้แล้ว มีหรือจะไม่มา นางจึงไม่กวนใจอีก ตอนนี้กลับไปอาบน้ำเตรียมตัวรอดีกว่า
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา”
“ไปเถอะ”
หานผินมาถึงตำหนักก็รีบให้คนเอาโคมไฟไปไว้ตรงมุมกำแพง เพื่อส่งสัญญาณ ไม่ว่ายังไงนางจะเหมาสินค้ามาให้หมด เดี๋ยวจะตกไปในมือคนอื่นเสียก่อน
“เรียบร้อยแล้วพระสนม” ไป๋กงกง รายงานความคืบหน้า
“ดี แล้วถ้าหากซื้อขายกันอย่าทำให้นางกำนัลผู้นั้นไม่พอใจเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษพวกเจ้าแน่”
“ข้าน้อยจะจำไว้ขอรับ”
ตกเย็นหลานเสวี่ยก็ออกมาตามนัด แม้ว่าวันนี้อากาศจะเหน็บหนาวเท่าใด แต่นางก็มีเสื้อกันความหนาวในตัว ชุดนางกำนัลของระบบชางคุ้มค่าจริง ๆ เดินมาถึงทางไปตำหนักของสนมหานผิน นางก็มองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินออกไป หลานเสวี่ยมารอที่ศาลาริมน้ำตรงมุมกำแพง
ไม่นานก็เห็นร่างอ้วนท้วนของไป๋กงกง เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เพราะยามนี้อากาศหนาวมาก
“ข้าน้อยไป๋กงกง มาแล้วขอรับ”
“เช่นนั่น เจ้านายของท่านคิดเห็นอย่างไร” หลานเสวี่ยเปิดประเด็นไม่อยากยืดยาว
“พระสนมหานผินพอใจอย่างมาก นางบอกว่าขอเหมาหมด จะขอซื้อขวดละ 100 ตำลึงทอง ท่านคิดว่าราคานี้เหมาะสมหรือไม่”
หลานเสวี่ยพูดไม่ออก ไม่คิดว่าราคาจะสูงถึงขั้นนี้ ที่นางคิดไว้คือ 1-2 ตำลึงทองเท่านั้น แต่โดดมาถึง 100 ตำลึงก็ไม่ขอปฏิเสธ
“ปกติแล้ว ราคาจะอยู่ที่ 110 ตำลึงทอง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจข้าจะลดให้ 100 ตำลึงก็ได้ อีกอย่างเอาสิ่งนี้ไปด้วย มันเรียกว่า ลิป ใช้ทาริมฝีปากให้แดงสวย มีกลิ่นหอมหวาน แถมยังไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย นี้เป็นขนาดทดลอง”
“ขอบใจกูเหนียง”
หลานเสวี่ยได้เงินมาแล้วก็รีบออกมาจากตรงนั้น 300 ตำลึงทอง เทียบเป็นเงินยุคปัจจุบันน่าจะราว ๆ 3-4 ล้านหยวน ก็ไม่น้อยเลย ดีที่ได้มาเป็นตั๋วเงินจึงไม่ต้องยุ่งยากในการเคลื่อนย้าย ไม่งั้นคงแขนหักกว่าจะเอากลับไปได้
เมื่อเดินมาถึงทางแยกนางก็ต้องก้มหน้ามองพื้น เพราะขบวนของฮ่องเต้กำลังจะผ่านมา เขาจะไปหาสนมหานผินแน่ ๆ หลานเสวี่ยคิดในใจ เพราะเขาคงชอบกลิ่นหอมบนตัวนาง และนั้นคือเหตุผลว่าทำไมสนมหานผินจึงเหมาครีมอาบน้ำไปหมด หลานเสวี่ยยิ้มมุมปากยกนิ้วให้แผ่นการของสนมหานคนนี้
หลานเสวี่ยโค้งคำนับอยู่ริมทาง เมื่อขบวนเกี้ยวของฮ่องเต้กำลังผ่านมาถึง แต่แล้วขบวนก็หยุดอยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น ทำเอารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
“เงยหน้าขึ้นสิ” เสียงรับสั่งของเขา ทำให้เธอไม่อาจขัดขืน
หลานเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ด้วยดวงตาคู่สวยดูเปล่งประกาย ริมฝีปากสะท้อนแสงจากโคมไฟระยิบระยับ หลงเยี่ยนถึงขั้นกลืนน้ำลายเมื่อมองนางอีกครั้ง
“เป็นเจ้าอีกหรือ มาทำอันใดยามวิกาลเช่นนี้”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมาทำธุระตามรับสั่งเพคะ” ก้มหน้าพูดจะถามอะไรหนัก ยิ่งกลัวจะถูกจับได้อยู่
“เช่นนั้นหรือ ไปได้” หลงเยี่ยนมองนางด้วยหางตา เพราะได้กลิ่นหอมจากตัวนางก็เลยสงสัย นิดหน่อย เดี๋ยวสั่งให้ตามสืบก็คงรู้เรื่องไม่ช้า
เมื่อขบวนของฮ่องเต้ผ่านไปหลานเสวี่ยก็เบะปากใส่ พร้อมกับคำด่าในใจ คนอะไรทิ้งเมียหลวงให้ลำบากปางตาย ส่วนตัวเองใช้ชีวิตกับเมียน้อยอย่างสุขสบาย สวรรค์ทำไมไม่ลงโทษเขาบ้างนะ
คิดแล้วปวดหัว หลานเสวี่ยหยิบซาลาเปามาทานให้หายปวด ไม่รู้ว่าช่วยได้หรือเปล่า แต่ของอร่อยดีต่อใจเสมอ
ในที่สุดก็มาถึงส่วนหลวง แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีทหารยามที่หน้าทางเข้าเต็มไปหมด ทำให้หลานเสวี่ยไม่สามารถเข้าไปในตำหนักเย็นได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าระบบมีความสามารถพิเศษหายตัวได้ก็คงดี
ถ้าอยู่แบบนี้ต้องถูกจับได้แน่ หลานเสวี่ยจึงเข้ามาในมิติ ดูสวนผักดีกว่า มันฝรั่งใบเขียวสวยงามมาก ไม่นานคงจะได้เก็บเกี่ยว อยู่ข้างในก็สะดวกสบายดี มีครบทุกอย่าง ลืมบอกไปว่า ระบบมอบของขวัญพิเศษสำหรับการอัพเกรดใหม่นั่นคือ กระท่อมไม้ อย่างน้อยก็สามารถนอนพักได้ มีเตียงนุ่ม ๆ ให้ด้วย
“วันนี้คงต้องนอนในมิติ ระบบช่วยปลุกด้วยนะเมื่อพวกเขาไปแล้ว”
(รับทราบ หัก 1 คะแนน)
ระบบจะขี้เหนียวเกินไปแล้วนะ แค่ปลุกเอง ช่างเหอะ นอนดีกว่ากินซาลาเปาไปหลายลูกแล้วง่วงขึ้นมาเลย
ด้านนอกมิติ มีหญิงวัยสี่สิบกว่านั่งชมดอกไม้อยู่บนที่นั่งพิเศษในสวนหลวง รอบข้างมีทหารคอยคุ้มกัน กับสาวใช้จำนวนมาก และ ขันทีอาวุโสที่ยืนข้าง ๆ
“ไทเฮาเพคะ นี้ก็ดึกแล้วทรงเสด็จกลับเถิด พระวรกายของพระองค์ยิ่งไม่สู้ดี อาจจะทรุดหนักเอาได้” หัวหน้านางกำนัลอาวุโส พูดด้วยท่าทางนอบน้อม
“อีกสักประเดี๋ยวค่อยกลับ นานแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ ถ้าร่างกายยังแข็งแรงดี คงจะดีไม่น้อย” แม้อายุจะเข้าสี่ แต่ผิวพรรณยังคงงดงาม ดูอ่อนเยาว์ ใบหน้าเปื้อนยิ้มมองดูดอกไม้ไม่ละสายตา
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ