“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก”
พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด
จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน
“ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า ‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
เมิ่งเจียวซินเห็นเจ้าลูกกระรอกหันกลับมามองภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของนาง ก่อนจะเงยใบหน้าที่คล้ายกับจะยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจ้องหน้านาง จากนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็สะบัดใบหน้ากลับไปจ้องภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของเจ้าตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กุยกุย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเคยวาดวงกลมแบบนี้ให้กับเด็กสิบสองหนาวคนหนึ่ง... เด็กคนนั้นสูญเสียมารดาไปได้ไม่ถึงปี ผู้เป็นบิดาก็หนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวกับสตรีคนใหม่ โดยทิ้งให้เด็กคนนั้นอยู่กับลูกแมวน้อยหนึ่งตัวในเรือนหลังเก่า นาน ๆ ครั้งผู้เป็นบิดาถึงจะนำเงิน และของกินของใช้เข้ามาให้ เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้เป็นบิดาและมารดา ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะฝั่งมารดาหรือบิดา หลังจากจ
ช่วงบ่ายของวันถัดมา หมิงจิวได้พาสตรีในหมู่บ้านคนหนึ่งมาที่เรือน เพื่อขอให้เมิ่งเจียวซินช่วยรักษา ซึ่งนางก็ได้ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย แล้วในระหว่างที่ทำการรักษาเจ้าลูกกระรอกก็ต้องเข้าไปหลบในห้องพักของนางเหมือนทุกครา หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้อง เขาก็เรียกจิ่นสือเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของงานที่สั่งไป แล้วเมื่อเขาได้ยินว่าบ่าวสตรีของเมิ่งเจียวซินยามออกไปนอกเรือน อีกฝ่ายได้เข้าไปทำงานในหอโคมเขียว เขาก็อดที่จะรู้สึกดูแคลนบ่าวสตรีนางนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าบ่าวสตรีจะแทบไม่มีหนทางให้เลือกเดิน แต่การที่อีกฝ่ายได้เข้ามาเป็นบ่าวในเรือนหลังนี้ แล้วมีเมิ่งเจียวซินเป็นนาย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับดิ้นรนพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันช่างเป็นการตัดสินใจที่แสนจะโง่เง่าสิ้นดี แล้วหลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรู้ว่า สตรีปีศาจที่มาพร้อมกับบ่าวสตรีนางนั้น ก็เป็นสตรีในหอโคมเขียวไม่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึ
หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับเข้ามาในห้องพัก ยามนี้บนเตียงของนางมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านตำราอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินไปหยิบตำราที่วางอยู่บนโต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนจะขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างเด็กหนุ่มผู้นั้น จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นว่า “กุยกุย ในเมื่อยามนี้เจ้าสามารถกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นได้แล้ว ข้าว่า...” แค่ก แค่ก! แค่ก! “ซินซิน เมื่อหัวค่ำข้าลืมบอกเจ้า หลังจากที่ข้าอาบน้ำเสร็จ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็หันหน้ากลับไปทางฝั่งด้านในเตียง แล้วพยายามที่จะไอต่อ “จริงหรือ?” “อืม!” แค่ก! แค่ก! แค่ก!! “เช่นนั้นพรุ่
หลี่อวิ้นกุยยื่นขาหน้าทั้งสองข้างออกไปรับถังหูลู่มากัดกิน ยามนี้เขาอยากรู้ว่า ผลซานจาเคลือบน้ำตาลร้านนี้มันมีอะไรดี เหตุใดสตรีตรงหน้าจึงทำราวกับว่าไม่เคยกิน แล้วเมื่อเขากัด...พร้อมกับมองดวงหน้าของนาง ‘อืม...มันก็อร่อยดี’ หลังจากกินถังหูลู่หมด เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปถามพ่อค้าหาบเร่ “ท่านลุงเจ้าคะ คือ ข้าอยากได้ชุดบุรุษแบบสำเร็จรูปสักสองสามชุด ท่านลุงพอจะมีร้านแนะนำข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” “มีอยู่ร้านหนึ่งตรงหัวมุมถนน ร้านนี้ขายของในราคายุติธรรมขอรับ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วเมื่อเห็นเมิ่งเจียวซินเดินห่างออกมาพอสมควร หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “ซินซิน เจ้าจะซื้อชุดบุรุษให้ข้
“คุณหนู ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ คือ...ข้าขอแนะนำเป็นกำไลหยกวงนี้ให้กับคุณหนู สตรีอย่างเราไม่ควรจะปล่อยแขนให้โล่งเช่นนี้นะเจ้าคะ” เมิ่งเจียวซินหันไปมองกำไลหยกสีเขียวในมือสตรีเจ้าของร้าน ซึ่งขนาดและความหนาของหยกพอ ๆ กับวงที่เจ้าของร่างนี้คนเดิมเคยสวมใส่ นางจึงหยิบจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาลองทาบกับข้อมือของตนเองด้วยความรู้สึกสนใจ หลี่อวิ้นกุยเพิ่งสังเกตเห็นว่า บนร่างกายของเมิ่งเจียวซินไม่มีเครื่องประดับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเขาหันไปมองกำไลหยกที่สตรีเจ้าของร้านยื่นให้นางดู แม้ว่ากำไลหยกวงนั้นจะดูงดงามยามทาบลงบนข้อมือของนาง แต่เขากลับรู้สึกว่า กำไลหยกวงนั้นมันยังไม่เหมาะสมกับนาง เขาจึงหันไปมองกำไลหยกที่วางเรียงรายอยู่บนแผง... “ซินซิน ข้าว่า...กำไลหยกสีขาวที่วางอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะด้านซ้ายมือของเจ้า มันน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ” หลี่อวิ้นกุยขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของ
เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่เกินพอดีของสตรีเจ้าของร้าน นางก็เริ่มสงสัยว่า หรือนางกำลังถูกหลอกให้ซื้อของ แต่ก็ช่างเถิด...เพราะที่จริงแล้ว เจ้าของร่างนี้คนเดิมก็มีเครื่องประดับทั้งจากสินเดิมของผู้เป็นมารดา และจากที่บิดาซื้อมาให้เป็นของฝาก แต่เพราะเจ้าของร่างนี้คนเดิมไม่ค่อยได้ออกจากเรือน เจ้าตัวจึงเลือกเก็บของทุกอย่างที่ได้มาไว้ในหีบ แล้วเลือกใส่เพียงกำไลหยกติดตัวแค่วงเดียวเท่านั้น จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สวมกำไลหยกขาวเข้าไปในข้อมือของตนเอง แล้วการที่นางเลือกสวมกำไลหยกในทันทีนั้น ก็เพราะว่าสตรีที่อยู่รอบกายต่างก็สวมกำไล หรือไม่ก็ใส่สร้อยข้อมือกันทุกคน ซึ่งทำให้เมิ่งเจียวซินรู้ว่า หลังจากนี้นางคงต้องทำตัวให้ชินกับการสวมกำไลหยกเอาไว้แบบนี้ตลอดเวลา แล้วเมื่อกำไลหยกสัมผัสถูกผิวหนังบริเวณข้อมือของนาง ก็ทำให้เมิ่งเจียวซินรู้สึกได้ถึงความเย็น ซึ่งในขณะที่นางกำลังสนใจกำไลหยกบนข้อมืออยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นมาจากทางด้านหลั
เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา... ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่ “หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ” “อิจฉาข้า!” “ใช่” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก