หลังการเจรจาในครอบครัววันนั้น มันก็เป็นผลที่ทำให้วันถัดมาสิงหราชมีคุณเลขาเจ้าจันทร์มานั่งทำงานร่วมกันในห้องวันนี้
สิงหราชให้คนจัดโต๊ะใหม่ให้คุณเลขาในห้องของเขา เพื่อให้ตัวเขาสามารถจับตาดูคนคนนี้ได้
และก็พบว่าตัวเขาเองรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ในสายตาได้มองเห็นใบหน้านิ่งๆ ของเธอ
อันที่จริงนอกจากใบหน้านิ่งเรียบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาอย่างพวกรอยยิ้มการค้า เขาเองก็ไม่เคยเห็นว่าเธอจะแสดงสีหน้าอย่างอื่นออกมาอีก
ดังนั้นเมื่อวันก่อนที่เขาทำให้เธอหงุดหงิดใจได้นั้นก็นับว่าน่าสนุกอยู่ไม่น้อย
"คุณควรจะทำงานนะคะ ไม่ใช่มานั่งจ้องหน้าฉันทั้งชั่วโมงแบบนี้"
"ใครจ้อง"
"แต่ดิฉันเห็นค่ะ" เจ้าจันทร์เอ่ยตอบเสียงเรียบพลันช้อนตาขึ้นมองเขา
"งั้นแปลว่าคุณก็จ้องผมอยู่ทั้งชั่วโมงเหมือนกันน่ะสิ"
สิงหราชยกยิ้มตอบกลับหน้าตาย จะให้เขาทำอะไรในเมื่องานของเขามันเสร็จหมดแล้ว เอกสารสำคัญที่ต้องจัดการของวันนี้ก็พิจารณาอ่านและเซ็นไปจนหมดแล้วด้วย
เจ้าจันทร์ทอดมองใบหน้ายียวนนั้นก็ได้แต่นึกหงุดหงิดอยู่ในใจ
เธอไม่มีอะไรจะต่อว่าเขาได้ เพราะคุณสิงหราชคนนี้ดันเป็นพวกหัวไว ทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจนเธอหาข้อติไม่ได้ การทำงานของเขาไม่ใช่การทำเพียงส่งๆ แต่ทุกสิ่งผ่านการคิดวิเคราะห์มาดีแล้วทั้งหมด
เป็นคนที่เก่งจนน่าหมั่นไส้จริงๆ
"ถ้าคุณว่างแล้ว อย่างนั้นก็ลองอ่านเอกสารพวกนี้ดูก็แล้วกันค่ะ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทคู่ค้าที่เราต้องไปเจรจาในช่วงบ่ายนี้"
หญิงสาวขยับลุกจากที่นั่ง เดินตรงไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้อง ในขณะที่เธอวางแฟ้มให้เขาอ่าน สีหราชกลับขยับกายลุกขึ้นพลางบิดไปมาราวกับเกียจคร้าน
เขาทำท่าจะเดินออกจากห้องขณะที่ปากก็บอกว่าไม่อ่านแล้ว ขี้เกียจอ่าน จนเจ้าจันทร์ต้องขยับเข้าไปยืนขวางหน้าเอาไว้
"จะไปไหนคะ คุณสิงหราช"
"ไปหาอาหารตาอาหารใจ พ่อผมคงจะบรีฟคุณแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าห้ามผมออกไปเล่นซน ห้ามควงสาวเข้าบริษัทน่ะ"
"รู้แล้วก็ยังจะทำงั้นเหรอคะ" เจ้าจันทร์ขมวดคิ้ว
"ผมไม่ได้จะควงสาวเข้าบริษัท ก็แค่จะเดินไปเยี่ยมชมพนักงานของตัวเองก็แค่นั้น"
ได้ยินคำตอบนั้นเจ้าจันทร์ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นนั้นช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า จนสิงหราชที่มองอยู่ก็เผลอชะงักไปเหมือนกัน
ดูเหมือนเขาจะตาฝาดไป คิดว่าดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั้นน่าสนใจและน่าหลงใหลอย่างแปลกประหลาด
"คงไม่ได้จะลงไปหาสาวๆ เด็กฝึกงานที่คุณรับเข้ามาด้วยเหตุผลส่วนตัวหรอกนะคะ"
เธอดักทางอย่างรู้ทัน
"ไม่ให้หิ้วไปกินข้างนอกก็จะกินกันข้างใน นี่ก็นับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในบริษัทมากค่ะ"
"ให้ตายเถอะ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เรื่องนี้มันเรื่องธรรมชาตินะคุณ ต่อให้ผมจะกินใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ถ้ามันไม่กระทบงานก็น่าจะพอแล้วนี่ ผมไม่เห็นว่านี่จะทำให้บริษัทเสียหายตรงไหนเลย"
สิงหราชกล่าวไปตามที่ตัวเขาเองคิด เขาอยู่ต่างประเทศมานาน เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เห็นว่าจะมีใครสนใจสอดจมูกเข้าไปยุ่ง
จะควงใครไปไหนก็ได้ทั้งนั้น ในเมื่อเรื่องงานก็คือเรื่องงาน ขอแค่ทำงานได้ดีก็ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าคุณจะใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างไรบ้าง
ต่างจากที่ประเทศไทยนี่ จะควงใครทีก็เป็นข่าว ไม่เข้าใจเลยว่าการละเมิดความเป็นส่วนตัวคนอื่นกับการทุ่มความสนใจให้ข่าวฉาวมันจะช่วยทำให้คนเสพข่าวเจริญขึ้นหรืออย่างไร
เขาจะคบใครควงใครต้องขออนุญาตสื่อด้วยหรือ?
เขาไม่ได้พรากผู้เยาว์ ไม่ได้ข่มขืนหรือทำร้ายคู่นอนเสียหน่อย ทำไมคนเราจะต้องอยากรู้เรื่องราวชีวิตรักๆ ใคร่ๆ ของคนอื่นด้วยเล่า
"ฉันเข้าใจว่ามันไม่กระทบงาน แต่มันกระทบภาพลักษณ์ของคุณค่ะ"
"เฮอะ บ้าไปแล้ว"
พอได้ยินเขาสบถออกมาอย่างนั้นเจ้าจันทร์ก็รีบพูดต่อ
"คุณสิงหราช คิดตามหลักการทำงานของคุณแล้วคือดูคุณภาพงานมากกว่าใช่ไหมคะ งั้นถ้ามีคนที่เก่งเท่าคุณ แต่ภาพลักษณ์ดีกว่าคุณ ในสังคมที่ยึดเอาภาพลักษณ์ภายนอกเป็นสำคัญแบบนี้ เขาจะเลือกใครมากกว่ากันคะ?"
"…"
"ฉันยอมรับว่าคุณเก่งมาก เด็ดขาด บริหารงานได้ดีกว่าคนทุกรุ่นที่เคยผ่านมา และฉันก็รู้ว่าคุณเคยได้ใช้ชีวิตอิสระ แยกงานแยกเรื่องส่วนตัวชัดเจน แต่ในสังคมที่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้น คุณพอจะเข้าใจที่ฉันจะสื่อไหมคะ?"
"เฮ้อ น่ารำคาญชะมัด"
แม้จะไม่อยากเข้าใจ แต่สิงหราชก็รู้ดีว่าเขาเองเข้าใจคำพูดนั้นเป็นอย่างดี เขาโตจนป่านนี้แล้ว มีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่าควรทำอะไร
เพียงแต่บางครั้งมันก็น่าอึดอัด โดยเฉพาะกับตัวเขาที่ไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจไปเสียทุกเรื่อง
เขายังคงค้นหาบางสิ่งที่จะทำให้เขากลับมาเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ
และเพราะเขายังไม่ได้สิ่งนั้นมา เขาถึงได้หงุดหงิดใจอยู่แบบนี้ ถึงได้พยายามตามหาวิธีไปเรื่อยๆ หาใครสักคนที่อาจจะช่วยเขาได้
"ถ้าอ่านงานตรงนี้เสร็จ คุณจะไปพักก็ได้ค่ะ แค่อย่าให้เป็นที่จับตามองนักก็พอ"
"เห็นฉันเป็นเด็กรึไง ฉันแค่อยากออกไปยืดเส้นยืดสาย นั่งก้มหน้านานๆ มันปวดคอจะแย่"
ชายหนุ่มบ่นออกมาแต่ก็ยอมกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเองตามเดิม
เจ้าจันทร์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เธอตัดสินใจเดินอ้อมไปด้านหลังโดยมีสิงหราชมองตามทุกการกระทำของเธออยู่
ในตอนนั้นเองที่เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างนั้น มือของเจ้าจันทร์ก็ค่อยๆ ออกแรงบีบนวดตามแนวไหล่ ทั้งตำแหน่งและแรงที่ใช้ก็พอดิบพอดีเสียจนชายหนุ่มเคลิบเคลิ้ม
สิงหราชรู้สึกไม่ต่างจากการได้นวดในร้านเลยสักนิด อาการปวดล้าทั้งหมดเหมือนค่อยๆ ถูกทำให้หายไป จนเหลือไว้เพียงความสบายและผ่อนคลายเท่านั้น
"อะไรกันนี่ ถ้าไม่บอกว่าคุณเป็นเลขา ผมจะคิดว่าคุณเป็นดาวหมอนวดแล้วนะ"
เจ้าจันทร์ไม่ได้ตอบอะไร เพราะเธอเองก็เคยทำงานในร้านนวดมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ
เพราะความขัดสนของที่บ้านทำให้เธอต้องหางานพิเศษทำไปทั่ว เธอเรียนเกี่ยวกับการนวดจนได้ใบประกอบวิชาชีพ ทั้งสาขาเภสัชกรรมไทยและสาขาการนวดไทยเธอก็ได้มาแล้ว
ตอนนั้นได้ทั้งเงินจากที่ร้านจ้าง และยังได้ทั้งเงินพิเศษที่ลูกค้าให้ มีเงินไปจ่ายค่าเทอมได้สบายๆ
นอกจากนั้นก็ยังมีงานอื่นๆ อีกหลายงานที่เจ้าจันทร์เคยทำ
ทั้งงานทำความสะอาด ล้างจานตามร้านอาหาร งานเสิร์ฟเหล้าตามผับบาร์และร้านเหล้า อะไรที่จะทำให้ได้เงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเธอก็ทำทั้งหมด ขอแค่ไม่ใช่งานผิดกฎหมายหรือต้องขายร่างกาย เธอก็ทำทั้งนั้น
แน่นอนว่าความจนมันน่ากลัว…โดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีหนี้สิน
"อ่าาา...อยากหลับสักตื่นจังเลยนะ" เสียงบ่นของสิงหราชมาพร้อมกับการที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นแล้วพิงพนักเก้าอี้เอาไว้
เจ้าจันทร์ก้มลงมองคนที่จ้องหน้าเธออยู่ เห็นว่าเจ้าตัวดูจะอารมณ์ดีขึ้นจากเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ผละมือออกไป
"ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะนอนพักก็ได้ค่ะ ดิฉันจะไปทำงานส่วนของตัวเองต่อแล้วเหมือนกัน"
ในจังหวะที่เจ้าจันทร์กำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะ สิงหราชที่คิดว่าเขายังอยากให้เธอนวดต่อให้อีกก็รีบคว้าข้อมือของเธอเอาไว้
เพียงแต่เพราะแรงดึงที่มากเกินไป กับเจ้าจันทร์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะถูกรั้ง ทำให้เธอล้มเข้าใส่เขาเสียเต็มแรง
สองมือของเธอรีบหาที่ยึดเกาะอัตโนมัติจนไปคว้าเข้ากับแนวบ่าทั้งสองข้าง เข่าข้างหนึ่งเกยขึ้นไปบนเก้าอี้ และอยู่กลางระหว่างขาทั้งสองข้างของสิงหราชพอดิบพอดี
อ่าาา...ท่านี้มัน
ตึกตัก ตึกตัก
คู่รักกำลังจะหยอกล้อกันบนเตียงอีกสักหน่อย ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกันอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น มันคือเสียงโทรศัพท์มือถือของสิงหราชที่แผดเสียงดังอยู่ไม่ไกล จนเขาทนหัวเสียไม่ไหวยื่นมือไปคว้ามากดรับสาย โดยที่เจ้าจันทร์ก็ยังนั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขน รับฟังปลายสายไปพร้อมๆ กันเมื่อเขากดสปีกเกอร์โฟน "ไง มีอะไร" "โอ้โห ถามมาได้ พี่ให้พ่อโยนวีกรุ๊ปมาให้ผมดูแลใช่ไหม ฝีมือพี่ใช่ไหมวะ!" ปลายสายคือเหมราชที่โวยวายกลับมา "อ่า ใช่ ถ้าแกไม่ชอบก็ปฏิเสธไปสิ" สิงหราชบอกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน เจ้าจันทร์เองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่าทางน่ารักของเธอทำเอาสีหราชหมันเขี้ยวก้มหน้าลงมาหอมไปอีกฟอดใหญ่ "ปฏิเสธบ้าอะไรล่ะ พ่อยอมที่ไหน อีกอย่าง ผมอยากทำเกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬามาตั้งนานพี่ก็รู้ พี่แม่ง ไม่บอกกันล่วงหน้าบ้างเลย คุณเจ้าอีกคน ก็นึกว่าจะควบรวมกิจการเฉย ๆ ใครจะรู้ว่าจะยกให้ผมวะ" "อ้าว ๆ นี่ตกลงชอบหรือไม่ชอบกันแน่วะ งงแล้วนะโว้ย" "ชอบ แต่ไม่ชอบที่พี่ไม่บอกก่อนไงวะ!" "ฮ่าๆ ไอ้บ้านี่" สิงหราชหัวเราะใส่น้องชาย เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันจะบอกชอบอะไรเลยที่เขาหยิบยื่นให้ "ถูกใจก็ดีแล้วไง ทีนี้ก็
เจ้าจันทร์มองคนเสนอความตื่นเต้นอย่างนึกสนุก ใครกันแน่ที่ร้ายปากเขาบอกยอมลงให้เธอ แต่สุดท้ายราชสีห์ก็ร้ายอยู่ดี แต่ก็เอาเถอะ ไม่ว่าครั้งนี้ หรือครั้งไหน ๆ เธอก็จะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่เหนือเขา ก็เขาบอกเองนี่ อยากอยู่ใต้เท้าเธอ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป "ยิ้มอะไรครับ ไม่อยากเห็นผมเจ็บเหรอ" "เปล่าค่ะ แค่กำลังคิดว่าจะข่วนให้เลือดซิบตรงส่วนไหนดีต่างหากล่ะ" "ฮ้าาา...ร้ายไม่เบา" "ก็มีแฟนเจ้าเล่ห์อย่างคุณ เจ้าก็ต้องเป็นยิ่งกว่าสิคะ" "ฮ่าๆๆ ผมชอบคุณจัง" "ไม่เอาค่ะ คุณต้องรักเจ้าให้มากกว่าชอบสิ" สิงหราชยกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะจับมือของเธอมาวางลงที่แผงอก เขากดนิ้วเธอที่มีเล็บยาวๆ ลงกลางร่องอกของตัวเอง เจ้าจันทร์มองการกระทำนั้นอย่างพอใจ แฟนของเธอมีมุมดิบเถื่อนเช่นนี้ด้วยเหรอ ความแบบนี้ก็ไม่บอก "อ่าส์...คุณเจ้า เล็บคุณทำผมเสียวจัง" ยิ่งเขาพูดแบบนั้น เจ้าจันทร์ก็ยิ่งสนุก คราวนี้เป็นเธอเองที่กดปลายเล็บลากยาวไปบนแผงอกกว้าง ก่อนกดลึกเรื่อยลงมาถึงหน้าท้อง ร่างบางถอยต่ำลง เพื่อให้นิ้วลากไปถึงจุดหมาย เธออยากจะกดปลายเล็บลงกลางรูเล็กๆ นั่นเหลือเกิน "ซี้ดดด...ที่รัก" สิงหราชครางออกมาทันทีท
เจ้าจันทร์กลับมาถึงห้องพักในคอนโดมิเนียมที่สิงหราชเป็นเจ้าของ เปิดประตูเข้าไปได้ไม่ทันไรก็ได้กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำแบรนด์หรูลอยฟุ้งไปทั่วห้อง อาาา...แฟนของเธอน่ารักเสมอ เขารู้ว่าเธอชอบกลิ่นนี้ถึงได้อาบน้ำรอไว้ก่อนเลย หญิงสาวยิ้มหวานพลางสูดดมกลิ่นหอมๆ นั้นจนชุ่มปอด ก่อนเดินเข้าไปยังห้องนอน แล้วพบสีหราชเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี "กลับมาแล้วเหรอกระต่ายน้อยของผม" ถึงจะจั๊กจี้กับคำเรียกแทนตัวแบบนั้น แต่เจ้าจันทร์ก็ยิ้มแก้มแทบปริรีบโผกายเข้าสวมกอดเขาแน่นจะว่าไป เป็นกระต่ายน้อยในอ้อมกอดราชสีห์ก็ถือว่าโอเคนะ อย่างน้อยก็ได้เปลี่ยนบทบาทมาอ่อนแอดูบ้าง ก็เธอน่ะ เพิ่งฟาดฟันกับวิสาลีนีมาหมาด ๆ หมดพลังเปลื้องน้ำลายไปเยอะเชียวกว่าอีกฝ่ายจะยอมสงบปากสงบคำอยู่ในที่ของตัวเอง อีกอย่าง เธอเองก็อยากได้กอดอุ่นๆ มาเติมกำลังใจสักหน่อย เพราะเรื่องนี้มันคงไม่จบลงง่าย ๆ แค่นี้ ในเมื่อวิลาสินียังมีหุ้นเหลืออยู่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ คงไม่ต้องบอกเลยว่าการประชุมบอร์ดบริหารรอบหน้าจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งภายในกันอย่างไรบ้าง แม้การจะเปลี่ยนก็ยังต้องฟังผลโหวตในที่ประชุมอีกครั้งอยู่ดี แต่ใครจะสนกันล่ะอีกไม่กี่วันนี้คนร
เจ้าจันทร์นึกสงสารอีกฝ่ายอยู่บ้างเช่นกัน แต่พอนึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยตั้งใจอ่อยสิงหราช ตั้งใจแบล็กเมล์คนรักของเธอ เจ้าจันทร์ก็แทบไม่หลงเหลือความเห็นใจอะไรอีก ในตอนนั้นถ้าปล่อยให้วิลาสินีทำสำเร็จ ก็คงเป็นแอลกรุ๊ปนั่นแหละที่จะต้องเดือดร้อนเสียหาย ถึงเวลานั้นความสงสารจะช่วยอะไรได้ คนเราไม่ได้กินความสงสารเป็นอาหารสักหน่อย ในเมื่อเงินก่อตั้งและเงินหมุนเวียนในบริษัทนี้ก็มาจากสามีของวิลาสินีมาตั้งแต่ต้น กับคนที่วัน ๆ เอาแต่วางท่าเป็นนางพญา ชูคอว่าเป็นเจ้าของบริษัทแต่กลับไม่เคยบริหารอย่างจริงจัง คนแบบวิลาสินีมองอย่างไรก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเลยสักนิด สู้จ้างคนเก่ง ๆ มานั่งบริหารยังจะเข้าท่ากว่า "คุณสิงหราชไม่รู้เรื่องนี้หรอกค่ะ ส่วนคนที่ช่วยฉันคุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าเป็นใคร" เจ้าจันทร์ยกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา "บังเอิญจังเลยนะคะที่ฉันรู้จักคนค่อนข้างเยอะ ทีแรกก็ไม่มั่นใจหรอกว่าวิลาสินีที่ว่าจะใช่คุณหรือเปล่า แต่พอสืบไปสืบมานิดเดียวก็ได้รู้ความจริงเข้าจนได้" "เลิกอ้อมค้อมซะที! รีบ ๆ บอกมาซะ ฉันจะไปเล่นงานมัน ฉันไม่เอามันไว้แน่!" "คนคนนี้เขาก็รอคุณอยู่เหมือนกันค่ะ คุณจำ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงถัดมาสิงหราชก็นั่งเซ็นสัญญากับวิลาสินี เขาได้หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์พร้อมกับแผนงานดี ๆ ที่คนรักของเขาเตรียมไว้ให้ เซ็นไปยิ้มไปไม่ได้สนใจสีหน้าอมทุกข์ของวิลาสินีเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อทางนั้นเองก็ใช่วิธีสกปรก คิดจะแบล็กเมล์เขา ถ้าอย่างนั้นเจ้าตัวก็ควรรู้ไว้ด้วยว่า กล้าที่จะทำผิดก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้ ในเมื่อวิลาสินีมีโอกาสแต่ดันทำพลาดไปแล้ว ต่อไปก็ลองเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบดูบ้าง ให้เหมือนกับตอนที่เธอคิดทำลายคนอื่นนั่นแหละ "ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ คุณวิลาสินี" สีหราชกล่าวทั้งใบหน้าประดับรอยยิ้ม "หวังว่าต่อไปนี้คุณจะรู้ว่าควรวางตัวยังไง อยู่รอรับผลประโยชน์อย่างเงียบๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง" "คุณ…หมายความว่ายังไง" "ผมก็แค่พูดเผื่อเอาไว้ คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าแฟนของผมค่อนข้างที่จะ…กัดไม่ปล่อย คนเก่ง ๆ แบบนั้นอาจจะไม่หยุดแค่นี้ก็ได้นะครับ" "คุณ! นี่พวกคุณรวมกันทำอะไร หรือว่าพวกคุณคิดจะผิดข้อตกลง คุณจะแฉฉันใช่ไหม!" เห็นท่าทีราวกับคนจิตตกของวิลาสินีแล้วสิงหราชก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าโดนเจ้าจันทร์ขู่อะไรไปบ้าง เพราะตอนนั้นเขาเองก็ฟังไม่ได้ชัดทุกคำ แต่ดูไปแล้
ในเช้าวันนี้ สิงหราชได้รับรายงานจากเลขาบอกว่า วิลาสินียอมขายหุ้นให้กับเขา ทั้งยังมีแผนงานใหม่ที่น่าสนใจส่งแนบท้ายมาด้วย การที่อยู่ ๆ วิลาสินียอมอย่างง่ายดายเช่นนี้ สำหรับสิงหราชแล้ว เขาไม่แปลกใจใด ๆ เหตุผลนั้นมีแค่ข้อเดียว... เหตุผลที่ทำให้เขาอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นมันด้วยตาตนเอง ชายหนุ่มบิดมุมปากขึ้นยิ้ม วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อนึกไปถึงเรื่องเมื่อวาน อาาา... ไม่ใช่เรื่องที่เขาจับเจ้าจันทร์แอบแซ่บในห้องทำงานหรอก หากแต่เป็นเรื่องอื่นที่ดีมากไปกว่านั้นมากกว่า ไม่คิดเลย...ว่าเขาจะเจอเพชรแท้ ไม่คิดอีกล่ะ...ว่าเขาจะโชคดีมากขนาดนี้ สิงหราชนั่งทำงานอย่างสบายอารมณ์ รออยู่เกือบครึ่งวันข้อมูลทุกอย่างก็ถูกส่งเข้ามาที่อีเมล์ส่วนตัว เขาไล่เปิดอ่านทั้งหมด รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฎขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนรักของเขาที่คงจะทำงานอยู่ที่ห้อง เจ้าจันทร์รับสายเขาในทันทีก่อนจะทักทายกลับมาเสียงใส "คุณเจ้า ขึ้นมาหาผมหน่อยสิ พอดีมีเรื่องด่วน อยากให้คุณช่วยดูอะไรหน่อย" สิงหราชวางสายลงหลังจากปลายสายตอบกลับมา เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้อ่านข้อความในเอกสารนั่นอีก