หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา
“ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา
อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม
“ดี”
เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก
อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย”
“ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก
หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้องการ แล้วมันก็ทำได้ดียิ่ง จนเยี่ยหยางปลดวาระอุปกรณ์ครัวทั้งหลายออก เพราะความสามารถไม่ดีเท่าจิงหลิง ยกพวกมันให้ฉงฉงที่อ้าแขนรับอย่างเต็มอกเต็มใจที่ได้ของเล่นมือสองชุดใหม่
“ท่านลุงชางเหอ ท่านให้คนยกอาหารส่วนนี้ไปที่ห้อง ข้าจะไปเรียกท่านพ่อท่านแม่และเสี่ยวเฉิงเอง” เยี่ยหยางสั่งพ่อบ้านตระกูลจู
“แล้วส่วนนั้นของพวกท่านกับคนของโรงเตี๊ยม ขอบใจที่พวกเจ้ามาช่วยข้า”
“ขอรับ”
ชางเหอตอบรับ ถูกรอยยิ้มหวานของเยี่ยหยางต้อนเข้าไปเต็ม ๆ
...คุณชายใหญ่ช่างกตัญญูจริงๆ…
เขาถูกเรียกให้มากำชับเรื่องอาหารการกินของตระกูลจูพร้อมกับซูผิงภรรยา ซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทของนายหญิงและเป็นหัวหน้าสาวใช้
อาหารทั้งหมดหลังจากนี้ของตระกูลจู จะเป็นวัตถุดิบที่นำมาจากเหวินชาทั้งหมด คุณชายใหญ่สั่งให้ไปส่งวัตถุดิบที่จวนตระกูลจู เพื่อควบคุมคุณภาพและความสดใหม่ รวมทั้งสูตรอาหารที่มีการเพิ่มปรับปรุงกันหลายอย่าง โดยบางอย่างคุณชายให้ใส่สมุนไพรเพิ่มเสริมเข้าไป อีกทั้งยังเน้นย้ำเรื่องยาประจำตัวของนายท่านและยาบำรุงของนายหญิง
บ่าวรับใช้คนสนิทนายท่านตระกูลจูเรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว สมกับเป็นคนสนิทที่ได้รับความไว้วางใจจากอัครเสนาบดีแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน
ในตอนแรกชางเหอยังคลางแคลงใจเรื่องที่เด็กหนุ่มอ้างว่าเป็นบุตรชายของนายท่านและนายหญิง แต่เวลาไม่นานแค่ช่วงการปรุงอาหารมื้อเดียว เขาก็เห็นเงาสะท้อนของนายท่านทั้งสองสะท้อนออกมาจากเด็กหนุ่ม ช่างเหมือนกันจนน่าใจหาย
หลายปีที่ผ่านมาคุณชายกินอยู่อย่างไร เขาเห็นใจและยอมรับโดยไม่รู้ตัว ...แต่ถ้าชางเหอรู้ว่าคุณชายใหญ่ที่เขาเพิ่งชื่นชม คือ อ๋องเลื่องชื่อผู้นั้น มีหวังได้ลมจับแน่นอน
“ท่านพ่อ” เยี่ยหยางเอ่ยทักบิดาที่ยืนอยู่หน้าห้องพักมารดาและน้องชาย
“อืม” จูเหวินฟงตอบสั้น ๆ เมินคนที่เอ่ยว่าเป็นบุตรชายคนโต เดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน เขาจะเดินไปที่เตียงเพื่อปลุกเมียรักด้วยวิธีของเขาทุกวัน โดยไม่เกรงใจลูกที่ยืนอยู่ด้วย
“เสี่ยวเฉิง ๆ ตื่นได้แล้ว ท่านแม่ขอรับเช้าแล้ว” เยี่ยหยางแวะเข้าไปปลุกน้องชายกับมารดา ก่อนที่ท่านพ่อจะได้แสดงความรักกับมารดาเกินหน้าเกินตาต่อหน้าเขา เสียงของเขาทำให้ท่านแม่รู้สึกตัวตื่นขึ้น
“อรุณสวัสดีขอรับท่านแม่”
“ลูกหยาง แม่ขอเวลาครู่เดียว”
หานเฟยที่เพิ่งตื่นนอนบอกลูกชาย พลางหันไปมองสามีที่หน้าบูดแต่เช้าที่ดูน่ารักในสายตานาง หญิงสาวที่ต้องรับมือกับลูกชายและสามีหันไปหอมแก้มคนเป็นพ่อ “ท่านพี่ข้าขอเวลาแต่งตัวสักครู่ท่านไปรอด้านนอกกับหยางหยางก่อนเถอะ”
“อืม” จูเหวินฟงพอใจที่ภรรยาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อบุรุษอื่นอย่างลูกชาย ก็เดินนำออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี
“ไปกันเถอะเสี่ยงเฉิงพี่ให้คนเตรียมน้ำล้างหน้าไว้ที่ห้องข้าง ๆ แล้ว” เยี่ยหยางพาเฉิงเยว่ไปแต่งตัวห้องข้าง ๆ เขาปล่อยให้ท่านพ่อลั้นล้ามีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการหอมแก้มของท่านแม่ มันเป็นเรื่องธรรมดาของพฤติกรรมบิดา
“พี่หยาง เรื่องท่านพ่อ?” เฉิงเยว่กังวลใจ ท่าทางของบิดาที่มีต่อพี่ชายช่างห่างเหินจนเขาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเสี่ยวเฉิง เมื่อก่อนนิสัยท่านพ่อก็เป็นเช่นนี้แหละ”
เยี่ยหยางไม่คิดมากอย่างที่น้องขายเป็นกังวลด้วยซ้ำไป เขาชินแล้ว ตอนนี้นิสัยท่านพ่อดูใจดีเกินไปจนเขาขนลุกซะมากกว่า “พี่มีเรื่องคุยกับเจ้า เรื่องพวกที่ลอบสังหาร ข้าจะไปล้วงคอพวกมัน พี่อยากให้เสี่ยวเฉิงไปด้วย เดี๋ยวพี่จะให้ฉงหยิ๋นอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อท่านแม่เพื่อความปลอดภัยก่อน”
“ฉงหยิ๋น?”
“อ๋อ สัตว์เลี้ยงของพี่เอง เจ้าคงจำกิเลนในคราวที่เกิดเรื่องที่ตำหนักสรรพาวุธได้” เยี่ยหยางเอ่ย
เฉิงเยว่พยักหน้ารับรู้ “ข้าไปด้วย”
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
“พวกท่านหน้าคุ้น ๆ นะ” เฉิงเยว่จ้องทั้งสองคนพลางนึกว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกไปถึงคราที่ต้องอาศัยนอนอยู่ที่นี่สองวันสองคืนก็ร้องออกมา “พวกเจ้า!!!”“เสี่ยวเฉิงมีอะไร?”“ต้าเกอสองคนนี้จับข้าขังอยู่ในนี้สองคืน ก่อนที่จะไปเทียนถูหวู่” เฉิงเยว่นึกถึงความอัดอั้นที่ต้องเผชิญ ก็เอ่ยฟ้องพี่ชายแหะ ๆ ...เรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้วเจ้าน้องชาย ว่าเคยจับเจ้าโยนใส่กรง เจ้าช่วยลืม ๆ มันไปเถอะ“เอ่อ...เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” เยี่ยหยางพูด แล้วลูบหัวเฉิงเยว่ปลอบใจ “ชินอ๋องเองก็เป็นสหายข้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทำร้ายอะไรเจ้า พี่เห็นว่าเขาเอ็นดูเจ้าแกล้งหนักมือไปเล็กน้อย”สองมือปราบที่ตกอยู่ในสถานการณ์บังคับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง“หึ..” เสียงพ่นลมออกจมูกอย่างงอน ๆ ของเฉิงเยว่ แต่ก็ไม่ได้ถามหาความต่อ“เชิญพวกท่าน” ห้องขังกรงเหล็กทึบหนาอยู่สุดทาง มือปราบจางเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงดีนัก พวกเขาสองคนเคยขังจูเฉิงเยว่มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าคนทั้งสี่เป็นใคร หลังจากนึกเรื่องสองเดือนก่อนออก อ่าห์…ชายคนนั้นคงเป็นมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินที่ฮ่องเต้คบดั่งสหาย ส่วนนางก็คงเป็นฮูหยินตราตั้งน้องสา
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ
เพราะไม่มีใครเห็นหวงฉีเจิ้งมาที่เหมือง เห็นเพียงเยี่ยหยางที่ถูกโทษทัณฑ์“ข้าว่าพวกเราทิ้งแร่ปิดหน้าโถงถ้ำไว้เล็กน้อยดีกว่า”เยี่ยหยางพูด จากน้ันก็ยอมเสียแร่ผลึกเล็กน้อยวางปิดหน้าโถงถ้ำเช่นเดิม มองจากข้างนอกเข้ามาในโถงเหมือนข้างในยังเต็มไปด้วยผลึกแร่ และจำนวนนั้นก็พอจ่ายให้คนในสำนักได้หลังจากนี้อีกสามเดือน ที่มองเห็นมากมายที่เหลือเป็นเพียงเวทภาพลวงตาที่ร่ายส่ง ๆ ผูกติดกับผลึกแร่จริงที่กองปิดโถงถ้ำคาดว่าเดือนที่สามเมื่อแร่ผลึกก้อนสุดท้ายหยิบออกไป คงมีใครคนหนึ่งล้มทั้งยืนที่ตรงนั้น แต่ตัวก่อเรื่องกลับไม่อยู่ในสำนักแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์อกตัญญูปล้นทรัพย์สินของสำนัก แต่ใช่ว่าผู้อาวุโสที่คุมเหมืองแห่งนี้จะเป็นคนดี พวกเขาแค่ช่วยให้เรื่องมุบมิบของตาแก่คนหนึ่งแดงเร็วขึ้นก็เท่านั้นจากนั้นก็คนนอกสองคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็ติดตั้งค่ายกลวงเวทเคลื่อนย้ายตามจุดประสงค์เริ่มต้นที่มาที่นี่ใช้เวลาถึงสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก เพราะค่ายกลนี้เป็นวงเวทที่ซับซ้อนต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งต้องร่างก่อให้เสถียรทุกอักขระเมื่องานเสร็จสิ้นสอง
เจ้านายเถื่อนเดินกลับมาหาสหายบัดซบที่ก้มหน้าก้มตาสลักอักษรรูนอยู่ เขาก็ไม่รบกวนอะไรอีกฝ่าย หยิบเตียงโต๊ะเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติเวท วางเตียงตั้งโต๊ะวางเก้าอี้จัดข้าวของส่วนตัวราวกับเป็นห้องหับของตัวเองไม่สนใจสถานที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในเหมืองแร่ ไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจจากนั้นนำข่าวสารที่คนใต้ปกครองของหอข่าวซินเหวินออกมาอ่านเรียบเรียงไว้ บางข่าวจริงสามารถขายได้ บางข่าวก็ปลอม จากนั้นส่งข่าวที่ทำเงินได้กลับไปที่หอซินเหวินหลังจัดการงานการเสร็จก็ร่วงเข้าวันใหม่แล้ว คุณชายหวงก็ย้ายร่างกายของตัวเองไปนอนหลับพักผ่อนบ้าง ต่างกับสหายที่ปูผ้ากางมุ้งขึ้นเตียงหลับตั้งแต่ตะวันลับฟ้าได้ไม่นานหลังร่วมมื้ออาหารเย็น เพราะใช้พลังเวทไปมากโขเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันรุ่งขึ้นสองสหายตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างนั่งสมาธิเดินปราณกันหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะลุกไปจัดการธุระตัวเองตัวใครตัวมัน เสร็จแล้วมาร่วมมื้อเช้ารสมือท่านอ๋องที่ทำเป็นเสบียงเก็บไว้เฉกเช่นทุกวัน“เหล่าหยาง เจ้าทำอาหารเก่งเยี่ยมยอดเช่นนี้ ภรรยาในอนาคตเจ้าคงน้อยใจแย่เลย”“ไม่มีทาง เพราะนางจะมีความสุข จน
หวงฉีเจิ้งที่แยกไปขุดทรัพย์สินต้นทุนในการใช้ชีวิตของตัวเอง กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าเขาจะเริ่มจัดการเก็บเกี่ยวผลึกปราณตรงหน้าเช่นไรดีหากมองผิวเผินเหมือนเขาและเยี่ยหยางเป็นหัวขโมยแอบเก็บผลไม้ในสวนคนอื่นดูเป็นคน…เอ่อ คนเลว แล้วพวกคนใหญ่คนโตมีอำนาจทั้งหลายที่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าล่ะ ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอ้างเป็นของตน ฉกฉวย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน สารพัดวิธีให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองตั้งแต่เขาจากระนาบมนตรามาที่ระนาบหวู่เซียน ชีวิตความเป็นอยู่ทุกลมหายใจช่างลำบากขมขื่นใจยิ่งนักจากนายน้อยหนึ่งในตระกูลสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อื่นต่างยกย่องพะเน้อเอาใจ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม กลับถูกดูถูกเหยียดหยาม เพราะสายเลือดที่มีเอกลักษณ์นี้ไม่เพียงโดนกดขี่ข่มเหง ยังถูกจองจำเป็นทาสชั้นต่ำทั้งที่ยังไม่ทำสิ่งใดเขาไม่เคยโทษเยี่ยหยางที่ทำให้เขาต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิตรภาพระหว่างพวกเขาไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือขอโทษต่อกัน ความจริงใจที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันที่มอบให้กันหลายปี เขารู้และเข้าใจอีกฝ่ายเ
“ที่เหลือวานท่านอาจารย์จ้าวด้วยขอรับ”“อืม”ผู้ชำนาญการลงโทษศิษย์รับคำผู้อาวุโสเจียงที่อยู่ดูแลหอลงทัณฑ์คนเดียว เพราะผู้ดูแลคนอื่นยังไม่กลับมาจากการดูการประลองยุทธจ้าวถิงเซียวเดินนำศิษย์บัดซบที่กระตุ้นต่อมโทสะเขา ไปที่เหมืองผลึกที่ว่า ก่อนจะเรียกกระบี่ออกมาด้านหน้า ใช้วิชากระบี่บินหอบหิ้วร่างตัวแทนไปที่เหมืองทันทีส่วนชินอ๋องตัวจริงที่รับรู้เรื่องราวจากจิตสำนึกที่ตัวเองส่งไปกับร่างตัวแทน เหมือนจะคาดเดาโทษทัณฑ์ที่เขาได้รับออกแล้ว ก็ยิ้มหวานสะกิดเรียกสหายให้ไปสนุกด้วยกัน“อาเจิ้ง ๆ ไปกับข้าเร็ว!”“ไปไหน?” หวงฉีเจิ้งที่นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ ถูกเหล่าหยางสหายซี้ฉุดออกมาจากเตียงนอนถามอย่างงง ๆ“ไปรับทรัพย์” เยี่ยหยางตอบ ในใจกำลังคำนวณค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับ“ไป ๆ ที่ไหน” คนยากจนที่กำลังตั้งตัวผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตกลงไปร่วมรับทรัพย์ที่สหายบอก อีกทั้งยังเร่งรีบกว่า ก็ใครให้เขาตอนนี้ยากจนยากไร้จนต้องพึ่งคลังสมบัติเพื่อนกินอยู่อย่างทุกวันนี้
สามวันถัดมาลานเทียนจงได้ถูกบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่เสร็จเรียบร้อย การประลองยุทธจึงได้จัดต่อ ผู้ที่ต้องประลองต่างมีทั้งแพ้ชนะ และก็ถึงรอบของหวงฉีเจิ้ง ผู้ไม่อยากออกแรงเสียเหงื่อให้เหนื่อยกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ได้กอบโกยชัยชนะทั้งหมดด้วยการสะกดจิตคนทั้งลาน เพียงแค่ดีดนิ้วจากนั้นเขานั่งสบาย ๆ กินขนมจิบชาให้เยี่ยหยางหมั่นไส้ เพราะอีกฝ่ายต้องลงไปดวลเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องชายส่วนเฉิงเยว่น้องชายที่น่ารักก็อยากแสดงความสามารถให้พี่ชายได้ชื่นชม เขาจัดหนักกับการประลองอีกสามรอบที่เหลือ ทั้งพลังลมปราณ ทั้งพลังเวท ภายในเวลาไม่เกินจิบชา ก็กวาดคู่ต่อสู้นอนนิ่งเป็นปลาตายรักษาตัวนานนับเดือน ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์สายในที่เพิ่งเลื่อนระดับพอ ๆ กับพี่ชายตัวดีแน่นอนว่ามู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย และองครักษ์อย่างสือหลงโหยวผ่านได้สบาย ๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง โดยเฉพาะลู่เฉินแม้จะยังออกแรงได้ไม่เต็มที่แต่หูลี่เซียนก็ออกไปเล่นสนุกช่วยลู่เฉินอย่างที่ไม่ให้เจ้าตัวรู้ โดยขอยาพิษอ่อน ๆ จากเยี่ยหยางตั้งแต่หลายวันก่อนไปวางใส่คู่ประลองของลู่เฉิน เพื่อความเท่าเที
คนที่ชมการประลองรอบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกสั่นไหวเหมือนถูกเขย่าแผ่นดินสั่นสะเทือนมากผิดปกติเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ลานประลองก็มีหมอกควันขาว ฝุ่นฟุ้งกระจายตลบทั่วลานเทียงจง จนไม่เห็นสิ่งใดเมื่อควันจางลงสิ่งที่เห็นทำเอาทุกคนพูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดีเพราะลานเทียนจงที่เป็นลานประลองและลานอเนกประสงค์ของเทียนถูหวู่ ขอโบกมือลาตาย สิ้นอายุขัยหมดอายุการใช้งานไปเรียบร้อยพื้นลานแตกเป็นหลุมใหญ่ ก้นหลุมลึกประมาณความสูงกว่าหนึ่งช่วงคน เศษอิฐเศษหินแตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยนอนอยู่ก้นหลุมโดยมีคู่ประลองยุทธรอบนี้ที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ ยืนอยู่ขอบหลุม...ขอบลาน ชื่นชมผลงานออกรบรอบแรกของตัวเองอย่างเฉิงเยว่ และคุณชายสวีที่รับประทานคำใบ้อึ้งเต็มท้องไปแล้วคาถานี้...สุดยอด! ท่านพี่ข้าทำได้แล้ว!! ควบคุมพลังเวทได้ดีด้วย เฉิงเยว่มองไปทางพี่ชายด้วยสีหน้าน่ารักอย่างต้องการคำชื่นชมสหายจู...เจ้าจะให้สัญญาณข้าชัด ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน ถ้าข้าสังเกตไม่ทัน หลบไม่ทัน ข้าไ
“ข้าได้ข่าวว่าคุณชายเพิ่งกลับมาจากราชอาณาจักรจินโจวเมื่อคืนวานนี่เอง” จูเฉิงเยว่ถามไถ่ทักทาย“ใช่ น่านน้ำทางใต้ปั่นป่วนเล็กน้อย ข้าแอบกลับบ้านไปครานี้ยังนึกเลยว่าจะกลับมาไม่ทัน” สวี่เหวินซื่อตอบอย่างไม่ปิดบัง แถมบ่นอุบอิบเล็กน้อย“เกิดเรื่องขึ้นหรือ? คุณชายถึงต้องกลับไปด้วยตัวเอง ทุกทีเห็นส่งสารคุยกัน” คุณชายจูขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะบุตรชายคนโตของสกุลสวี่ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่เพิ่งกลับบ้านตัวเองแบบปุบปับครั้งแรก“ใช่ ฮ่องเต้ทรงเรียกคืนสัมปทานเหมืองทองจากพวกเรา ทำให้พ่อค้าในราชอาณาจักรจินโจวที่ถือสัมปทานวุ่นวายไม่น้อย”สวี่เหวินซื่อบอกเล่าเรื่องราวมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขาต้องวิ่งวุ่นไปมาช่วยบิดาติดต่อผู้คนเพื่อแก้วิกฤตนี้ กำไรส่วนใหญ่ของตระกูลมาจากกิจการเหมืองแร่ที่ถูกเรียกคืน“แปลก น่าแปลกฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจวทรงคิดวางแผนทำสิ่งใดอยู่แน่” เฉิงเยว่ที่ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉุกคิดถึงคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลของฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจว ก็พูดออกมาตามความรู้สึก“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ไ
“ท่านพี่!”น้องชายที่ไร้พี่ชายปกป้องมาโดยตลอด ทั้งเห็นการกระทำของพี่ ทั้งได้ยินคำพูดของพี่ หัวใจที่ด้านชาและโดดเดี่ยวก็เหมือนได้รับน้ำทิพย์ปลอบประโลมชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ“เสี่ยวเฉิง…”เยี่ยหยางยังไม่ทันได้พูดปลอบอะไร น้องตัวน้อยของเขาก็กระโจนใส่อ้อมกอดพี่ชายทันทีจูเฉิงเย่วรู้ว่าการประลองเมื่อครู่ พี่ชายเอาคืนไอ้กงซุนจ้านให้เขา ความทุกข์ที่เก็บกดมานานปีทะลักออกมา แม้ว่ามีท่านพ่อท่านแม่ปกป้อง แต่เขาก็ไม่อยากให้พวกท่านกังวล ไม่อยากให้พวกท่านลำบากใจ ตลอดมาได้แต่ปกป้องตัวเองสร้างเกราะที่ผู้คนรังเกียจ ไม่ให้พวกสารเลวกลั่นแกล้งได้เขาคิดมาตลอดหากเขามีพี่ชาย คนพวกนั้นยังคิดกล้ารังแกเขาอีกหรือไม่ ยังไม่ทันได้เล่าความลำบากใจเมื่ออยู่ที่บ้านเมืองตัวเองให้พี่ฟัง พี่ชายของเขาก็กระทืบตัวการสาเหตุของความทุกข์ทั้งมวลคาฝ่าเท้าทำเอาคนหยิ่งยโสที่ผู้อื่นเห็น อดกลั้นไม่ไหวปล่อยโฮปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นนานปีใส่พี่ชายเต็ม ๆ“ชู่ ๆ ไม่ต้องร้อง โอ๋…คนเก่งของพี่”
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ