หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา
“ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา
อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม
“ดี”
เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก
อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย”
“ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก
หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้องการ แล้วมันก็ทำได้ดียิ่ง จนเยี่ยหยางปลดวาระอุปกรณ์ครัวทั้งหลายออก เพราะความสามารถไม่ดีเท่าจิงหลิง ยกพวกมันให้ฉงฉงที่อ้าแขนรับอย่างเต็มอกเต็มใจที่ได้ของเล่นมือสองชุดใหม่
“ท่านลุงชางเหอ ท่านให้คนยกอาหารส่วนนี้ไปที่ห้อง ข้าจะไปเรียกท่านพ่อท่านแม่และเสี่ยวเฉิงเอง” เยี่ยหยางสั่งพ่อบ้านตระกูลจู
“แล้วส่วนนั้นของพวกท่านกับคนของโรงเตี๊ยม ขอบใจที่พวกเจ้ามาช่วยข้า”
“ขอรับ”
ชางเหอตอบรับ ถูกรอยยิ้มหวานของเยี่ยหยางต้อนเข้าไปเต็ม ๆ
...คุณชายใหญ่ช่างกตัญญูจริงๆ…
เขาถูกเรียกให้มากำชับเรื่องอาหารการกินของตระกูลจูพร้อมกับซูผิงภรรยา ซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทของนายหญิงและเป็นหัวหน้าสาวใช้
อาหารทั้งหมดหลังจากนี้ของตระกูลจู จะเป็นวัตถุดิบที่นำมาจากเหวินชาทั้งหมด คุณชายใหญ่สั่งให้ไปส่งวัตถุดิบที่จวนตระกูลจู เพื่อควบคุมคุณภาพและความสดใหม่ รวมทั้งสูตรอาหารที่มีการเพิ่มปรับปรุงกันหลายอย่าง โดยบางอย่างคุณชายให้ใส่สมุนไพรเพิ่มเสริมเข้าไป อีกทั้งยังเน้นย้ำเรื่องยาประจำตัวของนายท่านและยาบำรุงของนายหญิง
บ่าวรับใช้คนสนิทนายท่านตระกูลจูเรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว สมกับเป็นคนสนิทที่ได้รับความไว้วางใจจากอัครเสนาบดีแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน
ในตอนแรกชางเหอยังคลางแคลงใจเรื่องที่เด็กหนุ่มอ้างว่าเป็นบุตรชายของนายท่านและนายหญิง แต่เวลาไม่นานแค่ช่วงการปรุงอาหารมื้อเดียว เขาก็เห็นเงาสะท้อนของนายท่านทั้งสองสะท้อนออกมาจากเด็กหนุ่ม ช่างเหมือนกันจนน่าใจหาย
หลายปีที่ผ่านมาคุณชายกินอยู่อย่างไร เขาเห็นใจและยอมรับโดยไม่รู้ตัว ...แต่ถ้าชางเหอรู้ว่าคุณชายใหญ่ที่เขาเพิ่งชื่นชม คือ อ๋องเลื่องชื่อผู้นั้น มีหวังได้ลมจับแน่นอน
“ท่านพ่อ” เยี่ยหยางเอ่ยทักบิดาที่ยืนอยู่หน้าห้องพักมารดาและน้องชาย
“อืม” จูเหวินฟงตอบสั้น ๆ เมินคนที่เอ่ยว่าเป็นบุตรชายคนโต เดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน เขาจะเดินไปที่เตียงเพื่อปลุกเมียรักด้วยวิธีของเขาทุกวัน โดยไม่เกรงใจลูกที่ยืนอยู่ด้วย
“เสี่ยวเฉิง ๆ ตื่นได้แล้ว ท่านแม่ขอรับเช้าแล้ว” เยี่ยหยางแวะเข้าไปปลุกน้องชายกับมารดา ก่อนที่ท่านพ่อจะได้แสดงความรักกับมารดาเกินหน้าเกินตาต่อหน้าเขา เสียงของเขาทำให้ท่านแม่รู้สึกตัวตื่นขึ้น
“อรุณสวัสดีขอรับท่านแม่”
“ลูกหยาง แม่ขอเวลาครู่เดียว”
หานเฟยที่เพิ่งตื่นนอนบอกลูกชาย พลางหันไปมองสามีที่หน้าบูดแต่เช้าที่ดูน่ารักในสายตานาง หญิงสาวที่ต้องรับมือกับลูกชายและสามีหันไปหอมแก้มคนเป็นพ่อ “ท่านพี่ข้าขอเวลาแต่งตัวสักครู่ท่านไปรอด้านนอกกับหยางหยางก่อนเถอะ”
“อืม” จูเหวินฟงพอใจที่ภรรยาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อบุรุษอื่นอย่างลูกชาย ก็เดินนำออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี
“ไปกันเถอะเสี่ยงเฉิงพี่ให้คนเตรียมน้ำล้างหน้าไว้ที่ห้องข้าง ๆ แล้ว” เยี่ยหยางพาเฉิงเยว่ไปแต่งตัวห้องข้าง ๆ เขาปล่อยให้ท่านพ่อลั้นล้ามีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการหอมแก้มของท่านแม่ มันเป็นเรื่องธรรมดาของพฤติกรรมบิดา
“พี่หยาง เรื่องท่านพ่อ?” เฉิงเยว่กังวลใจ ท่าทางของบิดาที่มีต่อพี่ชายช่างห่างเหินจนเขาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเสี่ยวเฉิง เมื่อก่อนนิสัยท่านพ่อก็เป็นเช่นนี้แหละ”
เยี่ยหยางไม่คิดมากอย่างที่น้องขายเป็นกังวลด้วยซ้ำไป เขาชินแล้ว ตอนนี้นิสัยท่านพ่อดูใจดีเกินไปจนเขาขนลุกซะมากกว่า “พี่มีเรื่องคุยกับเจ้า เรื่องพวกที่ลอบสังหาร ข้าจะไปล้วงคอพวกมัน พี่อยากให้เสี่ยวเฉิงไปด้วย เดี๋ยวพี่จะให้ฉงหยิ๋นอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อท่านแม่เพื่อความปลอดภัยก่อน”
“ฉงหยิ๋น?”
“อ๋อ สัตว์เลี้ยงของพี่เอง เจ้าคงจำกิเลนในคราวที่เกิดเรื่องที่ตำหนักสรรพาวุธได้” เยี่ยหยางเอ่ย
เฉิงเยว่พยักหน้ารับรู้ “ข้าไปด้วย”
“จุ๊ ๆ เหล่าหยาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าไอ้หมอนี่ร่ำรวยไม่ใช่เล่นเลยน้า” หวงฉีเจิ้งจับตะเกียบเคาะชาม มองสหายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เยี่ยหยางเงยหน้าขึ้นจากชามข้าว “หืม? แล้วเจ้ารู้ว่ามีเท่าไหร่บ้าง?”“หารส่วนแบ่งกับเจ้าคนละครึ่ง คุณชายอย่างข้าสร้างหอข่าวได้สมบูรณ์เสร็จสรรพเลยทีเดียวล่ะ”“มากกว่าบ่อนโกโรโกโสนั่นอีกนะเนี่ย” รอยยิ้มหายนะวาดอยู่บนใบหน้าของเยี่ยหยาง “ข้าไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าขยายสาขาเพิ่มในเป่ยฉินแล้วสิ แถมมีเงินมีทองไปซื้อขนมให้เสี่ยวเฉิงเหลือเฟือเลยสินะ”เนื้อกวางทรายขาวคีบเข้าปากเยี่ยหยาง ก่อนจะเอ่ยต่อ “โอรสในฮ่องเต้กับฮองเฮาจะมีทรัพย์สมบัติน้อยได้อย่างไร”“นั่นสินะ”ซู๊ดดด… น้ำแกงรสกลมกล่อมไหลลงคอหวงฉีเจิ้งอย่างนุ่มนวล “เจ้าว่าข้าไปเป็นองค์ชายบ้างดีมั้ย?”“กริยาอย่างเจ้าหรือ? ขุนนางยังไม่ได้เป็นเลย” เยี่ยหยางมองอี๋ใส่สหายที่ซดน้ำแกงเสียงดัง หมอนี่ไม่เคยรักษามารยาทต่อหน้าเขาบ้างเลย“ต่อหน้าเจ้าต้อ
“ไป กลับกันเถอะ กลิ่นขยะที่จินโจวเหม็นคุ้งจะแย่แล้ว” เยี่ยหยางคล้องคอหวงฉีเจิ้งเดินละลิ่วออกไปโดยไม่สนใจอ๋องขี้ขโมย“หยุด!!! ให้เปิ่นหวาง”เปิ่นหวางไม่หยุดเจ้าจะทำไม! เยี่ยหยางไม่ฟังน้ำเสียงสั่งที่ฟังดูแล้วเหมือนคนบ้า เขาไม่สนใจไอ้บ้านี่แม้แต่น้อย“ไอ้สวะสองตัว หยุดเดี๋ยวนี้!!! หากพวกเจ้าสองคนก้าวออกไปจากที่นี่ พวกเจ้าและครอบครัวก็ตาย!!”เยี่ยหยางหยุดกึก ชะงักก้าวเดินทันทีตอนแรกเขาก็แค่โมโหนิดหน่อยที่มีคนมาขโมยของต่อหน้าเขา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่เอาของคืนก็ปล่อยไอ้บ้านี่ไปได้แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะไม่โมโหนิดหน่อยแล้วเพราะตอนนี้ท่านอ๋องบัดซบเดือดแล้ว…จุดแข็งของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัว…จุดอ่อนของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัว …จุดเดือดของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัวดังนั้นแล้วหนทางข้างหน้าของอ๋องแห่งจินโจวผู้นี้ช่างมืดมนนัก ที่รนหาที่สมัครสมาชิกมีรายช
หวงฉีเจิ้งกวาดสายตามองกองหินหยาบหลายกอง เดินตรงดิ่งเข้าไปหยิบหินก้อนเล็กก้อนกลางโยนใส่รถเข็นที่เสี่ยวเอ้อเข็นตามหลังมาอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนหยิบคว้าก้อนไหนได้ก็จับใส่ หารู้ไม่ว่าสายตาของเขามองทะลุปรุโปร่ง หินหยาบทุกก้อนมีมูลค่ามากกว่าราคาที่จ่ายจริง“เจ้าไปยกหินก้อนนั้นให้ข้า” น้ำเสียงสบาย ๆ สั่งเสี่ยวเอ้อให้ยกหินหยาบก้อนใหญ่ขนาดสูงเท่าตัวคน “ไม่ใช่ ๆ ข้าอยากได้ก้อนนั้น นั่น ๆ อีกก้อนด้านขวามือเจ้า”“นั่น ๆ ก้อนนั่นแหละ ยกมารวมกับหินหยาบที่ข้าเลือกไว้เลย”เสี่ยวเอ้อมองนายท่านที่ผอมแห้งดูไม่เอาผ่านเดี๋ยวคว้าหยิบเดี๋ยวจับโยนเดี๋ยวยกมือชี้เลือกพนันหินอย่างไม่ต้องสังเกตคัดเลือกเหมือนนักพนันหินคนอื่น ๆ อย่างมึนงงตั้งแต่มันทำงานในบ่อนพนันหินไม่เคยเจอนักพนันคนใดที่เลือกหินได้ชุ่ย ๆ ขนาดนี้ อย่างน้อยคนที่พนันต้องมีสังเกตดูสีดูน้ำหนักหินบ้างไม่มากก็น้อย แต่คนผู้นี้กับเลือกหินอย่างกับเลือกหัวผักกาด ไม่รู้ว่าหินที่เลือกมาข้างในจะมีค่าหรือไม่ส่วนทางฝั่งของเยี่ยหยางที่ไม่ได้มีสายตาที่พิเศษเฉียบคมเช่นสหายก็มีวิธีการของตัวเองใน
เขาเพียงพลังเวทเล็กน้อยก็ควบคุมลูกเต๋าเหมือนอยู่ในกำมือ จะให้ออกผลเท่าไหร่กี่แต้มก็จัดการได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเบา ๆ“เปิด ๆ” เสียงเชียร์ดังลั่นเพราะเงินเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่น้อย หากเป็นชาวบ้านธรรมดาตำลึงเงินตำลึงทองเหล่านี้สามารถเลี้ยงครอบครัวสิบคนได้เป็นหลายสิบปีอย่างฟุ่มเฟือยกระบอกลูกเต๋าคว่ำลงบนโต๊ะแล้ว เจ้ามือค่อย ๆ เปิดกระบอกอย่างช้า ๆ ครานี้มันหาเงินเข้าบ่อนได้มากโขแล้ว?ลูกเต๋าเผยโฉมต่อทุกสายตา ตั้งเรียงสูงเป็นแถวตั้งตรง หน้าแต้มของเต๋าลูกบนคือหกแต้มเห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตาในบริเวณนี้ แต่เต๋าอีกสองลูกยังเป็นปริศนาเจ้ามือที่เห็นผลลูกเต๋าก็ขมวดคิ้ว มันมั่นใจว่าตัวเองควบคุมแต้มเต๋าให้ออกต่ำที่สุด แต่แต้มเต๋าที่เผยออกมาส่วนหนึ่งทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยดี“เปิดต่อ ๆ เลย” เยี่ยหยางเร่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน การแสดงที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ ไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อยเจ้ามือที่ได้รับสายตากดดันทั่วสารทิศ เอื้อมมือที่หนักอึ้งในความรู้สึกของมันไปหาเต๋าลูกบน กลั้นใจคว้าหยิบในทีเดียว แต่ผลที่ออกมา…หกแต้ม!
เศรษฐีอ้วนที่แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับทองอร่ามเต็มตัวคือ มู่หรงเยี่ยหยางชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย ส่วนสหายผอมแห้งดูเสเพลไม่เอาถ่านคือ หวงฉีเจิ้งเจ้าของหอข่าวซินเหวินที่กำลังมีอำนาจแผ่กระจายไปหลายแว่นแคว้นทั้งสองเดินตามเสี่ยวเอ้อแนะนำมายืนหน้าโต๊ะกว้างที่ขีดตารางแบ่งช่องเป็นตัวเลขและตัวอักษรที่ขีดเขียนว่าสูงและต่ำ“นายท่าน โต๊ะนี้การร่วมเล่นสนุกง่ายนัก เพียงแค่ท่านเดาว่าเจ้ามือจะทอยลูกเต๋าได้แต้มสูงหรือต่ำ ท่านสามารถวางเงินเดิมพันตรงช่องที่ท่านทาย หากท่านทายถูกก็จะได้รางวัล หากทายผิดก็จ่าย อัตราการทายแต้มห้าต่อห้านั้นช่างง่ายดายและน่าสนุกมากขอรับ”“อ๋อ แล้วช่องตัวเลขล่ะ” เยี่ยหยางแกล้งโง่งมไม่รู้วิธีการ แต่หารู้ไม่ว่าเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งกว่าเจ้ามือ บ่อนหลายแห่งของซีเว่ยแค่เห็นเงาชินอ๋องก็ปิดทำการบ่อนชั่วคราวทันที รอเทพบัดซบเสร็จกลับไปให้ไกลถึงกล้าแง้มประตูแต่เมืองจินเหมินแห่งนี้เทพเซียนผู้นี้ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน กลับไม่มีโอกาสเหมาะสมมาแวะเวียน ครานี้ได้ฤกษ์โอกาสยามดี ชินอ๋องแห่งซีเว่ยจึงได้โอกาสเยี่ยมเยือนถึงเมืองแห่งกา
เพราะไม่มีใครเห็นหวงฉีเจิ้งมาที่เหมือง เห็นเพียงเยี่ยหยางที่ถูกโทษทัณฑ์“ข้าว่าพวกเราทิ้งแร่ปิดหน้าโถงถ้ำไว้เล็กน้อยดีกว่า”เยี่ยหยางพูด จากน้ันก็ยอมเสียแร่ผลึกเล็กน้อยวางปิดหน้าโถงถ้ำเช่นเดิม มองจากข้างนอกเข้ามาในโถงเหมือนข้างในยังเต็มไปด้วยผลึกแร่ และจำนวนนั้นก็พอจ่ายให้คนในสำนักได้หลังจากนี้อีกสามเดือน ที่มองเห็นมากมายที่เหลือเป็นเพียงเวทภาพลวงตาที่ร่ายส่ง ๆ ผูกติดกับผลึกแร่จริงที่กองปิดโถงถ้ำคาดว่าเดือนที่สามเมื่อแร่ผลึกก้อนสุดท้ายหยิบออกไป คงมีใครคนหนึ่งล้มทั้งยืนที่ตรงนั้น แต่ตัวก่อเรื่องกลับไม่อยู่ในสำนักแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์อกตัญญูปล้นทรัพย์สินของสำนัก แต่ใช่ว่าผู้อาวุโสที่คุมเหมืองแห่งนี้จะเป็นคนดี พวกเขาแค่ช่วยให้เรื่องมุบมิบของตาแก่คนหนึ่งแดงเร็วขึ้นก็เท่านั้นจากนั้นก็คนนอกสองคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็ติดตั้งค่ายกลวงเวทเคลื่อนย้ายตามจุดประสงค์เริ่มต้นที่มาที่นี่ใช้เวลาถึงสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก เพราะค่ายกลนี้เป็นวงเวทที่ซับซ้อนต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งต้องร่างก่อให้เสถียรทุกอักขระเมื่องานเสร็จสิ้นสอง