พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน
เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน
เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์
ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย
เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ
คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้งเยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา
นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ
พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะบีบตัวอย่างรุนแรงจนบอบช้ำ ทวารทั้งห้าจะถูกปิด แรงกดดันในร่างจะเพิ่มสูงขึ้น กดทำลายอวัยวะภายใน ระบบทุกอย่างจะแปรปรวน เมื่อหัวใจทนรับไม่ไหวทวารทั้งห้าจะเปิดอีกครั้งและนั่นคือความตายจูเหวินฟงต้องรับยาระงับพิษนี้ทุก ๆ สามเดือน เมื่อใกล้ครบกำหนดที่ต้องทานยาร่างกายจะอ่อนแอลง นี่ก็เหลือเวลาอีกสามวันที่ต้องทานยาต้านอีกครั้ง
ยาต้านพิษนี้เป็นสมุนไพรที่จูเจียผิงปรุงขึ้นเป็นพิเศษ จากการผสมพิษแมงป่องสนธยา แมงมุมแม่ม่ายทมิฬ และ ว่านรางจืดเถา ซึ่งเป็นของหายากพอตัว
แต่ในความจริงยาต้านพิษที่ปรุงขึ้นมานี้ไม่สามารถใช้กับผู้อื่นได้ เพราะเป็นพิษผสมขึ้นมา เป็นพิษต้านพิษ โดยมีว่านสมุนไพรมีฤทธิ์ข่มพิษอีกทีมีฤทธิ์ขัดแย้งกันนั้น จูเจียผิงไม่รู้แม้แต่น้อย เพราะยาต้านพิษถูกปรุงทดสอบเป็นพิเศษ
ท่านพ่อสามารถรับยาต้านนี้ได้คนเดียวเท่านั้น หากมีใครที่ได้รับพิษกลืนวิญญาณ กินยาต้านพิษฉบับนี้เข้าไป อาจเร่งเวลาไปหายมบาลเร็วขึ้น เพราะว่านข่มพิษที่มีฤทธิ์ขัดแย้งกันนั้น กลับเป็นตัวกระตุ้นเวทมนตร์ที่ถูกคำสาปสะกด ปลดผนึกด้วยตัวเองได้บางส่วน ไปรักษาร่างระงับพิษกลืนวิญญาณพอดิบพอดี
หากว่าจูเจียผิงเป็นอาจารย์ปรุงโอสถที่เก่งกาจ ท่านพ่อเขาก็เป็นคนที่มีโชคไม่ขาดเช่นเดียวกัน
ร่างกายของท่านพ่อเป็นทั้งมู่หรงหลงหมิง และแมทธิว วินเซอร์ไปพร้อม ๆ กัน จะเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตาเวทมนตร์หรือลิขิตสวรรค์ดี
ก่อนหน้าที่ท่านพ่อจะมาที่มิติแห่งนี้ มู่หรงหลงหมิงยังไม่ใช่แมทธิว วินเซอร์ เป็นคนสองคนที่อยู่กันคนคนภพ แต่เมื่อเจอกันกลับถูกลิขิตให้กลายเป็นคนคนเดียวกัน
เยี่ยหยางยืนนิ่งตึงเครียดหน้าเตียงบิดา เขารู้สาเหตุที่ทำไมท่านพ่อไร้พลังเวทและไร้ความทรงจำ เป็นเพราะพิษกลืนวิญญาณ ที่ดึงพลังเวทของท่านพ่อไปทั้งหมดหมด
เขาจะรีบร้อนแก้ไขเรื่องนี้ทันทีไม่ได้ มันอันตรายเกินไป อย่างแรกเขาต้องได้ตัวอย่างพิษบ้า ๆ นี่มาไว้ในมือก่อน เพื่อวิเคราะห์ส่วนประกอบมัน ตอนนี้คงต้องอาศัยวิธีเดิมนี้ระงับพิษชั่วคราว คาดว่าแม่ของเขาก็มีอาการไม่ต่างกันแน่
บุตรชายคนโตรีบผุดไปอีกห้องที่มารดานอนหลับอยู่ เยี่ยหยางร่ายเวทตรวจร่างกายมารดาอย่างละเอียด ผลออกมาไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด ท่านแม่ไม่มีพิษใด ๆ ตกค้างในร่างกาย
มีแต่คำสาปที่ไม่ร้ายแรง ที่ส่งผลต่อความทรงจำเท่านั้น เลยทำให้ไม่รู้ว่าตัวเองมีเวทมนตร์ ต่างจากท่านพ่อที่เจอทั้งพิษทั้งมหาคำสาป ดีที่ท่านพ่อท่านแม่อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา เวทมนตร์ของท่านแม่จึงถูกถ่ายโอนช่วยเหลือท่านพ่อแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากทั้งคู่เป็นคู่แห่งโชคเป็นคู่ชีวิตที่โชคชะตาลิขิตเป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน หรือคนที่นี่เรียกว่าด้ายแดงของกันและกัน
เยี่ยหยางคิดว่าเขาต้องปลดคำสาปให้ท่านแม่ก่อน แต่ต้องไม่ให้ท่านแม่รู้ตัวเดี๋ยวจะเครียด ดูจากเวลาที่เหมาะสม เขาควรจะถอนคำสาปให้นางในคืนเพ็ญแรกของช่วงวันหยุดยาว
ตอนนี้เขาขอนอนกอดท่านแม่ทั้งคืนให้หายคิดถึงดีกว่า…
.
.
แสงอรุณสาดส่องเข้ามาในห้องพักพร้อมกลิ่นหอมของอาหารที่ท่านอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยลงมือทำด้วยตัวเอง พร้อมลูกมือคนสนิทอย่างฉงหยิ๋นและบ่าวรับใช้ตระกูลจูที่ถูกเรียกตัวมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ครัวของโรงเตี๊ยมวุ่นวายกันตั้งแต่ย่ำรุ่งจนเกือบยามเฉิน เสียงหม้อไหกระทะตะหลิวดังกระทบกันตลอดเวลา ผู้คนเดินขวักไขว่สวนทางกัน ยกของนั่นของนี่เข้ามาในครัว บางส่วนก็ยืนเรียนรู้ จดเคล็ดลับที่ไม่ลับกันยิก ๆ เพราะนาน ๆ ทีจะได้เห็นการปรุงอาหารที่ตื่นตาตื่นใจของนายท่านผู้เป็นเจ้าของสูตรอาหารเรื่องชื่อ
“เจ้าปรุงรสเพิ่มอีกนิด อาหารจานนี้รสชาติยังไม่กลมกล่อม”
ฉงหยิ๋นในร่างมนุษย์สั่งการบ่าวไพร่ชำนิชำนาญ เรื่องปากท้องขอให้บอกมัน รับรองว่ามันมือฉมังเชี่ยวชาญกว่าห้องเครื่องในวังหลวงเสียอีก “ซุปหม้อนี้เจ้าจะรีบใส่วัตถุดิบไปไหน มันยังไม่ได้ที่เลย ต้องปรับปรุงฝีไม้ลายมือใหม่ ถอยดูข้านี่”
ร่างของเด็กน้อยอายุน้อยกว่ากับเฉิงเยว่อยู่หลายปี ยืนบนแท่นที่เสริมความสูงโดยเฉพาะ เพื่อให้มันปรุงอาหารได้ เส้นผมสีเงินยวงกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มดูแปลกแยกต่างกับผู้อื่น แต่กลับมีเสน่ห์ลึกลับน่ามอง ผูกผ้ากันเปื้อนสีหวานผืนประจำของเจ้าตัว ดูแปลกพิลึกสำหรับคนไม่เคยเห็น
“ฉงฉง สำรับสามอย่างนั้นเสร็จหรือยัง?” เยี่ยหยางถาม เขาเงยหน้าจากหม้อตุ๋นอบไก่สมุนไพรสูตรพิเศษ ที่ทำไปสอนไปบอกวิธีทำอย่างละเอียดให้เหล่าลูกศิษย์อย่างบ่าวบ้านตระกูลจู และพ่อครัวของโรงเตี๊ยมที่ขอมาศึกษาหาความรู้เพิ่ม
“จุ๊ ๆ เหล่าหยาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าไอ้หมอนี่ร่ำรวยไม่ใช่เล่นเลยน้า” หวงฉีเจิ้งจับตะเกียบเคาะชาม มองสหายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เยี่ยหยางเงยหน้าขึ้นจากชามข้าว “หืม? แล้วเจ้ารู้ว่ามีเท่าไหร่บ้าง?”“หารส่วนแบ่งกับเจ้าคนละครึ่ง คุณชายอย่างข้าสร้างหอข่าวได้สมบูรณ์เสร็จสรรพเลยทีเดียวล่ะ”“มากกว่าบ่อนโกโรโกโสนั่นอีกนะเนี่ย” รอยยิ้มหายนะวาดอยู่บนใบหน้าของเยี่ยหยาง “ข้าไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าขยายสาขาเพิ่มในเป่ยฉินแล้วสิ แถมมีเงินมีทองไปซื้อขนมให้เสี่ยวเฉิงเหลือเฟือเลยสินะ”เนื้อกวางทรายขาวคีบเข้าปากเยี่ยหยาง ก่อนจะเอ่ยต่อ “โอรสในฮ่องเต้กับฮองเฮาจะมีทรัพย์สมบัติน้อยได้อย่างไร”“นั่นสินะ”ซู๊ดดด… น้ำแกงรสกลมกล่อมไหลลงคอหวงฉีเจิ้งอย่างนุ่มนวล “เจ้าว่าข้าไปเป็นองค์ชายบ้างดีมั้ย?”“กริยาอย่างเจ้าหรือ? ขุนนางยังไม่ได้เป็นเลย” เยี่ยหยางมองอี๋ใส่สหายที่ซดน้ำแกงเสียงดัง หมอนี่ไม่เคยรักษามารยาทต่อหน้าเขาบ้างเลย“ต่อหน้าเจ้าต้อ
“ไป กลับกันเถอะ กลิ่นขยะที่จินโจวเหม็นคุ้งจะแย่แล้ว” เยี่ยหยางคล้องคอหวงฉีเจิ้งเดินละลิ่วออกไปโดยไม่สนใจอ๋องขี้ขโมย“หยุด!!! ให้เปิ่นหวาง”เปิ่นหวางไม่หยุดเจ้าจะทำไม! เยี่ยหยางไม่ฟังน้ำเสียงสั่งที่ฟังดูแล้วเหมือนคนบ้า เขาไม่สนใจไอ้บ้านี่แม้แต่น้อย“ไอ้สวะสองตัว หยุดเดี๋ยวนี้!!! หากพวกเจ้าสองคนก้าวออกไปจากที่นี่ พวกเจ้าและครอบครัวก็ตาย!!”เยี่ยหยางหยุดกึก ชะงักก้าวเดินทันทีตอนแรกเขาก็แค่โมโหนิดหน่อยที่มีคนมาขโมยของต่อหน้าเขา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่เอาของคืนก็ปล่อยไอ้บ้านี่ไปได้แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะไม่โมโหนิดหน่อยแล้วเพราะตอนนี้ท่านอ๋องบัดซบเดือดแล้ว…จุดแข็งของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัว…จุดอ่อนของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัว …จุดเดือดของมู่หรงเยี่ยหยาง คือ ครอบครัวดังนั้นแล้วหนทางข้างหน้าของอ๋องแห่งจินโจวผู้นี้ช่างมืดมนนัก ที่รนหาที่สมัครสมาชิกมีรายช
หวงฉีเจิ้งกวาดสายตามองกองหินหยาบหลายกอง เดินตรงดิ่งเข้าไปหยิบหินก้อนเล็กก้อนกลางโยนใส่รถเข็นที่เสี่ยวเอ้อเข็นตามหลังมาอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนหยิบคว้าก้อนไหนได้ก็จับใส่ หารู้ไม่ว่าสายตาของเขามองทะลุปรุโปร่ง หินหยาบทุกก้อนมีมูลค่ามากกว่าราคาที่จ่ายจริง“เจ้าไปยกหินก้อนนั้นให้ข้า” น้ำเสียงสบาย ๆ สั่งเสี่ยวเอ้อให้ยกหินหยาบก้อนใหญ่ขนาดสูงเท่าตัวคน “ไม่ใช่ ๆ ข้าอยากได้ก้อนนั้น นั่น ๆ อีกก้อนด้านขวามือเจ้า”“นั่น ๆ ก้อนนั่นแหละ ยกมารวมกับหินหยาบที่ข้าเลือกไว้เลย”เสี่ยวเอ้อมองนายท่านที่ผอมแห้งดูไม่เอาผ่านเดี๋ยวคว้าหยิบเดี๋ยวจับโยนเดี๋ยวยกมือชี้เลือกพนันหินอย่างไม่ต้องสังเกตคัดเลือกเหมือนนักพนันหินคนอื่น ๆ อย่างมึนงงตั้งแต่มันทำงานในบ่อนพนันหินไม่เคยเจอนักพนันคนใดที่เลือกหินได้ชุ่ย ๆ ขนาดนี้ อย่างน้อยคนที่พนันต้องมีสังเกตดูสีดูน้ำหนักหินบ้างไม่มากก็น้อย แต่คนผู้นี้กับเลือกหินอย่างกับเลือกหัวผักกาด ไม่รู้ว่าหินที่เลือกมาข้างในจะมีค่าหรือไม่ส่วนทางฝั่งของเยี่ยหยางที่ไม่ได้มีสายตาที่พิเศษเฉียบคมเช่นสหายก็มีวิธีการของตัวเองใน
เขาเพียงพลังเวทเล็กน้อยก็ควบคุมลูกเต๋าเหมือนอยู่ในกำมือ จะให้ออกผลเท่าไหร่กี่แต้มก็จัดการได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเบา ๆ“เปิด ๆ” เสียงเชียร์ดังลั่นเพราะเงินเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่น้อย หากเป็นชาวบ้านธรรมดาตำลึงเงินตำลึงทองเหล่านี้สามารถเลี้ยงครอบครัวสิบคนได้เป็นหลายสิบปีอย่างฟุ่มเฟือยกระบอกลูกเต๋าคว่ำลงบนโต๊ะแล้ว เจ้ามือค่อย ๆ เปิดกระบอกอย่างช้า ๆ ครานี้มันหาเงินเข้าบ่อนได้มากโขแล้ว?ลูกเต๋าเผยโฉมต่อทุกสายตา ตั้งเรียงสูงเป็นแถวตั้งตรง หน้าแต้มของเต๋าลูกบนคือหกแต้มเห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตาในบริเวณนี้ แต่เต๋าอีกสองลูกยังเป็นปริศนาเจ้ามือที่เห็นผลลูกเต๋าก็ขมวดคิ้ว มันมั่นใจว่าตัวเองควบคุมแต้มเต๋าให้ออกต่ำที่สุด แต่แต้มเต๋าที่เผยออกมาส่วนหนึ่งทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยดี“เปิดต่อ ๆ เลย” เยี่ยหยางเร่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน การแสดงที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ ไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อยเจ้ามือที่ได้รับสายตากดดันทั่วสารทิศ เอื้อมมือที่หนักอึ้งในความรู้สึกของมันไปหาเต๋าลูกบน กลั้นใจคว้าหยิบในทีเดียว แต่ผลที่ออกมา…หกแต้ม!
เศรษฐีอ้วนที่แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับทองอร่ามเต็มตัวคือ มู่หรงเยี่ยหยางชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย ส่วนสหายผอมแห้งดูเสเพลไม่เอาถ่านคือ หวงฉีเจิ้งเจ้าของหอข่าวซินเหวินที่กำลังมีอำนาจแผ่กระจายไปหลายแว่นแคว้นทั้งสองเดินตามเสี่ยวเอ้อแนะนำมายืนหน้าโต๊ะกว้างที่ขีดตารางแบ่งช่องเป็นตัวเลขและตัวอักษรที่ขีดเขียนว่าสูงและต่ำ“นายท่าน โต๊ะนี้การร่วมเล่นสนุกง่ายนัก เพียงแค่ท่านเดาว่าเจ้ามือจะทอยลูกเต๋าได้แต้มสูงหรือต่ำ ท่านสามารถวางเงินเดิมพันตรงช่องที่ท่านทาย หากท่านทายถูกก็จะได้รางวัล หากทายผิดก็จ่าย อัตราการทายแต้มห้าต่อห้านั้นช่างง่ายดายและน่าสนุกมากขอรับ”“อ๋อ แล้วช่องตัวเลขล่ะ” เยี่ยหยางแกล้งโง่งมไม่รู้วิธีการ แต่หารู้ไม่ว่าเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งกว่าเจ้ามือ บ่อนหลายแห่งของซีเว่ยแค่เห็นเงาชินอ๋องก็ปิดทำการบ่อนชั่วคราวทันที รอเทพบัดซบเสร็จกลับไปให้ไกลถึงกล้าแง้มประตูแต่เมืองจินเหมินแห่งนี้เทพเซียนผู้นี้ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน กลับไม่มีโอกาสเหมาะสมมาแวะเวียน ครานี้ได้ฤกษ์โอกาสยามดี ชินอ๋องแห่งซีเว่ยจึงได้โอกาสเยี่ยมเยือนถึงเมืองแห่งกา
เพราะไม่มีใครเห็นหวงฉีเจิ้งมาที่เหมือง เห็นเพียงเยี่ยหยางที่ถูกโทษทัณฑ์“ข้าว่าพวกเราทิ้งแร่ปิดหน้าโถงถ้ำไว้เล็กน้อยดีกว่า”เยี่ยหยางพูด จากน้ันก็ยอมเสียแร่ผลึกเล็กน้อยวางปิดหน้าโถงถ้ำเช่นเดิม มองจากข้างนอกเข้ามาในโถงเหมือนข้างในยังเต็มไปด้วยผลึกแร่ และจำนวนนั้นก็พอจ่ายให้คนในสำนักได้หลังจากนี้อีกสามเดือน ที่มองเห็นมากมายที่เหลือเป็นเพียงเวทภาพลวงตาที่ร่ายส่ง ๆ ผูกติดกับผลึกแร่จริงที่กองปิดโถงถ้ำคาดว่าเดือนที่สามเมื่อแร่ผลึกก้อนสุดท้ายหยิบออกไป คงมีใครคนหนึ่งล้มทั้งยืนที่ตรงนั้น แต่ตัวก่อเรื่องกลับไม่อยู่ในสำนักแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์อกตัญญูปล้นทรัพย์สินของสำนัก แต่ใช่ว่าผู้อาวุโสที่คุมเหมืองแห่งนี้จะเป็นคนดี พวกเขาแค่ช่วยให้เรื่องมุบมิบของตาแก่คนหนึ่งแดงเร็วขึ้นก็เท่านั้นจากนั้นก็คนนอกสองคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็ติดตั้งค่ายกลวงเวทเคลื่อนย้ายตามจุดประสงค์เริ่มต้นที่มาที่นี่ใช้เวลาถึงสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก เพราะค่ายกลนี้เป็นวงเวทที่ซับซ้อนต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งต้องร่างก่อให้เสถียรทุกอักขระเมื่องานเสร็จสิ้นสอง