เยี่ยหยางอยู่คนเดียวในเรือนส่วนตัวที่สมาคมเหวินชา เขาตรวจดูสภาพร่างกายและพลังเวทว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก่อนจะปลดผนึกปราณยุทธของตัวเอง
ผนึกนี้ถูกกักขังด้วยเวทมนตร์และถอนด้วยเวทมนตร์เท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เขาตัดสินใจผนึกมัน เพราะร่างกายเขาใช้พลังเวทสนับสนุนเป็นหลัก
เนื่องจากแก่นเวทที่เสียหายทำให้พลังทั้งสองไม่สมดุลขัดแย้งกันเองในร่าง จึงเลือกได้เพียงหนึ่ง มาตอนนี้แก่นเวทมนตร์ของเขาสมบูรณ์มากกว่าตอนอยู่ระนาบมนตราเสียอีก หากจะปลดผนึกปราณยุทธไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เยี่ยหยางหยิบผลึกปราณออกมากองข้างกายตัวเองกองใหญ่ พวกมันถูกเก็บสะสมทีละเล็กทีน้อยมาหลายปี แม้ส่วนใหญ่จะกลายเป็นขนมขบเคี้ยวของฉงหยิ๋น แต่จำนวนผลึกปราณยุทธและคุณภาพของมันที่เขามีก็มากพอที่จะใช้ยกระดับปราณยุทธถึงขั้นราชันยุทธ
เมื่อทุกอย่างพร้อม คนที่ลงมือผนึกพลังปราณตัวเองก็ส่งพลังเวทเข้าไปที่ผนึก โคจรเวทค่อย ๆ เจาะกำแพงผนึกที่ตันเถียนเข้าที่จุดที่เปราะบางที่สุดซ้ำ ๆ อย่างละเอียดอ่อนและใจเย็น
พลังเวทปะทะกำแพงที่กั้นที่จุดจุดเดียวจนเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ ค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดจุดเปราะบางข
หวงฉีเจิ้งที่รู้ระดับปราณยุทธของเพื่อนรัก หันหลังกลับไปนั่งคุ้ดคู้ในมุมมืดสาปแช่งสวรรค์อวยพรนรกเขาคิดว่าจะแข่งกันฝึกยกระดับพลังกับเยี่ยหยางสักหน่อย ตอนนี้ยังไม่ทันชวนก็แพ้หลุดลุ่ย ไม่ต้องเอ่ยถึงแม่นางครึ่งเซียนครึ่งหมา เขาไม่คิดจะแข่งกับนางอยู่แล้วทำไมสวรรค์ชอบรังแกคนตัวเล็ก ๆ อย่างเขาอยู่เรื่อยเลย หากโจวจี้ไหลได้ยินความคิดของหวงฉีเจิ้งคงทุกข์ระทมกว่าเป็นแน่ส่วนชินอ๋องที่ผู้คนนินทาก็ยิ้มแฉ่งหน้าบานเป็นฝาชี กระโดดโลดเต้นเข้ากอดหมับใส่เกอเกอจนกระดูกดังกร๊อบไปทั้งตัว เขาไม่คิดว่าแค่ปลดผนึกปราณยุทธ ระดับลมปราณจะพุ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ สูงกว่าลู่เฉินต้องหลายระดับ จากนี้ไปเขาจะตบหน้าพวกสุนัขขี้นินทาทั้งหลายได้แล้ว“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างมีความสุขจริง ๆ ข้ามันเจ๋ง เปิ่นหวางคือสุดยอดอัจฉริยะ”โจวจี้ไหล “…”“เสี่ยวจี้ไหล ยามซวี[1]วันพรุ่งนี้เรียกพี่น้องที่อยากเรียนเวทมนตร์มาที่ลานฝึกด้านหลัง เปิ่นหวางอารมณ์ดี จะเริ่มสอนพื้นฐานพวกเจ้าพรุ่งนี้เลยละกัน”“ขอรับนายท่าน&rdq
หนูทดลองอย่างคุณชายซีเจ๋อแห่งเหวินชาไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้เกียรติเป็นคนแรกที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ทักษะของชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยเขากลืนน้ำยาสีเงินเข้มคลักไม่น่าเทเข้าปาก แต่รสชาติหอมสดชื่นเหมือนน้ำค้างแรกเริ่มในยามเช้า สักพักก็เปลี่ยนเป็นรสสารพัดพืชผักตั้งแต่รสอ่อนจนเหม็นเขียวขมคอ กู้ซีเจ๋อรู้ว่าเขาไม่ควรคาดหวังกับรสชาติ แต่คงกินอะไรไม่ลงอีกพักใหญ่สามจอมเวทช่วยกันดูการเปลี่ยนแปลงที่ฝืนชะตากฏเวทมนตร์อย่างใกล้ชิด ทั้งจ้องมองสภาพร่างกายของกู้ซีเจ๋อ และสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพราะน้ำยานี้เป็นสิ่งที่ปลุกกระตุ้นการตื่นของเวทมนตร์คล้ายกับการปลุกวิถียุทธ แต่การตื่นของเวทมนตร์ของพ่อมดแม่มดมักเป็นเป็นสิ่งเร้นลับ อาจเกิดอุบัติที่เหตุวอดวายหรือโชคดีดั่งสวรรค์ประทานพรและแล้วสภาพแวดล้อมรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป กิ่งไม้ใบหญ้ารอบตัวถูกเฉือนดุจดั่งของมีคมฟัน พื้นที่โดยรอบผันผวน เสาเรือนมีรอยฟันรอยใหญ่ดูน่ากลัว เยี่ยหยางกระตุ้นเขตอาคมค่ายกลของสมาคมที่เขาวางไว้ทันทีค่ายกลทำงานอย่างรวดเร็วป้องกันไม่ให้คนภายนอกรู้ว่าด้านในมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ตอนนี้ภายในเขตอาคมม
“เอาล่ะ พวกเรามาเดินสู่ประตูมังกรโชติช่วงชัชวาลกันต่อ มีกี่คนที่เลือกเปิ่นหวางบ้าง?”เยี่ยหยางมองว่าที่ลูกศิษย์ยืนเรียงหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจใหญ่ในสำนักงานใหญ่สมาคมเหวินชาทั้งเก้าคนส่วนบรรดาเหล่าหัวหน้าสาขาคนอื่นผู้ที่เป็นสตรีก็กระจายตัวไปหาหวงฉีเจิ้งและผู้ที่เป็นบุรุษก็เดินไปหาหูลี่เซียน ช่างแสดงความต้องการอย่างชัดเจนไม่ปกปิดใดใดนายท่านใหญ่เห็นภาพนี้ได้แต่หัวเราะปกปิดอยู่ในใจ พวกสาว ๆ ที่คิดร่ำเรียนกับหวงฉีเจิ้งไม่เท่าไหร่ เพราะพี่ท่านยังเป็นบุรุษถนอมบุปผาอยู่บ้างแต่เหล่าบุรุษที่เลือกแม่นางจิ้งจอกอีกไม่นานคงเรียนรู้สัจธรรมของ ว่าสตรีตรงหน้าไม่ได้เบาะบางดั่งบุปผางาม แต่นางเป็นต้นตะบองเพชรที่ไร้ดอกแถมหนาม ไม่ได้สวยงามดั่งรูปลักษณ์ที่เห็นแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างงั้นจะครอบครองตำแหน่งจอมเวทสาวกุหลาบทมิฬมาหลายปีหรอกหรือจอมเวทในของปราณยุทธถือกำเนิดขึ้นร่วมสามสิบกว่าคนในคืนเดียว หากผู้คนภายนอกรู้คงสร้างความแตกตื่นได้ไม่น้อย ในที่ความแข็งแกร่งคืออำนาจ เวทมนตร์ก็เป็นความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง
ส่วนสหายหญิงที่เมินเพื่อนหนุ่มตัวเหม็นอยู่ในร่างจิ้งจอกน้อยล่อลวงญาติผู้น้องของสหายที่ริมทะเลสาบยามอัสดงอันเงียบสงบเงาร่างผ่าเผยนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่กับจิ้งจอกขนแดงที่นอนอยู่บนตัก คือ รัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยที่อ่านตำราทวนซ้ำ(อีกรอบ)อย่างตั้งใจแม้มู่หรงลู่เฉินยังใช้ลมปราณได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากพิษของเทาเทีย ทำให้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านตำรา แต่ก็ยังไม่ทิ้งการฝึกยุทธ เพียงแต่ฝึกโดยไม่ใช้ลมปราณในตอนเช้าของทุกวันอย่างขยันขันแข็งมือเรียวข้อนิ้วเด่นชัดเปิดพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ อีกมือลูบไล้ขนนุ่มนิ่มจิ้งจอกของเขาอย่างเอ็นดูหูลี่เซียนนอนรับลมเย็น ๆ อย่างพึงพอใจยิ่ง นางไม่รู้สึกสงบใจเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วกาลก่อนที่ถูกสาปเพียงเพราะต้องเอาตัวรอด ไม่เคยได้อยู่เป็นสุขสักวัน ตอนนี้มีทั้งลู่เฉิน มีทั้งเยี่ยหยาง ฉีเจิ้งเพื่อนนางอยู่พร้อมก็ดีไม่น้อยแล้วนางรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ลู่เฉิน แต่มันคงไม่ใช่ความรู้สึกรักลึกซึ้งเชิงชู้สาว รักเป็นเช่นไรนางคงบอกไม่ได้อุ้งเท้าหน้าของจิ้งจอกแดงสะกิดเรียกเด็กหนุ่ม ที่ทวนตำราจนลืมเวลานาง
เสียงสัญญาณให้เข้าเตรียมทดสอบความรู้ทฤษฎีเกี่ยวกับสมุนไพรและการปรุงโอสถได้เริ่มขึ้น สถานที่ทดสอบเป็นห้องกว้างขวางที่บรรจุศิษย์ได้หลายร้อยคนศิษย์ที่ต้องทำการทดสอบต่างเดินเข้ามาประจำที่ของตัวเอง การทดสอบนี้จะต่างกับวิชาภาคทฤษฎีวิชาอื่นเล็กร้อยตรงที่วิชาอื่นจะเป็นโต๊ะเก้าอี้แคบที่พอสำหรับนั่งเขียนเท่านนั้นแต่สำหรับวิชาปรุงโอสถกลับเป็นโต๊ะยาวที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยตัวอย่างสมุนไพรมากมายที่วางอยู่รวมกันพร้อมชุดคำถามสำหรับทดสอบเยี่ยหยางกระดิกนิ้วสั่งให้คราบร่างของตัวเองเดินตามมา เพราะเขาใช้คาถาเล็กน้อยจัดการให้ตำแหน่งที่นั่งของชินอ๋องและเส้าหยางอยู่ใกล้กันที่สุด เพื่อความสะดวกสำหรับการทำข้อสองชุดเหมือนวิชาอื่น ๆ ก่อนหน้าผู้ที่ต้องเหนื่อยกว่าใครสองเท่าเริ่มลงมือทำแบบทดสอบในนามของชินอ๋องก่อน และสั่งให้คราบร่างของเขาแสดงท่าทางเหมือนกำลังทดสอบ ข้อเสียของพวกโฮมุนครูสคือไร้ปัญญาสมบูรณ์แบบ เขาต้องสั่งและควบคุมมันสมุนไพรของศิษย์แต่ละคนได้รับต่างกันไป และ แบบทดสอบสองชุดของเขาไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย เยี่ยหยางหยิบรากไม้ดำขึ้นมาดม แยกสมุนไพรออกเป็นแต่ละประเภทตามความเ
เมื่อเตรียมสมุนไพรเสร็จ ก็เริ่มตั้งไฟตั้งเตายาที่อาจารย์เตรียมไว้ให้เพื่อความเท่าเทียมกันในเรื่องวัตถุดิบและอุปกรณ์ไฟสีส้มแดงธรรมดาเหมือนไฟหุงหาอาหารทั่วไปค่อยเปลี่ยนเป็นไฟสีน้ำเงินพลิ้วไหวราวกับสีของอัญมณีแทนซาไนท์[1]กำลังเต้นระบำด้วยพลังเวทของเยี่ยหยาง ออร่าประกายเวทแผ่ออกมาจากร่างเป็นแสงสีฟ้าน้ำเงินเรืองรองปกคลุมรอบเตายาปลายนิ้วหยิบใส่สมุนไพรลงในหม้อที่อุ่นด้วยเวทมนตร์อย่างแผ่วเบาราวกับบรรเลงพิณทีละอย่างตามลำดับ ต้มรวมกับหยาดเหงื่อของยูนิคอร์น และหยดน้ำตาของนกฟีนิกซ์เพลิงที่เขาเปิดกุคลังวัตถุดิบส่วนตัวแทนน้ำอมฤตจากสวรรค์ชั้นฟ้าสาเหตุส่วนหนึ่งที่โอสถนิพพานหวนคืนเป็นโอสถหายาก และไม่มีผู้ใดคิดที่จะปรุงมันขึ้นมา เพราะน้ำอมฤตจากสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นส่วนผสมสำคัญที่มนุษย์ธรรมดาเดินดินที่ไม่ใช่เทพเซียนจะหามาได้ส่วนผสมทั้งหมดเคี่ยวกลั่นในเตายาที่ธรรมดาสามัญ ผสานกับพลังเวทและ…‘ฉงฉง เจ้าทำอะไรอยู่’ เยี่ยหยางส่งกระแสจิตผ่านพันธะเวทไปหาฉงหยิ๋น‘กินขนมเป็นเพื่อนท่านแม่’ กิเลนตะกละตอบกลับมา‘ข้าขอย
เตาปรุงโอสถเตาใหม่ที่ตั้งใจปรุงขึ้นอย่างดีด้วยเจตนาแอบแฝงถูกจุดด้วยปราณยุทธของกิเลนเทวะ ความร้อนค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าระดับศิษย์นอกทั่วไปเมื่อขั้นตอนอุ่นเตาโอสถเสร็จสมบูรณ์ สมุนไพรหลายชนิดถูกใส่ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกแก้ไขให้ฤทธิ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเหมือนกำลังละเลงศิลปะที่งดงาม สีหน้าคนอยู่หน้าเตาโอสถแววตาวิบวับเป็นประกาย มือกวนโอสถในหม้อ แต่สายตากะคำนวณระยะของระเบิดสมุนไพรชีวภาพ...หึหึหึสายตาเจ้าเล่ห์เหลือบไปเห็นในกองสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ให้บรรดาศิษย์ทดสอบโอ้ ใส่หญ้าหอมร้อยลี้เพิ่มหน่อยดีกว่าฤทธิ์สมุนไพรที่ส่งกลิ่นหอมที่เหล่าสตรีชมชอบถูกความคิดพิเรนทร์ของเยี่ยหยางดัดแปลงพลิกคุณสมบัติกลับตาลปัตร กลายเป็นเหม็นร้อยลี้แทน เพิ่มฤทธิ์เดชโอสถบัดซบให้ขจรไกลยิ่งกว่าเดิมลู่เฉินที่รู้นิสัยของญาติผู้พี่เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่เขาปรุงโอสถก็คอยลอบมองชินอ๋องราชอาณาจักรซีเว่ยผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่าจะสร้างเรื่องอะไรหรือไม่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ก่อเรื่องมานานเกิน ไม่รู้ว่าจะอดกลั้นอดใจได้ถึงเมื่อไหร่
“ใคร!!!”สีหน้าของอาจารย์สอนปรุงโอสถมืดครึ้มแทบคั้นเป็นน้ำหมึก กวาดสายตาเหี้ยมโหดพร้อมรังสีสังหารกระทืบคน ครั้งนี้เขาโดนลูบคมอย่างแรง ไม่เคยมีใครยั่วโทสะเขาได้มากเท่านี้ผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำตัวสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม ต่างกลับท่านอ๋องบัดซบกลับหันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะช่วยหาตัวคนร้ายอย่างไรอย่างงั้น แต่ทุกคนแทบจะปิดหน้ายกมือชี้มาที่เจ้าตัวอย่างระบุตัวเฉพาะเจาะจง“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำสักนิดเดียว” ผู้ถูกชี้ตัวโบกไม้โบกมือปฏิเสธความผิดด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น สีหน้าช่างชวนประทับฝ่าเท้าประดับไว้ไม่น้อย…เหอะ ๆ เยี่ยหยาง เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเล็กสักนิดเดียว แต่เจ้าก่อเรื่องวินาศสันตะโรใหญ่โตสุด ๆ ไปเลย ฉีเจิ้งสั่นหัวกับการกลั่นแกล้งผู้คนของเพื่อนรัก“มู่หรงเยี่ยหยาง!!!”“ขอรับอาจารย์จ้าว” เยี่ยหยางเสียวสันหลังวูบด้วยเสียงเรียกและสายตาที่แช่แข็งคนได้ของจ้าวถิงเซียวข้าก่อเรื่องเ
เพราะไม่มีใครเห็นหวงฉีเจิ้งมาที่เหมือง เห็นเพียงเยี่ยหยางที่ถูกโทษทัณฑ์“ข้าว่าพวกเราทิ้งแร่ปิดหน้าโถงถ้ำไว้เล็กน้อยดีกว่า”เยี่ยหยางพูด จากน้ันก็ยอมเสียแร่ผลึกเล็กน้อยวางปิดหน้าโถงถ้ำเช่นเดิม มองจากข้างนอกเข้ามาในโถงเหมือนข้างในยังเต็มไปด้วยผลึกแร่ และจำนวนนั้นก็พอจ่ายให้คนในสำนักได้หลังจากนี้อีกสามเดือน ที่มองเห็นมากมายที่เหลือเป็นเพียงเวทภาพลวงตาที่ร่ายส่ง ๆ ผูกติดกับผลึกแร่จริงที่กองปิดโถงถ้ำคาดว่าเดือนที่สามเมื่อแร่ผลึกก้อนสุดท้ายหยิบออกไป คงมีใครคนหนึ่งล้มทั้งยืนที่ตรงนั้น แต่ตัวก่อเรื่องกลับไม่อยู่ในสำนักแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์อกตัญญูปล้นทรัพย์สินของสำนัก แต่ใช่ว่าผู้อาวุโสที่คุมเหมืองแห่งนี้จะเป็นคนดี พวกเขาแค่ช่วยให้เรื่องมุบมิบของตาแก่คนหนึ่งแดงเร็วขึ้นก็เท่านั้นจากนั้นก็คนนอกสองคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็ติดตั้งค่ายกลวงเวทเคลื่อนย้ายตามจุดประสงค์เริ่มต้นที่มาที่นี่ใช้เวลาถึงสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก เพราะค่ายกลนี้เป็นวงเวทที่ซับซ้อนต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งต้องร่างก่อให้เสถียรทุกอักขระเมื่องานเสร็จสิ้นสอง
เจ้านายเถื่อนเดินกลับมาหาสหายบัดซบที่ก้มหน้าก้มตาสลักอักษรรูนอยู่ เขาก็ไม่รบกวนอะไรอีกฝ่าย หยิบเตียงโต๊ะเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติเวท วางเตียงตั้งโต๊ะวางเก้าอี้จัดข้าวของส่วนตัวราวกับเป็นห้องหับของตัวเองไม่สนใจสถานที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในเหมืองแร่ ไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจจากนั้นนำข่าวสารที่คนใต้ปกครองของหอข่าวซินเหวินออกมาอ่านเรียบเรียงไว้ บางข่าวจริงสามารถขายได้ บางข่าวก็ปลอม จากนั้นส่งข่าวที่ทำเงินได้กลับไปที่หอซินเหวินหลังจัดการงานการเสร็จก็ร่วงเข้าวันใหม่แล้ว คุณชายหวงก็ย้ายร่างกายของตัวเองไปนอนหลับพักผ่อนบ้าง ต่างกับสหายที่ปูผ้ากางมุ้งขึ้นเตียงหลับตั้งแต่ตะวันลับฟ้าได้ไม่นานหลังร่วมมื้ออาหารเย็น เพราะใช้พลังเวทไปมากโขเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันรุ่งขึ้นสองสหายตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างนั่งสมาธิเดินปราณกันหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะลุกไปจัดการธุระตัวเองตัวใครตัวมัน เสร็จแล้วมาร่วมมื้อเช้ารสมือท่านอ๋องที่ทำเป็นเสบียงเก็บไว้เฉกเช่นทุกวัน“เหล่าหยาง เจ้าทำอาหารเก่งเยี่ยมยอดเช่นนี้ ภรรยาในอนาคตเจ้าคงน้อยใจแย่เลย”“ไม่มีทาง เพราะนางจะมีความสุข จน
หวงฉีเจิ้งที่แยกไปขุดทรัพย์สินต้นทุนในการใช้ชีวิตของตัวเอง กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าเขาจะเริ่มจัดการเก็บเกี่ยวผลึกปราณตรงหน้าเช่นไรดีหากมองผิวเผินเหมือนเขาและเยี่ยหยางเป็นหัวขโมยแอบเก็บผลไม้ในสวนคนอื่นดูเป็นคน…เอ่อ คนเลว แล้วพวกคนใหญ่คนโตมีอำนาจทั้งหลายที่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าล่ะ ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอ้างเป็นของตน ฉกฉวย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน สารพัดวิธีให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองตั้งแต่เขาจากระนาบมนตรามาที่ระนาบหวู่เซียน ชีวิตความเป็นอยู่ทุกลมหายใจช่างลำบากขมขื่นใจยิ่งนักจากนายน้อยหนึ่งในตระกูลสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อื่นต่างยกย่องพะเน้อเอาใจ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม กลับถูกดูถูกเหยียดหยาม เพราะสายเลือดที่มีเอกลักษณ์นี้ไม่เพียงโดนกดขี่ข่มเหง ยังถูกจองจำเป็นทาสชั้นต่ำทั้งที่ยังไม่ทำสิ่งใดเขาไม่เคยโทษเยี่ยหยางที่ทำให้เขาต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิตรภาพระหว่างพวกเขาไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือขอโทษต่อกัน ความจริงใจที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันที่มอบให้กันหลายปี เขารู้และเข้าใจอีกฝ่ายเ
“ที่เหลือวานท่านอาจารย์จ้าวด้วยขอรับ”“อืม”ผู้ชำนาญการลงโทษศิษย์รับคำผู้อาวุโสเจียงที่อยู่ดูแลหอลงทัณฑ์คนเดียว เพราะผู้ดูแลคนอื่นยังไม่กลับมาจากการดูการประลองยุทธจ้าวถิงเซียวเดินนำศิษย์บัดซบที่กระตุ้นต่อมโทสะเขา ไปที่เหมืองผลึกที่ว่า ก่อนจะเรียกกระบี่ออกมาด้านหน้า ใช้วิชากระบี่บินหอบหิ้วร่างตัวแทนไปที่เหมืองทันทีส่วนชินอ๋องตัวจริงที่รับรู้เรื่องราวจากจิตสำนึกที่ตัวเองส่งไปกับร่างตัวแทน เหมือนจะคาดเดาโทษทัณฑ์ที่เขาได้รับออกแล้ว ก็ยิ้มหวานสะกิดเรียกสหายให้ไปสนุกด้วยกัน“อาเจิ้ง ๆ ไปกับข้าเร็ว!”“ไปไหน?” หวงฉีเจิ้งที่นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ ถูกเหล่าหยางสหายซี้ฉุดออกมาจากเตียงนอนถามอย่างงง ๆ“ไปรับทรัพย์” เยี่ยหยางตอบ ในใจกำลังคำนวณค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับ“ไป ๆ ที่ไหน” คนยากจนที่กำลังตั้งตัวผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตกลงไปร่วมรับทรัพย์ที่สหายบอก อีกทั้งยังเร่งรีบกว่า ก็ใครให้เขาตอนนี้ยากจนยากไร้จนต้องพึ่งคลังสมบัติเพื่อนกินอยู่อย่างทุกวันนี้
สามวันถัดมาลานเทียนจงได้ถูกบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่เสร็จเรียบร้อย การประลองยุทธจึงได้จัดต่อ ผู้ที่ต้องประลองต่างมีทั้งแพ้ชนะ และก็ถึงรอบของหวงฉีเจิ้ง ผู้ไม่อยากออกแรงเสียเหงื่อให้เหนื่อยกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ได้กอบโกยชัยชนะทั้งหมดด้วยการสะกดจิตคนทั้งลาน เพียงแค่ดีดนิ้วจากนั้นเขานั่งสบาย ๆ กินขนมจิบชาให้เยี่ยหยางหมั่นไส้ เพราะอีกฝ่ายต้องลงไปดวลเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องชายส่วนเฉิงเยว่น้องชายที่น่ารักก็อยากแสดงความสามารถให้พี่ชายได้ชื่นชม เขาจัดหนักกับการประลองอีกสามรอบที่เหลือ ทั้งพลังลมปราณ ทั้งพลังเวท ภายในเวลาไม่เกินจิบชา ก็กวาดคู่ต่อสู้นอนนิ่งเป็นปลาตายรักษาตัวนานนับเดือน ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์สายในที่เพิ่งเลื่อนระดับพอ ๆ กับพี่ชายตัวดีแน่นอนว่ามู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย และองครักษ์อย่างสือหลงโหยวผ่านได้สบาย ๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง โดยเฉพาะลู่เฉินแม้จะยังออกแรงได้ไม่เต็มที่แต่หูลี่เซียนก็ออกไปเล่นสนุกช่วยลู่เฉินอย่างที่ไม่ให้เจ้าตัวรู้ โดยขอยาพิษอ่อน ๆ จากเยี่ยหยางตั้งแต่หลายวันก่อนไปวางใส่คู่ประลองของลู่เฉิน เพื่อความเท่าเที
คนที่ชมการประลองรอบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกสั่นไหวเหมือนถูกเขย่าแผ่นดินสั่นสะเทือนมากผิดปกติเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ลานประลองก็มีหมอกควันขาว ฝุ่นฟุ้งกระจายตลบทั่วลานเทียงจง จนไม่เห็นสิ่งใดเมื่อควันจางลงสิ่งที่เห็นทำเอาทุกคนพูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดีเพราะลานเทียนจงที่เป็นลานประลองและลานอเนกประสงค์ของเทียนถูหวู่ ขอโบกมือลาตาย สิ้นอายุขัยหมดอายุการใช้งานไปเรียบร้อยพื้นลานแตกเป็นหลุมใหญ่ ก้นหลุมลึกประมาณความสูงกว่าหนึ่งช่วงคน เศษอิฐเศษหินแตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยนอนอยู่ก้นหลุมโดยมีคู่ประลองยุทธรอบนี้ที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ ยืนอยู่ขอบหลุม...ขอบลาน ชื่นชมผลงานออกรบรอบแรกของตัวเองอย่างเฉิงเยว่ และคุณชายสวีที่รับประทานคำใบ้อึ้งเต็มท้องไปแล้วคาถานี้...สุดยอด! ท่านพี่ข้าทำได้แล้ว!! ควบคุมพลังเวทได้ดีด้วย เฉิงเยว่มองไปทางพี่ชายด้วยสีหน้าน่ารักอย่างต้องการคำชื่นชมสหายจู...เจ้าจะให้สัญญาณข้าชัด ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน ถ้าข้าสังเกตไม่ทัน หลบไม่ทัน ข้าไ
“ข้าได้ข่าวว่าคุณชายเพิ่งกลับมาจากราชอาณาจักรจินโจวเมื่อคืนวานนี่เอง” จูเฉิงเยว่ถามไถ่ทักทาย“ใช่ น่านน้ำทางใต้ปั่นป่วนเล็กน้อย ข้าแอบกลับบ้านไปครานี้ยังนึกเลยว่าจะกลับมาไม่ทัน” สวี่เหวินซื่อตอบอย่างไม่ปิดบัง แถมบ่นอุบอิบเล็กน้อย“เกิดเรื่องขึ้นหรือ? คุณชายถึงต้องกลับไปด้วยตัวเอง ทุกทีเห็นส่งสารคุยกัน” คุณชายจูขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะบุตรชายคนโตของสกุลสวี่ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่เพิ่งกลับบ้านตัวเองแบบปุบปับครั้งแรก“ใช่ ฮ่องเต้ทรงเรียกคืนสัมปทานเหมืองทองจากพวกเรา ทำให้พ่อค้าในราชอาณาจักรจินโจวที่ถือสัมปทานวุ่นวายไม่น้อย”สวี่เหวินซื่อบอกเล่าเรื่องราวมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขาต้องวิ่งวุ่นไปมาช่วยบิดาติดต่อผู้คนเพื่อแก้วิกฤตนี้ กำไรส่วนใหญ่ของตระกูลมาจากกิจการเหมืองแร่ที่ถูกเรียกคืน“แปลก น่าแปลกฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจวทรงคิดวางแผนทำสิ่งใดอยู่แน่” เฉิงเยว่ที่ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉุกคิดถึงคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลของฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจว ก็พูดออกมาตามความรู้สึก“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ไ
“ท่านพี่!”น้องชายที่ไร้พี่ชายปกป้องมาโดยตลอด ทั้งเห็นการกระทำของพี่ ทั้งได้ยินคำพูดของพี่ หัวใจที่ด้านชาและโดดเดี่ยวก็เหมือนได้รับน้ำทิพย์ปลอบประโลมชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ“เสี่ยวเฉิง…”เยี่ยหยางยังไม่ทันได้พูดปลอบอะไร น้องตัวน้อยของเขาก็กระโจนใส่อ้อมกอดพี่ชายทันทีจูเฉิงเย่วรู้ว่าการประลองเมื่อครู่ พี่ชายเอาคืนไอ้กงซุนจ้านให้เขา ความทุกข์ที่เก็บกดมานานปีทะลักออกมา แม้ว่ามีท่านพ่อท่านแม่ปกป้อง แต่เขาก็ไม่อยากให้พวกท่านกังวล ไม่อยากให้พวกท่านลำบากใจ ตลอดมาได้แต่ปกป้องตัวเองสร้างเกราะที่ผู้คนรังเกียจ ไม่ให้พวกสารเลวกลั่นแกล้งได้เขาคิดมาตลอดหากเขามีพี่ชาย คนพวกนั้นยังคิดกล้ารังแกเขาอีกหรือไม่ ยังไม่ทันได้เล่าความลำบากใจเมื่ออยู่ที่บ้านเมืองตัวเองให้พี่ฟัง พี่ชายของเขาก็กระทืบตัวการสาเหตุของความทุกข์ทั้งมวลคาฝ่าเท้าทำเอาคนหยิ่งยโสที่ผู้อื่นเห็น อดกลั้นไม่ไหวปล่อยโฮปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นนานปีใส่พี่ชายเต็ม ๆ“ชู่ ๆ ไม่ต้องร้อง โอ๋…คนเก่งของพี่”
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ