Mag-log inตอนรับงาน หล่อนทราบเพียงว่า 'คุณ' ของบ้านหลังนี้ เป็นนักเขียน
view moreคืนนี้เป็นคืนแรกที่บ้านหลังนี้เหลือเพียง นรี กับ คุณเจ้านาย บรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไปมากอยู่เหมือนกัน แม้บ้านจะไม่เคยคึกครื้นรื่นเริงกันเป็นเนืองนิตย์แต่กลับไม่เคยรู้สึกว่า บ้านเงียบ และเหงา เท่านี้มาก่อน
ไร้เสียงเพลงบรรเลงลม ไร้กลิ่นหอมโชยฟุ้ง ไร้การเคลื่อนกายไหวผ้าพริ้วใด
นรีนึกสงสัยในความเป็นไปหลังจากนี้อีกมากมายหลายประการ ไม่ใช่แค่ว่าหล่อนจะต้องระหกระเหินไปจากบ้านนี้หรือไม่ แต่ได้คิดเป็นห่วงไปถึงคุณเจ้านายด้วยต่างหากว่า เธอจะใช้ชีวิตต่ออย่างไรเมื่อตัวคนเดียวอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว
เสียงลมดึกหวีดหวิวครวญหนักกว่าทุกราตรีที่ผ่านพ้น หากเป็นที่อื่น บรรยากาศเช่นนี้ ใครต่อใครคงหวั่นใจว่า ผีสางจะโผล่ผุดมาหยอกเย้าเร้าใจ แต่กับที่นี่ ซึ่งแสนเงียบแสนสงบมาแต่ไหนแต่ไร คงมองได้เพียงว่า เป็นปกติ เนื่องด้วยคนบนเรือนนั้น หลับใหลไปห้วงฝันเสียแล้วทั้งหมด
นรีจับเจ่ากอดเข่าอยู่บนเตียงนอนของตนอย่างเงียบๆ ในค่ำคืนที่ไร้ซุ่มเสียงจนน่ากลัวกว่าทุกที แม้คิดอยากจะแอบย่องไปหาคุณเจ้านาย แต่อีกใจกลับเชื่อฟังคำของเธอที่บอกว่า
'คืนนี้ไม่ต้องเฝ้า'
นรีทอดสายตามองออกนอกหน้าต่างบานแคบ แลไม่เห็นแสงใดในอาณาบริเวณบ้าน ไฟทุกดวงปิดสนิท รวมถึงห้องหล่อนกับห้องคุณเจ้านายก็ไม่มีการเปิดกระแสไฟให้เกิดความสว่างใด ทุกสิ่งมืดมิดจนใจโหวงเคว้งลอยคว้าง ความว่างเปล่ามวลบางเบาสืบเข้าใกล้หัวอกหล่อนมากขึ้นทุกที
หล่อนเลื่อนมือลูบจับไปตามเนื้อผ้าแพรปูนอนอันคุ้นเคย จนสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง จึงคว้าเอาหนังสือนั้นมากอดแนบอก ราวกับว่า ปกหนาและแผ่นกระดาษนับร้อยในอ้อมแขนจะพลันมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยสัมผัสอุ่นจากกายของผู้ที่กำลังหนาวเหน็บสุดใจ
หญิงสาวล้มตัวลงนอนมองพระจันทร์ที่อำพรางด้วยผืนเมฆบาง แล้วถอนหายใจหนักเฮือกหนึ่งเมื่อคิดว่า อาจต้องออกจากบ้านนี้ไปตามทางของตน ในครู่ต่อมา ครั้นหล่อนพลิกตัวนอนตะแคงมองรอบกายด้วยสายตาซึ่งชินความมืด ทุกซอกทุกมุมในห้องเล็กๆ ที่หล่อนซุกหัวนอนก็ดึงจิตหล่อนให้ระลึกถึงวันแรกที่ก้าวเข้ามาเหยียบอาณาเขตแสนสงบแห่งนี้…
การถูกจู่โจมด้วยสถานการณ์ที่ นรีโดนจับได้ว่า ตกหลุมรักคุณเจ้านาย พาให้หล่อนหลงลืมแทบทุกสิ่งรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความสงสัยมากมายซึ่งบังเกิดมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเรือนนี้ จิตใจวนเวียนอยู่แต่กับการเรียบเรียงคำพูด ว่าควรเจรจาอย่างไรกับคุณเจ้านายในโอกาสต่อไป หล่อนควรถามว่าอะไรบ้างเพื่อความชัดเจนในความสัมพันธ์ และเพื่อให้ทราบแนวทางในการอยู่ร่วมกันหลังจากนี้ หล่อนลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่า ณ ขณะนี้ คุณเจ้านายของหล่อนลับกายหายไปจากห้องโดยไม่ได้ผ่านออกทางประตูไม้ลายโบตั๋น หล่อนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า เธอหายเงียบไปพักหนึ่งแล้วนรียืนนิ่งเอนตัวพิงขอบโต๊ะเขียนงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้า ตามด้วยเสียงบานพับประตูขยับไหว หล่อนหันมองตามทิศต้นเสียงทันที ครานี้ค่อนข้างชัดเจน ว่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ตรงข้างหน้าต่างฝั่งหลังเรือน นรีเพ่งมองไปในทิศนั้นอย่างจดจ่อ ทว่ายังไม่กล้าสืบเท้าก้าวไปสำรวจสิ่งใด แต่การปรากฎตัวในสายตาหล่อนอีกหนของคุณเจ้านาย แน่นอนแล้วว่า เธอเดินมาจากมุมห้องฝั่งนั้นจริงๆ“ว่าไงคะ ตั้งสติได้ถึงไหนแล้ว” คุณเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเดินกลับเข้ามาใกล
วันถัดมา นรีได้ติดตามคุณทิพย์ไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอธนา โดยมีกานต์สิรีขับรถมารับถึงหน้าเรือนตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า หล่อนได้เข้าไปยืนรอคุณทิพย์ในห้องหมอธนา จึงรับรู้อาการโรคที่รุมเร้าคุณทิพย์อยู่ แม้หมอธนาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตรงๆ ไม่ได้แจกแจงความเป็นไปให้หล่อนฟัง แต่การซักถามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ปรากฎเค้าลางข้อมูลหลายประการที่นรีพอจะคาดเดาได้ ว่าคุณทิพย์อาจเป็นทั้งเบาหวานและความดันสูง ตลอดจนโรคหัวใจบางประเภทและมีอาการทางจิตใจบางชนิด ขณะที่ภายนอกคุณทิพย์ดูปกติดี ในระดับที่ดูจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำเมื่อตรวจเสร็จหมอธนาเดินออกมาส่งทุกคนที่โถงทางเดิน พลางอธิบายเรื่องอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมสำหรับคุณทิพย์ให้กานต์สิรีกับนรีรับทราบไว้ เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรมของคุณทิพย์ให้รับกับอาการภายในร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยลง ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นเองที่กานต์สิรี หันมาบอกกับนรีว่า คุณทิพย์ต้องเข้ารับการบำบัดกับแพทย์อีกท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ให้นรีกลับบ้านไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมอาหารเที่ยงและมื้อค่ำให้กับคุณเจ้านายที่กำลังปั่นต้นฉบับอย่างแข็งขันแทบจะทั้งว
หลายวันผันผ่านเรื่อยไป ต่อจากเล่ม ‘ควันรักปักใจ’ หนังสือทุกเล่มที่คุณเจ้านายเลือกให้นรี ก็ดูเหมือนจะยิ่งความยาวสั้นลง ราวกับว่าเธอต้องการให้หล่อนกลับเข้าไปคืนหนังสือถึงโต๊ะในเร็ววันยิ่งขึ้น เพราะนรีมักจะอ่านทุกเล่มนั้น จบภายในสองวัน และได้อ่านงานประพันธ์ของคุณข้าหลวงนิรนามจนครบทุกปกอย่างรวดเร็วหนำซ้ำ จากกลางดึกคืนนั้นที่นรีได้สัมผัสผิวเนื้อคุณเจ้านาย การนวดคลึงกายเพื่อผ่อนคลายก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ประจำของหล่อน ซึ่งเธอมักร้องขอต่อหล่อนแทบทุกค่ำคืน บ้างก็ด้วยท่าทีเมื่อยขบ บ้างก็ด้วยสายตาเว้าวอน หลังการทุ่มเขียนบางสิ่งลงหน้ากระดาษอยางยาวนาน ไม่ก็หลังจากนั่งกดแป้นพิมพ์อักษรนับชั่วโมง การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า แทบไม่มีคืนใดเลยที่นรีจะไม่ได้ก้าวผ่านบานประตูลายโบตั๋นคู่นั้นคืนนี้ก็เช่นกัน หล่อนก้าวล่วงเข้าอาณาเขตห้องส่วนตัวของคุณเจ้านายเมื่อตอนเที่ยงคืนเศษ และลงมือบีบนวดกดคลึงทั้งบ่าไหล่ของเธอมาได้เกือบสิบนาที หล่อนอดไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งสายตาไปจับความตัวอักษรมากมายบนโต๊ะเขียนงานตรงหน้า หล่อนลอบมองมาหลายหน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะพลาด เปิดเนื้อความบนแผ่นกระดาษให้เผยต่อสายตาหล่อน ดังตอนนี้
นรีปลีกตัวออกจากห้องคุณเจ้านายมาได้ราวๆ เที่ยงคืน หล่อนกลับออกมานั่งประจำที่หน้าห้องนั้น บนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม และเริ่มพลิกหน้าบทประพันธ์ รินคำเข้าสมาธิ‘ฤดูแล้วฤดูเล่าผ่านไป ความเงียบระหว่างพวกนางกลับอัดแน่นด้วยพันธะที่มิอาจเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ ลมหายใจแผ่วเบาและนิ้วที่เผลอแตะปลายกันบนขวดน้ำอบแค่ชั่วครู่ ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นเกินควบคุม’หล่อนลอบมองคุณเจ้านายสลับกับมองเนื้อความบนหน้ากระดาษหนังสือในมือจนถึงตีสองเศษๆ คุณเจ้านายก็หรี่แสงในห้อง เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะเข้านอน นรีจึงปิดคั่นหนังสือด้วยเส้นริบบิ้นผ้า แล้วลุกไปปิดบานประตูลายโบตั๋นเช่นทุกคืน ก่อนจะกอดเล่มหนังสือ เดินฝ่าความมืดกลับไปที่ฝั่งตะวันออก และเมื่อกลับถึงห้องนอนของตน หล่อนก็ได้มองเล่มนิยาย ‘ควันรักปักใจ’ อย่างเหม่อลอย ด้วยจิตใจที่ยังวุ่นวนอยู่กับคำสองคำนั้นกำลังดังก้องในความคิดหล่อนจนตกภวังค์เหม่อ‘...เราชอบ…’‘งั้นเหรอ’สมาธิในการอ่านหนังสือของหล่อนถูกสั่นคลอนพอสมควรทีเดียว ทั้งที่คราวนี้เป็นเพียงนวนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะอ่านวนไปมา ดูท่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะอ่านให้จบ ‘ร้อยกว่าหน้