ตอนนี้สายตาของจางหย่งเล่อจดจ่ออยู่ที่หนังสือในมือนี่มัน จางหย่งเล่อหน้าแดงเป็นผลผิงกั๋วยามสุกงอม เนื้อหาในหนังสือนั้นช่างเร่าร้อนรุนแรง ภาพประกอบก็ช่างวาดได้ถึงใจจริงๆ
"ซือหมิงเจ้าจะบอกว่านี่คือฝีมือน้องสามของข้าหรือ อีกทั้งนางถูกเอาไปไว้เรือนอนุเหวินผู้นั้นจริงๆหรือ"
"อืม นางหายปัญญาอ่อนแล้ว ดูเหมือนหลี่ม่านม่านคนนั้นอยากให้นางตายจึงผลักตกสระบัว ใครจะรู้ว่านางกลับหายสติไม่ดีเสียงั้น แต่ดันปรากฏตัวผิดเวลาดันปรากฏตัววันที่เยี่ยอ๋องนัดประชุมราชการที่จวน พระชายาฟั่นเฟือนออกมาเพ่นพ่านสร้างความตลกขบขันขนาดไหนเจ้าไม่รู้หรอก ต่อหน้าไม่กล้าวิจารณ์แต่ลับหลังเล่า ฉีเอ๋อร์น้องสาวเจ้าเลยโชคร้ายถูกหิ้วไปโยนเรือนร้างคงกะให้อดตายไปเอง ดีที่นางหายแล้วไม่เช่นนั้นคงอดตายจริงๆ"
ฟางซือหมิงอธิบาย จางหย่งเล่อน้ำตาซึมช่างเถอะอยู่ไกลดาวมัจจุราชนั่นก็ดี เยี่ยอ๋องนึกจะโยนใครก็โยนไม่สนหน้าไหนทั้งนั้น
" แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าน้องชายคนนี้ ฉีเอ๋อร์สามารถออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ก็นับว่าดี ซือหมิงหนังสือนี้ต้องระวังนะเนื้อหาอ่านไปเล่มท้ายๆเกี่ยวโยงทั้งเยี่ยอ๋องกับฝ่าบาท ยิ่งสวีไค่เฉิงกับหลี่หมิงหลงนั้นสองตระกูลนี้แค่เอ่ยคำเดียวก็ทำร้านเจ้าหายไปได้ชั่วข้ามคืนแล้ว" จางหย่งเล่อเตือนเพื่อนรักด้วยความหวังดี
"ขอบใจข้ารู้ขอบเขต ไม่จำหน่ายในเมืองหลวงหรอกข้าจะส่งออกรอบๆหากเกิดปัญหาจะได้สาวไม่ถึง อีกหกวันจะเป็นวันเกิดผู้เฒ่าสวี บ้านเจ้าได้เทียบเชิญหรือไม่"
"ดูเหมือนจะได้ท่านอาสวีไค่ลู่บิดาของผู้พิพากษาสวีเป็นสหายท่านพ่อข้า ท่านแม่ไม่ชอบสังสรรค์ข้าอาจต้องไปคนเดียว แล้วเจ้าเล่าไปกับท่านปู่ฟางหรือบิดาเจ้าล่ะ"
"ข้าไปเจอท่านปู่กับท่านพ่อที่งานเลี้ยง ว่าจะไปกับเย่วเย่วนางเองก็ถูกสวีฮูหยินเชิญเช่นกัน พรุ่งนี้นางจะไปไหว้สุสานนอกเมืองอาจไปค้างหนึ่งคืนแล้วจึงกลับน่ะ"
"นางไปอย่างไร สตรีเดินทางลำพังไม่อันตรายหรือ บิดานางว่าไปช่างใจดำนักหลงอนุจนกระทั่งลืมบุตรตนเอง ซือหมิงข้าอยากเจอฉีเอ๋อร์"
"อย่าห่วงเย่วเย่วเลย สวีไค่เฉิงถูกสวีฮูหยินบังคับให้ไปเป็นเพื่อนนาง สองวันก่อนพี่สามเจ้ามาหาเรื่องกลางตลาดพร้อมหลินซวงเย่วเย่วฟาดหลินซงไปสองทีเนื้อแตกทีเดียว ใต้เท้าหลินไม่พอใจมาต่อว่าเย่วเย่วถึงบ้านนอกเมืองเห็นว่าตบหน้านางด้วย นี่เล่อเล่อคุณชายสวีต้องห่างเยี่ยอ๋องคนรัก อีกทั้งต้องอยู่ใกล้สตรีเจ้าว่าพวกเขาจะคลุ้มคลั่งตายหรือไม่"
ฟางซือหมิงคิดถึงภาพบุรุษคำนึงหาบุรุษอีกคนก็นึกขำ
"ลงแดงตายไปเถอะ พวกเขาสี่คนช่างเป็นคนที่ไม่ควรเข้าใกล้ นี่ซือหมิงราชครูหลี่อันตรายนัก หากพูดถึงความฉลาดเขาไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยอ๋องเลย เป็นราชครูตั้งแต่อายุสิบห้าเท่านั้นจนตอนนี้ยี่สิบหกแล้วนับวันเขายิ่งคาดเดาไม่ได้ระวังตัวหน่อย ร้านหนังสือในเมืองส่วนมากเขาเป็นคนควบคุมดูแล ส่วนหนานกงมั่วคนนั้นคือคนที่น่ารังเกียจที่สุด ซือหมิงเจ้าแจ้งฉีเอ๋อร์หน่อยสะดวกให้ข้าเจอนางเมื่อไหร่"
"ได้ข้าจะบอกนางให้แต่ช่วงนี้อย่าเพิ่งเลยเยี่ยอ๋องเป็นคนฉลาด ข้าเกรงว่าออกมาปรากฏตัวบ่อยๆเขาจะจำนางได้สักวัน รอให้นางได้ใบหย่าก่อนค่อยคิดอีกที"
"หย่าหรือ นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าอดีตจวนราชครูหรือ แม้ว่าท่านปู่ข้าจะเป็นแม่ทัพไม่เดินตามรอยบรรพบุรุษ แต่จวนข้าก็ยังคงเป็นจวนราชครูอยู่นะ"
"เฮ้อ เล่อเล่อใครใช้ให้ลุงของเจ้าตบหน้าตำหนักเหมยฮวาก่อนเล่า อีกอย่างน้องสามเจ้ามีความสามารถถูกขังแต่ในตำหนักเสียดายแย่ หากหย่าแล้วออกไปข้างนอกยังไปใช้ชีวิตสบาย"
"ตอนนี้ข้ามีปัญหากับหนานกงมั่ว เจอนางคราวหน้าดีกว่า คนๆนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิกจ้องว่าข้าจะขยับตัวเมื่อไหร่ หากเขารู้เยี่ยอ๋องย่อมต้องรู้ ข้ากลับก่อนแล้ว ป่านนี้ลุงจูคงมารอแล้ว" จางหย่งเล่อบอกลาฟางซือหมิง
เดินมารอหน้าร้านแต่ยังไม่เห็นรถม้าของจวนนี่เข้าปลายยามเซินแล้วร้านค้าเริ่มปิดแล้ว จากร้านหนังสือไปถึงจวนใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามลุงจูไปไหน ก่อนจะเห็นรถม้าคุ้นเคยมาจอดเทียบ หนานกงมั่วหรือ เฮ้อนางไม่อยากเห็นหน้าแต่ต้องเจอ
ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับจวนอาจเจอลุงจูกลางทาง คนในรถเลิกม่านขึ้น
"คุณหนูรอง ดูเหมือนรถม้าของเจ้าจะมีปัญหานะ มิสู้ให้ข้าไปส่งดีกว่าไหม"
"ขอบคุณซื่อจื่อที่เมตตานัก หย่งเล่อมิบังอาจรบกวบขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"
จางหย่งเล่อไม่ทันก้าวเท้าหนานกงมั่วโบกมือทีเดียวนางก็มาอยู่บนตักเขาในรถม้าแล้ว ลำแขนแข็งแรงกอดเอวบางไว้แน่นก่อนจะสบตานาง สั่งคนรถให้ออกไปนอกเมืองสองลี้ จางหย่งเล่อตกใจ นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนสกุลจาง
"ซื่อจื่อท่านทำอะไร ปล่อยข้าน้อยลงเดี๋ยวนี้นะ พวกเชื้อพระวงศ์ชอบใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเช่นนี้หรือ"
"เชื้อพระวงศ์อะไรกัน ข้าก็แค่สุนัขตัวหนึ่งที่ชอบเห่าไม่ใช่หรือคุณหนูรอง"
"ข้า...ซื่อจื่อโปรดส่งข้าน้อยลงที่นี่เถอะเจ้าค่ะค่ำแล้วท่านแม่อาจเป็นห่วง ที่บ้านข้าน้อยยังมีผู้อาวุโส"
นางกล่าวอึกอักเขาได้ยินได้อย่างไรนางคุยกับลุงจูในรถม้าไม่ใช่หรือ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงอ่อนหวานขึ้นพูดกับเขา
"ความหมายของเจ้าคือเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าไม่อยู่บ้านเลยไม่มีใครอบรมสั่งสอนข้างั้นหรือ"
"ข้าหาได้คิดเช่นนั้น นั่นเป็นความคิดท่านเอง"
จางหย่งเล่อพยายามผลักเขาออกดิ้นรนที่จะลงจากตักแต่แขนเขาแข็งแรงนักนางงัดไม่ออก
"ข้าเป็นแค่สุนัขเจ้ากลัวอะไรจางหย่งเล่อ และถึงข้าจะเป็นสุนัขก็มิใช่สุนัขเฝ้าจวน ข้าเป็นหมาป่าที่ชอบกินเนื้อลูกแกะ โดยเฉพาะลูกแกะผิวขาวนวล เช่นเจ้าคงหวานนัก"
หนานกงเยี่ยก้มลงบดริมฝีปากของนางแต่จางหย่งเล่อเม้มปากแน่น คนตัวโตไม่ยอมแพ้มือหนาล้วงสาบเสื้อของนางก่อนจะกอบกุมทรวงอกนุ่มหยุ่นนิ้วสวยหยอกล้อกับเกสรเม็ดในนั้นจนจางหย่งเล่อตกใจที่เขาจู่โจมนางอ้าปากจะประท้วง ทำให้หนานกงมั่วฉวยโอกาสสอดลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นนางทันที
จางหย่วเล่อทั้งทุบทั้งผลักแต่ไม่ได้ผล นางถูกเขาจุมพิตเรียกร้องเนิ่นนาน มือที่ผลักไสตอนนี้กลายเป็นโอบรอบคอเขาไว้เพราะกลัวตก หนานกงมั่วถอนริมฝีปากอย่างเสียดายความหวาน นิ้วชี้เชยคางมนก่อนจะใช้นิ้วโป้งค่อยๆไล้ริมฝีปากอวบอิ่มที่เขาเพิ่งชิมมาก่อนจะกระซิบข้างหูนาง
"ไม่คิดว่าปากจัดจ้านของเจ้าจะหวานเพียงนี้ เล่อเล่อข้าชักอยากรู้แล้วสิว่าทั้งตัวเจ้าจะหวานเพียงไหนหืม"
จางหย่งเล่อไม่ตอบได้แต่ซุกหน้ากับอกแกร่งนางไม่กล้าสบตาเขา กลิ่นกายเขาชวนให้นางไม่เป็นตัวเอง ก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก
"ซื่อจือ กลับจวนเถอะนะเจ้าคะต่อไปข้าๆไม่กล้าต่อว่าท่านแล้ว อื้อๆ"
หนางกงมั่วจุมพิตนางอีกครั้งก่อนจะบอกคนรถว่ากลับจวนสกุลจาง ระหว่างทางแตะนั่นต้องนี่ไม่หยุด จางหย่งเล่อพยายามจับมือเขาออกแต่คนตัวโตไม่ยอม
"ของใคร คืนนี้ฝันถึงข้าด้วยห้ามเจ้าคิดถึงบุรุษอื่น เข้าใจหรือไม่"
จางหย่งเล่อพยักหน้ารัว ขืนนางไม่รับปากไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับนางอีก หนานกงมั่วจัดผมกับเสื้อผ้านางให้เรียบร้อยรถม้าก็มาถึงจวนสกุลจางพอดี จางหย่งเล่อลงจากรถม้าไม่หันกลับมามอง หนานกงมั่วหัวเราะตามหลัง พรุ่งนี้ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะทำอย่างไรแม่เด็กน้อย
หนานกงมั่วสั่งรถม้าให้กลับตำหนักแต่ใจกลับอยู่กับคนที่เพิ่งลงจากรถไป
แดนเซียนควันสวีทองลอยขึ้นมายังด้านบนก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหนานกงเยี่ยเทพสงครามที่นั่งรอพระชายาตนอยู่ปากถ้ำ ทันทีที่ดวงจิตเข้าสู่ร่างเขาก็รู้ทันทีว่ามหาเทพถือกำเนิดในแดนมนุษย์แล้วชายาของเขานางกำลังจะออกมาจากการกักตนเพื่อหนีหน้าเขาแล้ว ประตูหินค่อยเลื่อนออกควันสีทองลอยเข้าไปยังด้านในเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของเทพบุปผา ไม่นานชิงเหลียนที่หน้าตาเหมือนกันกับจางซูฉีที่แดนมนุษย์ก็เดินออกมาจากด้านใน นางเห็นสวามียืนรอก็เดินตรงมาหา เทพสงครางกางแขาออกให้ชายารักเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเทพบุปผาซบหน้ากับอกกว้าของเขาพร้อมเอ่ยเบาๆ"ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ที่ผ่านมาหนีหน้าพระองค์ ไร้เหตผลต่อจากนี้จะไม่ทำอีกแล้วเพคะ ตอนอยู่แดนมนุษย์เคยเกือบเสียพระองค์ไปหม่อมฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเช่นไร""ข้าไม่โกรธเจ้า คนงามของข้าๆเตรียมเรือเรียบร้อยแล้ว รอเจ้าออกมาจากด่านเราจะไปล่องเรือกัน เราจะล่องจากตำหนักเหลียนฮวาาจนไปถึงดินแดนประจิม แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกดีหรือไม่ หืม""เพคะ หม่อมฉันตามใจพระองค์ ฝ่าบาทชิงเหลียนรักพระองค์เพคะ""คนงามข้าก็รักเจ้า ชิงเหลียนคนดีของข้า"ทั้งคู่ล่องเรือไปตามสระบั
ท้องฟ้าเหนือแคว้นอู๋มีสายรุ้งปรากฎถึงเก้าสาย อีกยังมีเหล่านกน้อยบินวนรอบตำหนักเหมยฮวา ท้องฟ้าเป้นสีทองก้อนเมฆสีรุ้งงามตานัก จากนั้นด้านในจางซูฉีก็คลอดเด็กกออกมา อุแว้ๆๆๆๆ ไม่นานก็มีเสียงทารกดังออกมา"ท่านอ๋อง ไท่จื่อเป็นซื่อจื่อน้อยเพคะ หน้าตาละม้ายท่านอ๋องยิ่งนักเพียงแต่ว่า" แม่นมพูดค้างไว้จนทุกคนมองหน้ากัน หนานกงเยี่ยร้อนใจจึงเอ่ยถาม"แต่ว่าอะไรแม่นมเฟิ่ง ท่านพูดออกมาให้หมด""แต่ว่าเส้นผมของซื่อจื่อน้อยไม่ได้ดกดำเพคะ แต่เป็นสีเงินยวงราวกับหิมะเลยเพคะ เสียงร้องดังมากแปลว่าแข็งแรงดี""ทันทีที่แม่นมเอ่ยจบหนานกงเยี่ยก็รู้ทันทีว่าหน้าที่ของพวกเขาในแดนมนุษย์นั้นสมบูรณ์แล้ว รอเวลาจิตวิญญาณเขาและนางกลับแดนเซียนเท่านั้นหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูจางซูฉีกับบุตรชายได้ หนานกงเยี่ยเห็นหน้าบุตรชายก็ถอนหายใจ เขาต้องเป็นบิดาของคนที่เอาแต่ใจที่สุดในแดนสวรรค์จริงๆหรือ จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากน้อยๆเบาก่อนจะกระซิบ"ฝ่าบาท อย่างไรก็เป็นบุตรกระหม่อม ดื้อรั้นให้น้อยลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันมีสิทธิ์ตีก้นพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"ก่อนที่ทารกน้อยจะลืมตาทันทีจ้องหน้าคนที่เพิ่งข่มขู่เ
หนานกงเช่อไปแล้วบรรดาสาวนั่งจับกลุ่มคุยกันไม่หยุด แต่ละคนอุ้ยอ้ายจนดูน่ารักไปหมด เฉินลี่จูที่ถูกเยี่ยผิงอันอุ้มลงจากรถม้าเดินมาส่งที่ด้านในตำหนักก็อายหน้าแดง"ท่านอาปล่อยข้าลงเดินเองก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้ไกลสักนิด""เมียจ๋า ดูพื้นสิขรุขระขนาดนี้ หากไม่ระวังอาจหกล้มได้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอ๋องทรงคิดเช่นไรถึงได้ปูหินให้มีร่องห่างกัน พื้นไม่เสมอพระชายาก็กำลังตั้งครรภ์ไม่รู้จักระวังเลย"จางซูฉีขำกับความห่วงเมียคลั่งรักเมียของเยี่ยผิงอันหากบอกว่าท่านอาลู่จงได้เมียเด็กก็ไม่ถูกนัก อาลู่อายุสี่สิบ จูชุ่ยชุ่ยอายุย่างสิบแปด แต่เยี่ยผิงอันสี่สิบห้าย่างสี่สิบหก ส่วนเฉินลี่จูอายุสิบหก นางเด็กที่สุดในบรรดาเมียๆของเหล่าบุรุษแห่งวังหลวงเลยล่ะ"ใต้เท้าเยี่ย หากพื้นปูติดๆกันไม่มีร่อง ยามหิมะตก หรือฝนตกพื้นจะลื่น ร่องช่วยให้เวลาเดินไม่ลื่นน่ะ ลี่จูมานั่งกับพี่ก่อน เสี่ยวหรันกับชิงชิงน่าจะกำลังมา""เพคะพระชายา อ้อพี่ผู่เย่วท่านตั้งครรภ์อีกแล้วหรือเจ้าคะ ใต้เท้าสวีจะขยันเกินไปหรือไม่ คนโตยังไม่ได้ขวบเลย คิกๆๆ"ในบรรดาเด็กรุ่นน้องสามสาวแห่งสกุลจิน สกุลเฉินและสกุลว่านนี่คือแสบที่สุด ต่อยตีกับบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน"พ
เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล โคมไฟเรียงรายห้อยเต็มหน้าร้านหน้าบ้านที่ปลูกติดกันยามลมพัดแกว่งไกวไปมาบรรยากาศในเมืองหลวงมีแต่ความสุข ฮ่องเต้กำเนิดพระธิดาสองพระองค์ อีกทั้งตอนนี้ฮองเฮาก็กำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนแล้วตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ตระกูลหลักหลายตระกูล ตระกูลหลี่ ตระกูลว่าน ตระกูลสวี ตระกูลจิน และตำหนักอ๋องทั้งสอง รวมถึงตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ต่างจัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระชายาไท่จื่อ พระชายาเยี่ยอ๋อง และชินอ๋องรวมถึงบรรดาฮูหยินของใต้เท้าทั้งหลายนั้นตั้งครรภ์พร้อมกันตำหนักบูรพารัชทายาทหนานกงอินกำลังรักเมียสาวอยู่อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เสียวครางแสนหวานของเจียงฟางซินทำให้เขายิ่งรักนางยิ่งขึ้น"ไท่จื่อ เมียไม่ไหวแล้วเพคะพอเถอะ อื้อ ลูกดิ้นอีกแล้วพระองค์ก็ไม่ยอมเลิกสักที ลูกในท้องงอแงแล้วนะเพคะ อร๊าย หนานกงอินเสียวนะ อย่างัดแบบนี้สิคนบ้าข้าตั้งครรภ์อยู่นะ""บอกมาก่อนว่ารักพี่เด็กดีพูดเร็ว ตั้งแต่เข้าหอมาจนถึงวันนี้ยังไม่บอกว่ารักพี่เลย พูดมาคนดี อืม เสียวจริงๆเมียจ๋า อยากให้ผัวเลิกต้องบอกรักผัวก่อน อ่าา""อื้อ รักเพคะ หม่อมฉันเจียงฟางซินรักหนานกงอิน อร๊าย หม่อมฉันเสร็จอีกแล้ว
ขบวนเดินทางมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แวะพักบางจุดเนื่องจากทำผักดองแบะเนื้อรมควันไว้มากมาย อาหารการกินจึงไม่ลำบากมมากนักจางซูฉีไม่ต้องการให้หนานกงเยี่ยไปล่าสัตว์บนเขา ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้คืนนี้พวกเขาแวะพักตรงริมน้ำใกล้เชิงเขา แต่จางซูฉีสั่งเดินทางต่อ หนานกงเช่อจึงไม่เข้าใจเหตุผลของนาง"ฉีเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจที่เจ้าให้พวกเราเดินทางต่อ นี่ยามเซินแล้วกว่าจะสร้างกระโจมอีก ตรงนี้มีลำธารด้วยสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรือ""เสด็จพ่อ หากเป็นแม่น้ำลำธารที่ไม่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกคงไม่ขัดหรอกเพคะ แต่ว่าลำธารนี้ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ มีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด แปลว่านี่เป็นแหล่งน้ำของพวกมัน อีกทั้งยังมีคราบเลือดเป็นจุดๆทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แปลว่ามีสัตว์นักล่าด้วย ในขบวนมีคนท้องถึงเจ็ดคน แม้ว่าเหล่าบุรุษจะมีวรยุทธ แล้วนางกำนัลเหล่านั้นเล่าเพคะพวกนางอ่อนแอ เราเสียเวบาเดินทางอีกหน่อยก็ไม่ต้องเสี่ยง ลูกแค่ห่วงความปลอดภัยของทุกคน"เมื่อจางซูฉีชี้แจงเหตุผลจบ ทุกคนก็ยิ่งรีบเดินให้พ้นลำธารไวขึ้น ไม่นานก็เลยเชิวเขามาห้าลี้และเจอเข้ากับแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เรือเล็กสามารถสัญจรได้ จึงพากันหยุดพักที่ตรงนั้น"ฉีเอ๋อร์เหนื
ผ่านไปเดือนกว่ารถม้าที่สั่งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนี้กำลังฝึกม้าที่จะนำมาใช้กับรถม้าอยู่ ใช้เวลาฝึกนานประมาณเกือบเดือน เพราะบรรดาคนที่นั่งในรถม้าคือเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จินเสี่ยวหรันที่ตอนนี้ไม่ต้องดูแลสวีไค่ไหยุนแล้ว เพราะเขาเริ่มไม่มีอาการแพ้ท้องแบบที่อาเจียนไม่หยุดแล้ว เหลือเพียงแค่ความอยากอาหารเท่านั้นส่วนว่านชิงชิงทุกวันนี้นางกลุ้มใจมาก ว่านอันสุ่ยไม่ยอมห่างนางเลยไม่ยอมให้เดิน ไปไหนก็อุ้มตลอดเวลา บางครั้งเขาก็งอแงเป็นเด็กน้อยห่างนางไม่ถึงชั่วยามก็ตามหาอีกแล้ว จนถูกฮ่องเต้เรียกไปต่อว่าหลายครั้งเพราะเสียงานเสียการ"ใต้เท้าว่าน เราว่าท่านรักเมียเกินไปหรือไม่ งานการมีไม่สนใจทำงานอยู่ดีๆหาเมียไม่เจอก็ทิ้งงาน เจ้ามันตาแก่หลงเมียเด็กจริงๆ""ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"ว่านอันสุ่ยเสียงอ่อย แต่ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องเขาหลงเมียจริงๆแต่แค่ไม่อยากยอมรับ"ใต้เท้าว่าน ข้าเองก็รักเมียไม่แพ้ท่าน แต่งานส่วนงานท่านต้องแยกแยะสักหน่อยนะ"หนานกงอินเยาะว่านอันสุ่ย เขาเถียงไม่ได้เพราะหนานกงอินเป็นถึงรัชทายาท ได้แต่บ่นอุบอิบๆเท่านั้น"ไท่จื่อ ทรงหลงพระ