แชร์

บทที่ 11 ออกลาย

ผู้เขียน: 23.19น.
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-21 01:15:06

สภาพการจราจรที่ไม่คล่องตัวนักทำให้นทีกำพวงมาลัยรถแน่นขึ้นจนข้อนิ้วขาวซีด สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่สายตาคอยชำเลืองมองคนข้าง ๆ ตลอด อัจฉรายังคงนอนซมไม่ได้สติ เธอเป็นลมไปนานเกินไปจนน่าเป็นห่วง นทีถอนหายใจออกอย่างหนัก เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปอังหน้าผากของเธออีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันยังไม่คลายร้อนลงเลย

เขาสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมออกตามไรผมของเธอ ปลายนิ้วเรียวก็เกลี่ยเส้นผมบางส่วนที่ลงมาปกคลุมใบหน้าของเธอออกไปเบา ๆ แล้วชักมือกลับมาประคองพวงมาลัยรถเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะเหยียบคันเร่งออกไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูงทันที

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีโครงสร้างของโรงพยาบาลใหญ่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะหาได้ก็ปรากฏให้เห็น ทว่าในจังหวะที่เขาตีไฟเลี้ยว ร่างของคนที่เอาแต่นอนซมเมื่อครู่ก็ขยับเล็กน้อยคล้ายจะรู้สึกตัว และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เปลือกตาของอัจฉราเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะและปวดไปทั้งตัว

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ...”

เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเปลือกตาที่กระพือเปิดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและราบเรียบ แต่ก็ไม่ได้ไร้อารมณ์ไปเสียทีเดียว สายตาคู่คมชำเลืองมองเธออีกครั้งเพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะขับรถยนต์ให้เข้าไปในโรงพยาบาล ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูทางเข้า

เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกและเปิดประตูลงไปทันที โดยที่ไม่สนว่าอัจฉราจะยังตกอยู่ในอาการมึนงงจนยังไม่ทันจะตอบคำถามของเขาก็ตาม คนช่วงขายาวก้าวสามขุมอ้อมมาหยุดอยู่ข้างประตูฝั่งผู้โดยสาร ขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาเปิดประตูออก ข้างหนึ่งก็ชูขึ้นส่งสัญญาณขอวีลแชร์จากเจ้าหน้าที่เวรเปลไปด้วย

“คุณนที...”

ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้ดูอิดโรยและฉ่ำน้ำเนื่องจากพิษไข้ฉายแววไหววูบ เธอสบตากับคนตัวโตที่เปิดประตูรออยู่ กลืนน้ำลายเบา ๆ อย่างฝืดคอ ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนระคนไม่สบายใจที่เริ่มเกิดขึ้น

ทว่าก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างบางก็ถูกมือใหญ่ดึงรั้งออกมาจากรถยนต์อย่างไม่ค่อยเบามือเท่าไหร่นัก จนเจ้าของร่างตาโตด้วยความตกใจ นทีไม่สนใจปฏิกิริยานั้นของอัจฉรา เขาเพียงแค่ดันเธอให้นั่งลงวีลแชร์ที่จอดรออยู่ แล้วปิดประตูรถลงเสียงดังปัง ดวงตาคู่คมตวัดมามองหญิงสาวที่ยังคงทำหน้าตาตื่นด้วยสายตาเรียบ ๆ

“ตัวร้อนจนแทบจะไหม้อยู่แล้ว ไม่รู้ตัวเองเลยหรือไง ถึงได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมไปแบบนั้น”

นทีพูดจบเขาก็เข้าไปกระชับเสื้อสูทที่อยู่บนร่างของอัจฉราให้เข้าที่ ก่อนจะถอยออกมาและพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เวรเปล โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย

“พาเข้าไปก่อนเลยครับ...”

พูดจบเขาก็เดินอ้อมรถยนต์กลับเข้าไปนั่งฝั่งคนขับอีกครั้ง ปล่อยให้อัจฉราตกอยู่ในความสับสน และขับออกไปทันที

รถยนต์คันหรูสีดำเงาวับเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอด ยังไม่ทันพ้นสายตาดีด้วยซ้ำ อัจฉราก็ถูกเข็นเข้าไปในโรงพยาบาลเสียก่อน ความสับสนเมื่อครู่ค่อย ๆ บรรเทาลง แต่ความรู้สึกเจ็บป่วยยังคงอยู่ หญิงสาวกระชับแจ็กเกตสูทสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย เมื่อสัมผัสกับความเย็นภายในตัวอาคาร

ความหรูหราทำให้เธออดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลันหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความหนักใจที่เข้ามาแทนที่ โรงพยาบาลแห่งนี้คือโรงพยาบาลเอกชน อัจฉรารู้ได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นความใหญ่โต บริการของเจ้าหน้าที่ อัจฉรากลืนน้ำลาย ลำคอรู้สึกแห้งผากขึ้นมากะทันหัน เธอไม่เคยกลัวความสบาย... จนกระทั่งตอนนี้

“เอ่อ... พี่คะ... ไม่ต้องใช้เข็นแล้วก็ได้ค่ะ”

อัจฉราเอ่ยออกมา น้ำเสียงคลุมเครือเล็กน้อยด้วยความไม่สบาย ความกะทันหันทำให้เจ้าหน้าที่เวรเปลหยุดลง พอดีกับที่เข็นมาถึงพื้นที่รับรองพอดี เขามองหญิงสาวด้วยสายตาที่ไม่เล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ และเดินจากไปทันที

อัจฉรามองภาพนั้นเงียบ ๆ กลีบปากอิ่มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่หล่อนจะฝืนพยุงตัวเองให้ลุกออกจากสิ่งอำนวยความสะดวกนี้ ทว่ายังไม่ทันจะลุกไปไหนได้พ้น เธอก็สัมผัสได้ถึงแรงกดบนไหล่ข้างหนึ่ง แรงที่เพียงพอจะทำให้คนที่ยังเป็นไข้สูงสามารถนั่งลงได้ง่าย ๆ อย่างจำนน เมื่อแหงนหน้ามอง นัยน์สียางไม้ก็ถึงกับวูบไหว

“อย่าฝืน... นั่งเฉย ๆ ไม่ตายหรอก”

นทีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่คำพูดของเขาทำให้เธอจุกได้ไม่ยาก เขาไม่สนท่าทางที่ชะงักงันไปของอัจฉรา หรือสายตาที่มองมาด้วยความตกใจและหวาดหวั่นคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย รอจนเธอหลบตาไปเอง เขาถึงเข็นวีลแชร์ที่เธอนั่งอยู่ไปด้วยตัวเอง

เขารู้ว่าอัจฉราคงจะตกใจกับคำพูดของเขา แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องห่วงไม่ใช่ความรู้สึกของเธอ แต่เป็นสุขภาพที่เหมือนกับคนใกล้ตายของเธอนั่นต่างหาก นทีเข็นเธอไปยังเคาน์เตอร์รับบริการคัดกรองผู้ป่วยที่มีพยาบาลประจำการอยู่แล้ว เมื่ออีกฝ่ายเห็นอัจฉราก็ออกมารับช่วงต่อทันที

นทีถอยหลังไปสองถึงสามก้าวให้พยาบาลได้ทำงานสะดวกแต่ยังคงคอยประกบไม่ห่าง เขาปลดกระดุมข้อมือของแขนเสื้อออกสองข้าง ก่อนจะร่นขึ้นไปจนถึงข้อศอกเผยให้เห็นท่อนแขนแกร่ง แล้วยกแขนกอดอกเฝ้ามองอัจฉราที่ตอบคำถามกับพยาบาลสาวคนหนึ่งเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปขัดหรือแทรก แต่คิ้วเริ่มขมวดมุ่นเรื่อย ๆ หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากปากคนป่วย

“BP ต่ำกว่าปกติ ไข้ก็สูงมาก... น่าเป็นห่วงนะคะ ดีที่ไม่ชักไปเสียก่อน”

ประโยคแรกพยาบาลสาวพูดกับอัจฉรา สายตาอ่านค่าบนปรอทวัดไข้ ประโยคสุดท้ายเธอหันไปบอกกับนที ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นสายตาที่ปกติราบเรียบอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งนิ่งจนน่ากลัวกว่าเดิม คิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายออกอย่างไร้ร่องรอย

“ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ?”

“เปล่าครับ... ผมเป็นเจ้านายเธอ”

คำพูดที่ตอบกลับ การเว้นช่วงเล็กน้อยของนที ทำให้อัจฉรารู้สึกจุกในอกได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่น่าคาดหวังอะไรตั้งแต่แรกก็ตาม เธอเผลอหันไปมองเขา ก่อนจะพบเข้ากับสายตาคู่คมกริบที่มองอยู่แล้ว แรงกดดันที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้ทำให้ความรู้สึกแรกของอัจฉราเปลี่ยนไปทันที หล่อนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ รีบหลบสายตานั้นและก้มหน้างุดทันที

“เจ้านายเหรอคะ... เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพาคนไข้พบแพทย์ได้เลยนะคะ”

พยาบาลสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพที่ไม่ได้กำหนดให้มาสงสัยอะไร ยิ้มให้และผายมือไปทางห้องตรวจอย่างสุภาพ

นทีพยักหน้า รอยยิ้มแตะริมฝีปากหยักได้รูปบาง ๆ เขาเดินเข้ามายืนข้างหลังของอัจฉรา ดวงตาคู่คมกดต่ำมองเธอที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน ก่อนจะเข็นวีลแชร์พาเธอตรงไปยังห้องตรวจทันทีโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าจงใจใช้ความเงียบให้ก่อเกิดความอึดอัดระหว่างเขาและเธอเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องมีใครที่ทนไม่ไหวไปเอง... ซึ่งคนนั้นต้องไม่ใช่เขา

“คุณนที...”

อัจฉรานั่นเองที่ทนต่อความเงียบไม่ไหว เธอปริปากพูดออกมาในที่สุด สายตาที่เคยก้มต่ำช้อนขึ้น ขณะที่แหงนมองเขาเล็กน้อย กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะคลายพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้นทีหยุดเดินทันที

“ไม่หาหมอได้ไหมคะ...”

คิ้วหนาเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สายตาของเขากดลงมองคนดวงตาคู่สวยที่กระตุกไหวของอัจฉราในยามที่เธอเอ่ยปากขอ นทีไม่ได้ตอบในทันที แต่เขาจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสียางไม้คู่นั้น ราวกับว่าจะค้นหาทุกความคิดของเธอให้หมด เขาตรึงสายตาเอาไว้แบบนั้นไม่ให้เธอหันหนีไปได้ ก่อนจะถามกลับไปในที่สุด

“ทำไม... มีปัญหาอะไรกับการหาหมอหรือไง”

“เปล่าค่ะ...” อัจฉราตอบกลับไปเสียงแผ่ว ก้มหน้าลงอีกครั้งไม่กล้าสบตา รู้สึกอายที่จะต้องพูดความจริง

“มันน่าจะแพง... เนยไม่มีประกันเลยด้วย”

“แพง? ไม่มีประกัน?”

นทีทวนคำตอบของอัจฉราออกมา มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอหลบตาไปอีกแล้ว แต่แววตากลับมีประกายความสงสัยบางอย่าง... คราวนี้เขาอยากรู้ว่ามันเกี่ยวกันไหม กับข้ออ้างเดียวกันที่ทำให้เธออ้างว่ารถเมล์หมด ไปเดินตากฝนดึก ๆ จนกลายเป็นไข้แบบนี้หรือเปล่า

“แล้วไม่มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง... หรืองานที่ทำอยู่เงินเดือนมันน้อยไป?”

นทีจงใจเน้นคำว่า ‘งาน’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เขารอคอยปฏิกิริยาของอัจฉราอยู่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างในตอนที่เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง แต่นทีไม่คิดที่จะปิดบังรอยยิ้มที่ยังค้างคาอยู่บนใบหน้าของเขาในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่นะคะ! เงินเดือนไม่น้อยเลยค่ะ” อัจฉรารีบแก้ต่างให้กับข้อกล่าวหาที่ไม่คาดคิด รีบยกไม้ยกมือปฏิเสธจนทำให้แจ็กเกตสูทที่คลุมอยู่บนบ่าหลุดออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ดวงตาของนทีหรี่ลงทันที รอยยิ้มมุมปากหายวับไปอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาตวัดมองไปยังคนอื่น ๆ โดยสัญชาตญาณ ก่อนจะรีบยื่นมือไปคว้าเสื้อตัวนั้นที่ตอนนี้กองอยู่กับพื้นมาโยนใส่คนร่างบางทันที แววตาของเขาตอนนี้ไม่มีประกายแบบเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับแฝงไปด้วยแววกดดันที่ทำให้รู้สึกขนลุก

“คลุมเอาไว้ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นมันมอง...”

ดวงตาคู่คมมองอย่างกดดัน แต่อัจฉรากลับนิ่งด้วยความลังเลไม่ได้ตั้งใจ จนเขาพลั้งปากพูดประโยคที่แม้แต่ตัวเองยังไม่คาดคิดออกไปใส่เธอ

“หรืออยากจะโชว์ก็ไม่ว่ากัน... ถ้าไม่ห่วงว่าตัวเองจะหนาวตายก็เรื่องของเธอ”

อัจฉราอ้าปากค้างกับคำพูดอันแสนร้ายกาจ ซึ่งเป็นคำพูดแบบที่เธอไม่เคยเห็นเขาเคยพูดกับใครมาก่อน น้ำเสียงที่นิ่งขรึม แต่แฝงไปด้วยความดุดันนั้นทำให้อัจฉราใจฝ่อ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดกับเธอแบบนี้ ตอนแรกก็พยายามที่จะไม่เก็บมาคิด แต่พอมันเริ่มบ่อยเข้าเธอก็ไม่คิดไม่ได้อีก

กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น หล่อนหลุบตาลงอีกครั้ง ก่อนจะทำตามคำสั่งด้วยการหยิบเสื้อตัวเดียวกันที่ตอนนี้กองอยู่บนตักขึ้นมาคลุมเอาไว้แต่ไม่กล้าสวม

นทีมองภาพนั้นเงียบ ๆ แต่ลึก ๆ เขากลับรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูกที่เลือกที่จะทำตามคำสั่งของเขาซื่อ ๆ แทนที่จะคิดเอาเองว่าควรจะสวมมันจะได้ไม่หลุดเมื่อเผลอขยับตัว

“ฉลาดน้อยแบบนี้ถึงไปไหนไม่พ้นสักทีไง...”

นทีพึมพำออกมากับตัวเอง อย่างไม่สบอารมณ์ เขาใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเบา ๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เข็นวีลแชร์ที่เธอนั่งอยู่ด้วยความรวดเร็ว ไม่รอคอยพาเข้าไปในห้องตรวจที่เปิดประตูอ้ารออยู่แล้ว โดยไม่รอฟังเหตุผล ข้ออ้างใด ๆ ของอัจฉราอีกต่อไปแล้ว ไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดสุดท้ายให้ไปกระตุกใจคนป่วยอย่างร้ายกาจ

“ไม่มีเงินก็พูดมาตรง ๆ ไม่ต้องมาอ้าง... เดี๋ยวจ่ายให้เอง... คราวหน้าจะได้ไม่ต้องมาเป็นลมให้ฉันหามเล่นอีก”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 20 พังที่กายไม่ใช่หัวใจ [2/2]

    คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 20 พังที่กายไม่ใช่หัวใจ [1/2]

    อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 19 รอเห็นเธอพัง [2/2]

    แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 19 รอเห็นเธอพัง [1/2]

    “คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 18 จูบสั่งสอน [2/2]

    เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 18 จูบสั่งสอน [1/2]

    “คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status