ตอนที่ 4
Rrrr Rrrr แรงสั่นแจ้งเตือนหมดเวลาสามชั่วโมงของนาฬิกาปลุกที่เธอตั้งไว้เรียกสติปริมให้หลุดจากภวังค์ยามเขียนนิยามและกลับมายังโลกความจริง เป็นเรื่องปกติของเธอที่ต้องทำแบบนี้เพราะเคยเขียนจนภวังค์หลุดไปในงานจนลืมทานข้าวและพักผ่อน เธอเคยมาราธอนเขียนนานกว่า 6 ชั่วโมงโดยไม่พักทานน้ำและทานข้าววนเวียนจนจบปิดเล่ม สุดท้ายก็ไปจบที่ต้องนอนโรงพยาบาลทั้งเดือน และทั้งเดือนนั้นเธอเลยได้นอนโรงพยาบาล งานไม่ได้ทำ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดเวลาเพราะร่างกายอ่อนแอมากจนเกือบไม่รอด เพื่อนของเธอที่เป็นหมอเลยแนะนำว่าให้เธอตั้งเวลาปลุกเอาไว้ที่ 2-3 ชั่วโมงเพื่อเตือนให้ตัวเองพักและออกจากภวังค์บ้าง เพื่อให้สมองของเธอได้พักผ่อนและปล่อยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง หากกลัวพักเพลินให้ตั้งนาฬิกาเอาไว้ที่ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วแต่ตัวเธอแต่ไม่ควรพักต่ำกว่า 20 นาที เป็นเหตุให้เธอต้องตั้งนาฬิกาเอาไว้ตลอดเวลาและพักตามนั้นเป๊ะ ๆ เพื่อกันไม่ให้ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ อีก “เฮ้อออ อย่างน้อยก็ได้ 2 ตอนตามเป้าก็ยังดี สปีดยังไม่ตกล่ะนะ” ร่างเพรียวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาเบดจนเกิดเสียงดับตุ้บขึ้นในห้องเบา ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองตุ๊กตาสุนัขสีดำที่เธอจำไม่ได้แล้วว่าเคยได้รับมาจากที่ไหน ตุ๊กตาสุนัขดัลเมเชี่ยนเหรอ...คุ้น ๆ จังเลยนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าได้มาจากไหน... “ใครเป็นคนให้เรามากันนะ...อ่า ช่างมันเถอะ” ร่างเพรียวบางกลิ้งตัวไปตามความยาวของโซฟาเบดสักพักก่อนจะหลับรอหลานในความดูแลที่ทำความสะอาดอยู่ข้างนอก ปริมเปิดประตูออกจากห้องก็ต้องตกใจกับกลิ่นหอมและบรรยากาศที่ไร้ฝุ่นของห้องนั่งเล่น กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในอากาศผสานไปกับกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นโปรดที่เธอชอบลอยฟุ้งในอากาศ ความสะอาดในระดับที่มากกว่าเธอยามทำความสะอาดห้องเองทำให้ความอ่อนล้าที่สะสมมาหายไปเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาววสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพ่นมันออกมาช้า ๆ เหมือนที่ชอบทำยามไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาหรือริมทะเล “ชอบไหมครับ” “อ๊ะ อื้อ ชอบมากเลย ขอบคุณนะ คนเก่ง เหนื่อยไหม น้าขอโทษนะที่งานยุ่งจนเราต้องมาทำความสะอาดแบบนี้” “ไม่ครับ สนุกดี จริง ๆ ผมชอบนะ แล้ว..จริง ๆ ห้องน้าก็ไม่ได้รกมาก แค่มีเศษขนมกับขวดน้ำเยอะไปหน่อย” “อ่า ก็ต้องแบบนั้นแหละ” “น้าปริมชอบทานขนมกับพวกน้ำอัดลมเหรอครับ” นภัทรเอ่ยถามด้วยสีหน้าดุดันจนปริมนึกหวาดหวั่นแต่ก็เลือกที่จะตอบไปตามตรง ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรแต่เธอไม่นึกอยากโกหกหลานชายคนนี้ของเธอเลยแม้แต่น้อย “อืม ก็...มันทำให้สมองแล่นดี นี่เสร็จแล้วใช่ไหม งั้นไปทานข้าวกัน” “ครับ” ใบหน้าดุดันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างราวกับสุนัขที่เจ้าของยอมพาออกไปเดินเล่นทันทีที่เธอเอ่ยชวนไปทานข้าว “งั้น...น้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บหนึ่ง” หญิงสาวเอ่ยไปตามตรงก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องทำงานเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอวีธรรมดาและออกมาช่วยนภัทรถือถุงขยะในห้องของเธอออกไปทิ้ง คุณน้าคนสวยและหลานชายผู้หล่อเหลาช่วยกันหิ้วทุกขยะไปที่ลิฟต์เพื่อนำลงไปทิ้งที่ถังขยะชั้นใต้ดินของคอนโด ถุงขยะสีใสกว่าห้าถุงถูกโยนลงถังขยะของเทศบาลที่ทางโครงการคอนโดติดต่อเอามาวางไว้จนหมด ปริมมองสำรวจถุงขยะอีกครั้งเพื่อเช็กว่าไม่มีถุงไหนที่เธอทิ้งผิดประเภทก่อนจะดึงฝาถังปิดแล้วเดินออกมา “ฮู่วว เรียบร้อยละ” “แล้วเราจะไปที่ไหนกันดีครับ” “อ่า...ไม่รู้เลย เราอยากทานอะไรล่ะ” “สเต๊กจะหนักไปไหมครับ” “ไม่หรอก น้าก็อยากทานเหมือนกัน มีร้านไหนที่อยากไปทานเป็นพิเศษไหม” ปริมเอ่ยถามขึ้นพร้อมเปิดอินเทอร์เน็ตดูว่าจากแถวคอนโดมีร้านไหนอร่อยบ้าง “ไม่มีครับ คุณน้าเลือกได้เลย ผมเชื่อใจ” น้ำเสียงทุ้มพร้อมรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ทำเอาก้อนเนื้อในอกของปริมกระตุกจนแทบจะหลุดจากอก เธอไม่เคยคิดเลยว่าแค่รอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนี้จะทำให้หัวใจของเธอที่ด้านชาเรื่องความรักไปนานจะกระตุกได้ มือเรียวยกขึ้นทาบอกพลางลูบเบา ๆ ให้เข้าหัวใจไม่รักดีสงบลง “งั้น...ไปร้านประจำน้าก็แล้วกัน อยู่แถวนี้พอดีด้วย” “ครับ” เมื่อได้รับการตอบรับจากคนในความดูแลปริมก็เดินนำไปยังรถของเธอที่จอดไว้ทันทีอย่างไม่รีรอ ด้วยกลัวว่าถ้าไปช้ากว่านี้คนจะเยอะจนไม่ได้ทานเมนูพิเศษประจำวัน “โอเค ลืมอะไรที่ห้องไหม” “ไม่มีครับ” “โอเคงั้นไปกัน เดี๋ยวร้านปิดไปแล้วเราจะอดกินเมนูพิเศษของวันนี้” “เมนูพิเศษเหรอครับ” “อืม เมนูพิเศษ แต่น้าไม่รู้หรอกนะว่าวันนี้จะเป็นเมนูอะไรเพราะมันไม่เหมือนกันสักวัน เป็นเมนูที่ให้ลูกค้าทานฟรี โดยมีข้อแม้ว่าต้องเขียนรีวิวรสชาติให้ทางร้านด้วย ถ้าจานไหนลูกค้าสนใจเยอะโอนเนอร์ของร้านก็จะเอามาขาย แต่ถ้าจานไหนไม่อร่อย ลูกค้าบอกแหวะ ก็ไม่เอามาขาย เป็นการเพิ่มเมนูให้ร้านโดยวัดจากลูกค้า เป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ ฮึๆ” นักเขียนสาวเจ้าของนามปากกาชื่อดังพูดเล่าถึงร้านสเต๊กร้านโปรดของเธอไม่คาดปาก ด้วยรสชาติและเซอร์วิสที่ดีจนคุ้มค่าเซอร์วิสชาร์ตที่เสียไป พลางเดินนำชายหนุ่มไปยังทีจอดรถ “อ๊ะ ตอนกลับมาเราอย่าลืมเตือนน้าให้เพิ่มลายนิ้วเราที่ประตูห้องไว้ด้วยนะ” ปริมเอ่ยขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในลานจอดรถเพื่อไปที่รถของเธอที่อยู่อีกตึกหนึ่ง เรียวขาขาวก้าวเดินช้า ๆ พร้อมใบหน้างดงามที่หมุนกลับมามองข้างหลังเป็นระยะ “อ่าได้ครับ แต่ทำไมน้าไม่ใช้คีย์การ์ดล่ะ?” “ไม่เอาหรอก ถ้าเกิดทำหายแล้วคนเก็บได้เป็นพวกโรคจิตขึ้นมาจะแย่เอา ใช้สแกนนิ้วไปนั่นแหละดีแล้ว” “แสดงว่าที่ห้องไม่มีคีย์การ์ดแต่แรกเหรอครับ” “มีนะ แต่น้าขอทำเรื่องยกเลิกแล้วเปลี่ยนเป็นสแกนนิ้วแทน มันปลอดภัยกว่า คนที่มีนิ้วก็มีแค่ บ.ก. ของน้า พวกนิติ ยาม หรือใคร ๆ ก็ไม่มี ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนยามหรือคนที่มีกุญแจขึ้นมาข่มขืนเหมือนในข่าว” เจ้าของร่างเพรียวเอ่ยถึงเรื่องในข่าวเมื่อหลายเดือนก่อนไปพลางระหว่างเดินนำลูกชายของเพื่อนสนิทไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากตึกเท่าไรนัก คอนโดของปริมมีสองตึก ตึกแรกเป็นห้องขนาด 30 - 70 ตรม. ส่วนตึกที่สองคือตึกที่มีขนาดห้องตั้งแต่ 100 ตรม.ขึ้นไป โดยที่ทั้งสองตึกต่างมีอาคารจอดรถเป็นของตัวเอง และลูกบ้านสามารถเดินจากทางเชื่อมไปยังอาคารจอดรถได้เลย “สะดวกสบายดีเหมือนกันนะครับ” “อืม น้าเลือกคอนโดนี้เพราะอาคารจอดรถนี่ล่ะ อะ ถึงชั้นเราแล้ว” ตัวเลขดิจิทัลบอกว่าถึงชั้นสิบสร้างความงุนงงให้กับนภัทรก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าใจการวางผังจอดรถของคอนโดมิเนียมหรูแห่งนี้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเลขซองจอดรถเป็นเลขเดียวกับห้องพักของและป้ายทะเบียนรถ กันคนเนียนจอดสินะ “แปลกใจเหรอ” “ครับ นิดหน่อยแต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว” “เก่งสมกับเป็นลูกยัยแพรเลยนะ” คุยกันได้ไม่นานทั้งสองก็มาหยุดที่หน้ารถซีดานแบรนด์ยุโรปชื่อดัง รุ่นคลาสสิกที่เป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ วัยทำงานเพราะห้องโดยสารกว้างขวางและสมรรถนะคล่องตัว “รถสวยมากเลยครับ” “ปากหวานนะเรา แต่ก็ขอบคุณจ้ะ ปะขึ้นรถกันเดี๋ยวไปไม่ทันร้านปิด” หญิงสาวเอ่ยชมชายหนุ่มยิ้ม ๆ ก่อนจะกดเปิดรถซีดานคันหรูก่อนจะจัดแจงพาตัวเองเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร ประตูรถสีดำเงางามถูกปิดพร้อมรถซีดานคันงามที่พุ่งตัวออกจากคอนโดมิเนียมหรูตรงไปยังร้านสเต๊กชื่อดังทันที ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีรถปริมและนภัทรก็เดินทางมาถึงร้าน ร่างเพรียวดับเครื่องยนต์และลงจากรถพร้อมกับร่างสูงโปร่งของนภัทรก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้าร้านอย่างรวดเร็วเพราะอีกแม้เวลาปิดร้านจะเป็นในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าก็ตาม “หิวเหรอครับ?” “อ่า ตอนแรกก็นิดหน่อยแต่พอได้กลิ่นอาหารหอม ๆ ก็ยิ่งหิวน่ะ อ๊ะ สวัสดีค่ะ ต้องการโต๊ะสำหรับสองที่ ไม่ทราบว่าพอมีที่นั่งไหมคะ” ปริมเรียกพนักงานคนหนึ่งไว้ก่อนจะเอ่ยถาม เพราะตามปกติหากไม่ได้จองโต๊ะไว้และวอล์กอินเข้ามาเธอต้องลุ้นเอาว่าช่วงเวลานี้ร้านมีโต๊ะพอให้ขาจรแบบเธอเข้านั่งหรือไม่ “มีค่ะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ทางร้านเปิดวอล์กอินอย่างเดียว คุณลูกค้าเชิญเลือกโต๊ะได้ตามสบายเลยค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยตอบปริมและนภัทรด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะผายมือให้หญิงสาวเดินนำเพื่อเลือกโต๊ะที่ต้องการ ปริมได้ยินดังนั้นก็เดินไปเลือกโต๊ะที่อยู่ชั้นสองของร้านทันทีอย่างไม่รีรอ เพราะเธอชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่านั่งฟังเสียงพูดคุยของแขกคนอื่นในร้าน บริกรประจำชั้นที่จำได้ว่าปริมคือขาก็รีบเข้ามาบริการทันทีที่เห็นใบหน้างดงามของเธอ ชายหนุ่มที่มีจริตออกสาวเล็กน้อยรั้งรอจนนักเขียนในดวงใจนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปบริการแทนพนักงานที่เดินตามมา “สวัสดีครับคุณปริม ไม่ได้เจอนานเลยสบายดีใช่ไหมครับ” “สบายจ้ะพิง พี่งานยุ่งเลยไม่ค่อยได้มา วันนี้มีอะไรแนะนำไหมเอ่ย” “มีเป็นสเต๊กเนื้อย่างถ่านราดด้วยซอสบาบีคิวทานคู่กับมันฝรั่งอบเนยสดและพาสต้าครีมทรัฟเฟิลทานคู่กับปลาเนื้อขาวครับ ส่วน เมนูพิเศษวันนี้เป็นซุปไวต์ครีมรสอ่อนที่เชฟจะใส่ผักโขมหันชิ้นและเห็ดแชมปิญองครับ เนื้อซุปจะเป็นไวต์ครีมมีผักโขมและเห็ดหันชิ้นไม่ได้ปั่นรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ผมแอบเห็นมาแล้วน่าทานมากเลยครับ” “โอนเนอร์คิดสูตรใหม่เหรอ?” “ครับ เห็นโอนเนอร์ว่าได้ไอเดียตอนอ่านสูตรซุปครีมผักโขม แต่โอนเนอร์ไม่ชอบสีตอนทำเสร็จ ทั้งยังไม่ชอบที่มันแหลกละเอียดจนหมดสารอาหารเลยเกิดเป็นเมนูนี้ขึ้นมา ตัวซุปจะเสิร์ฟกับบักเก็ตอบกรอบที่เป็นสูตรโฮมเมดของทางร้าน คุณปริมและคุณ เอ่อ...” บริกรหนุ่มที่พึ่งบรรยายเมนูพิเศษในวันนี้เสร็จเอ่ยถามความสนใจของลูกค้าก่อนจะต้องชะงักหน้าซีดเผือดเมื่อตนให้ความสนใจหญิงสาวผู้เป็นแขกประจำมากเกินไปจนลืมถามชายหนุ่มที่มากับเธอ ร่างเพรียวโค้งลง 90 องศาพร้อมเอ่ยขอโทษแจกเมนูอีกท่านในโต๊ะที่ตัวเองดูแลอย่างจริงใจเพราะตนเผลอไผลในความงดงามของนักเขียนในดวงใจจนไม่ได้ใส่ใจแขกอีกคนที่มาด้วยไปเสียอย่างนั้น “ขออภัยจริง ๆ ครับคุณผู้ชายผมไม่ได้มีเจตนาจะเมินเฉย” “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมนภัทร ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คิ้วเรียวของปริมขมวดมุ่นด้วยความสงสัยในคำว่าเข้าใจของนภัทรที่ตอบกลับพิงบริกรหนุ่มคนประจำของเธอไปเมื่อครู่ ดวงตากลมโตวาววับด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะตัดสินใจเลือกรอจังหวะหลังสั่งออเดอร์เรียบร้อยแล้วค่อยเอ่ยถาม “ยินดีเช่นกันครับ คุณนภัทร สนใจรับซุปด้วยไหมครับ อาทิตย์นี้โอนเนอร์อารมณ์ดีมีสมนาคุณแขกทุกท่านด้วยอาหารพิเศษท่านละที่เลยครับ” “ครับ สนใจครับ เมนคอร์สผมรับเป็นเมนูแนะนำครับ” ไม่รู้ทำไมแต่ปริมยิ้มหวานกับการสั่งออเดอร์ของชายหนุ่มเพราะหากเป็นคนอื่นยามมาทานที่ร้านใหม่ที่รสชาติอาจไม่คุ้นปากจะเลือกสั่งเมนูที่เป็นเซฟโซนของตัวเอง แต่นภัทรกลับเลือกเมนูแนะนำที่อาจจะเป็นการ ‘แนะนำ’ ของตัวพนักงานเองราวกับไว้ใจ ที่ปริมไม่รู้ว่าเชื่อใจเธอหรือเชื่อใจในตัวเชฟของร้านกันแน่ “รับทราบครับ ไม่ทราบว่าคุณปริมจะรับเหมือนเดิมหรือเมนูอื่นดีครับ” “รับเป็นเมนูแนะนำเหมือนนภัทรจ้ะ ส่วนพาสต้ารับเป็นที่พิงแนะนำเลย นภัทรเอาด้วยไหม?” “ครับ รับเหมือนคุณน้าเลย” คำตอบรับพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากทำเอาปริมที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดอยากจะยกมือหยิกแก้มตัวเองเบา ๆ ให้เลิกยิ้มตาม แม้จะรู้สึกว่ามันถูกปั้นแต่งให้หวานหยดราวกับอ่านใจเธอออกว่าเธอชื่นชอบคนยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายแต่เธอก็อดยอมรับไม่ได้เลยว่าตัวเธอแพ้ให้กับรอยยิ้มของนภัทร แต่อีกใจเธอก็กลัวว่าสาเหตุที่เธอยอมและแพ้ให้กับชายหนุ่มแบบนี้จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบของคนที่ไม่มีใครมานาน มากกว่านั้น... เธอกลัวว่าที่ตัวเองหวั่นไหวกับนภัทรในตอนนี้เป็นเพราะเธอเห็นภาพซ้อน ภาพซ้อนของใครคนหนึ่งในอดีตเมื่อนานมาแล้ว...ครอบครัวรุ่งเช้าที่นภัทรต้องนอนที่โซฟาปลายเตียงของปริมทั้งคืน เมื่อคืนหลังทำงานเสร็จและเอาปกป้องเข้านอนแล้วหญิงสาวก็พยายามไล่นภัทรกลับแล้วแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมกลับ แถมสโนว์ยังดันหลังเอาชุดเก่าของตินมาให้นภัทรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกตัวนภัทรก็ไม่รีรอรีบคว้าเสื้อผ้าในมือพี่สะใภ้ของเธอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดทันที แล้วกลับมานอนเฝ้าเธอที่โซฟาปลายเตียงปริมมองคนที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนโซฟานั่งเล่นของเธอก่อนจะเอื้อมมือไปเขย่าตัว เพื่อปลุกเขาให้ตื่น“ภัทร ภัทรคะ ตื่นเถอะ กลับบ้านได้แล้ว เช้าแล้วนะ”หญิงสาวเขย่าตัวให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่น แล้วเดินเลยไปอุ้มปกป้องมาโอ๋นภัทรลุกขึ้นนั่งมองปริมกล่อมลูกชายด้วยแววตาเจ็บปวด เมื่อคืนนี้ทั้งคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะไม่สามารถหยุดตัวเองให้คิดเรื่องที่หญิงสาวพูดเมื่อวานได้“ผม...นอนไม่หลับ...”“...โซฟาปริมเล็กไปแหละ...ภัทรขึ้นไปนอนบนเตียงริมเลย แล้วก็ไม่ต้องกลัวเฮียตินนะ เฮียขึ้นไปดูไร่ที่กาญตั้งแต่เมื่อวานเย็นยังไม่ลงมา นอนไปก่อน แล้วค่อยกลับบ้านนะ”“แล้วลูก...”“ปริมดูได้ วันนี้งานเบา ๆ เอาลูกไปนั่งด้วยไม่เป็นไรหรอก”หญิงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม เธอยอมรับว่า
ปฏิเสธหลังปีย์วรากลับไปได้ไม่นาน นภัทรก็ได้สติจากพิษไข้ ร่างสูงนั่งเรียบเรียงความคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินไปเองว่าตัวเขาคงแค่ฝันไป เพราะปีย์วราตัวจริงคงไม่มีทางมาที่นี้ได้ชายหนุ่มหอนายใจกับตัวเองพลางส่ายหน้าเบา ๆ กับความฝันที่คงเป็นผลพวงมาจากความคิดถึงของเขา เนตรคมกวาดมองไปทั่วห้องเพื่อปรับโฟกัสและตั้งสมาธิจากอาการมึนเบลอ ทว่าเขาก็เหลือบเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่ในห้องของเขาได้เข้าอย่างจังยา..กับชามข้าวต้ม?อ่า ไม่หรอก...คงเป็นแม่...ไม่สิ สาวใช้ในบ้านละมั่งชายยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเองก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วเก็บกวาดเอาจานชามและยาที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงมาไว้ในมือเพื่อเอาลงไปเก็บ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว ก่อนที่นภัทรจะตระหนักได้ว่าตัวเขาสั่งห้ามไม่ให้สาวใช้ในบ้านเข้ามาในห้อง คนที่เข้ามาได้จะมีแค่แม่และพ่อของเขาสองคนเท่านั้นต่อให้ป่วยยังไงแพรไหมก็ไม่น่ายอมให้สาวใช้แหกกฎได้ แม้คนคนนั้นจะเป็นคนสนิทแค่ไหนก็ตาม...งั้นใครกันละที่ดูแลเขาเมื่อคืน...?ร่างสูงโปร่งวิ่งลงจากบันไดลงไปหาแม่บ้านคนสนิทของมารดาสอบถามเรื่องคนที่ดูแลเขาเมื่อคืนด้วยท่าทีร้อนรน“หนูเล็ก ป้าหนูเล็กครับ!”
ฝันหรือไม่ฝัน NCเพราะยืนตากฝนอยู่นานพอขึ้นรถมาเจอแอร์เย็น ๆ เป่าตัวก็เป็นไข้ขึ้นมาได้ง่าย ๆ ตามปกติแพรไหมจะดูแลเอง แต่ตอนนี้เธอมีงานต้องไปตรวจที่ต่างจังหวัดกับธนิน อีกทั้งงานนี้เธอปฏิเสธไม่ได้แพรไหมเดินไปมาด้วยความกังวล...เธอพยายามหาคนที่พอจะมาดูแลนภัทรได้ แต่นึกให้ตายอย่างไรก็นึกไม่ออก ไอ้ครั้นจะโทรหาปริมเธอก็เกรงใจเพราะลูกชายเธอทำหญิงสาวไว้หนักหนาเหลือเกิน...“แพร...”“คิดจนปวดหัวก็ไม่มีคนใกล้ ๆ เลยค่ะ เหลือแค่ปริมคนเดียวแล้วพี่ธนิน...”แพรไหมเม้มปากแน่นด้วยความไม่สบายใจ เธอห่วงลูกแต่ก็ห่วงสภาพจิตใจเพื่อนจนไม่รู้จะเลือกทางไหนดี เอาวะ ให้โชคชะตานำทางละกัน!!แพรไหมตัดสินใจเสี่ยงดวงหากโทรแล้วปีย์วรารับ เธอจะพยายามอ้อนวอนให้หญิงสาวมาดูแลนภัทรสักวันสองวัน แต่ถ้าโทรแล้วไม่รับเธอคงต้องให้เป็นคนดูแลลูกเองมือเรียวกดออกที่เบอร์ของเพื่อสนิท พลางยกหูขึ้นรอสายอย่างลุ้นระทึก ในใจภาวนาให้หญิงสาวรับสายเธอซ้ำ ๆ จนเสียงรอสายหายไปนานกว่า 5 วินาที[....]“ปริม ปริมจ๊ะ คือ...แพรรู้นะว่าแพรรบกวนปริมไว้มากแล้วแต่ ช่วยแพรอีกครั้งได้ไหม...มาดูแลนภัทรที เจ้าตัวดีของฉันไม่รู้ไปตากฝนที่ไหนมา ป่วยจ
ความจริงร่างสูงโปร่งของชายวัย 43 ปี พุ่งตัวออกมาจากรถซีดานคันงามที่ขับมา เขาตรงไปยังERอย่างรีบร้อนเมื่อมาถึงก็ถามหาเคสฉุกเฉินที่ต้องบริจาคเลือดทันทีอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ญาติคุณปิ่นฤทัยนะคะ รบกวนตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ”เปรมเดินตามนางพยาบาลสาวไปยังห้องบริจาคเลือดที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ เลือดหนึ่งลอดถูกเจาะออกไปจากแขนเขาก่อนที่พยามจะกลับมาเจาะแขนเขาและเอาไปเพิ่มอีก กว่าจะรู้สึกตัวเวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขานั้นเสียเลือดไปเท่าไร แต่สิ่งที่เขาจำได้ไม่ลืมคือตัวเองมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับปิ่นชายหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน จากการเสียเลือดจำนวนมากและความเจ็บปวดในใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ตั้งใจตามหาหญิงสาวมากกว่านี้ ความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเพียงเท่านี้มันเล็กน้อยกว่าสิ่งที่คนรักของเขาต้องเจอหลังพักฟื้นจากการให้เลือดจนดีขึ้นแล้วเปรมก็รีบเดินไปยังห้องรับรองญาติที่มีคนคนหนึ่งรอเขาอยู่บานประตูแบบเลื่อนถูกเปิดออกทำให้ชายสองคนที่มานั่งรอผู้หญิงคนเดียวกันได้พบหน้ากันเสียที“สวัสดีครับ ลุงเปรม”“สวัสดี นภัทร ไม่ได้เจอกันนาน...มีลูกแล้วเหรอ”เปร
ตอนที่ คนโง่ที่เพิ่งฉลาดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั้งโถงของแผนกสูตินารีเวช พร้อมชายหนุ่มที่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียดในห้องคลอดที่เปิดไฟสว่างถึงสองห้อง หนึ่งในสองห้องมีดวงใจของตินกำลังทรมานอยู่ในนั่น อาการกระวนกระวายของชายหนุ่มที่มีมากล้นเพราะความเป็นห่วง แตกต่างจากอีกคนที่เพิ่งโดนความจริงตีแสกหน้าจนนั่งช็อกไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนนภัทรมองประตูห้องคลอดที่เขาจำได้ว่าเห็นปริมถูกเข็นเข้าไปด้วยแววตาเหม่อลอยกับความจริง...ว่าเขาโง่งมอย่างที่ตินด่าไว้จริง ๆหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้นภัทรพาปิ่นที่กรีดร้องลั่นบ้านเพราะเจ็บท้องมาโรงพยาบาล พอมาถึงหน้าห้องคลอดก็เจอตินและหญิงสาวหน้าตาไม่คุ้นนั่งประสานมือภาวนาอยู่ด้วยกัน แค่เห็นหญิงสาวที่มาด้วยก็ว่าแปลกใจแล้ว แต่ที่หนักกว่าคือคำเรียกและบทสนทนาที่น่ากังวลใจกว่า“เฮีย น้องเข้าไปชั่วโมงหนึ่งแล้วนะ ทำไมยังไม่เสร็จอีก”“เฮียก็ไม่รู้ ตอนนี้เฮีย...เฮียกลัวไปหมดแล้ว...”ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายออกไปทางดุดันค่อย ๆ ซบหน้าลงกับไหล่เล็กอย่างหาที่พึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดใจลุกออกไปที่ไหนสักทีตามเสียงกระซิบของหญิงสาวที่เขาไม
บังเอิญเจอกว่าห้าเดือนแล้วที่นภัทรหาปริมไม่เจอ ไม่ว่าเขาจะลองไปหาที่ไหนก็ไม่เจอเลยแม้แต่เงาของหญิงสาว ครั้นเอ่ยปากถามรัตตะ คนที่ไปส่งหญิงสาววันนั้นก็ไม่มีใครบอกข้อมูลเข้าได้เลยแม้แต่คนเดียวรถซีดานคันงามขับแล่นเข้ามาจอดในโรงจอด ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของคุณชายเพียงคนเดียวของบ้านจเดนิลงมาจากรถ“คุณนภัทร มีอะไรให้ขิมช่วยถือไหมคะ”ร่างเพรียวของขิมสาวใช้ที่ดูแลนภัทรมาตลอดที่อยู่ที่บ้านออกมาต้อนรับ มือขาวรับเอากระเป๋าทำงานของชายหนุ่มไปถือไว้ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเมื่อนภัทรแจ้งแกเธอว่าไม่มีอะไรให้เธอต้องเอาเข้าไปเก็บนภัทรเดินเข้าบ้านจัดแจ้งชำระกายให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของปิ่นเพื่อคุยกับเธอเป็นปกติ“ภัทรคะ พรุ่งนี้รบกวนพาปิ่นกับลูกไปหาหมอหน่อยนะ”ยังไม่ทันได้เอ่ยทักหญิงสาวในความดูแลของเขาก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน ร่างสูงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง พลางปรายตามองอดีตแฟนสาวที่กำลังท้องด้วยสายตาเย็นชาแม้จะดูแลเธอมาได้ห้าเดือน แต่ความรักก็ไม่ได้ก่อเกิดขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว หัวใจเขายังคงเป็นของปีย์วราไม่เสื่อมคลาย หนักกว่านั้นไม่ว่ายามใดที่มองใบหน้าของปิ่นเขาก็อดโกรธที่หญิงสาวทำกับเขาแบบน