ตอนที่ 5
เสียงเปียโนและเสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่ดังขึ้นมาบนชั้นสองของร้านอาหารที่มีเมนคอร์สเป็นเนื้อสเต๊กชั้นดียังคงความเพลิดเพลินให้นักเขียนมีชื่ออย่างปีย์วราได้ไม่จบสิ้น เธอชอบบรรยากาศยามเที่ยงของร้านโปรดที่มักมีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของกันและแบบนี้ หากเป็นยามปกติเธอคงหยิบสมุดขึ้นมาจดบรรยากาศพวกนี้เก็บไปใช้ในงานของเธออย่างที่ชอบทำ แต่เพราะเวลานี้เธอมีคนอื่นอยู่ด้วย การจะจมลงในงานที่ต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และมันสมองเพื่อนรังสรรค์มันขึ้นมาเห็นทีจะไม่เหมาะ อีกอย่างคือเธอเกรงใจนภัทรที่กำลังทานอาหารไปเหลือบมองเธอไป สลับกับมองโทรศัพท์ไปพลางมาตั้งแต่อาหารจานหลักถูกยกขึ้นเสิร์ฟ ใช่ เธอรู้ตัวว่าถูกชายหนุ่มจดจ้องแต่ในเมื่อแววตาราวกับสุนัขมองเจ้าของของนภัทรไม่ได้ทำให้เธออึดอัดเช่นนั้นเธอจะปล่อยมันผ่านไปและปล่อยให้ชายหนุ่มในความดูแลเมียงมองเธอให้เปรมปรี่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามมองพนักงานและแขกในร้านทานอาหารไปพูดกันไปอย่างเพลิดเพลินและเมื่อใบหน้าของบริกรประจำโต๊ะโผล่เข้ามาในครรลองสายตาคำถามที่เธอยังไม่ได้รับคำตอบก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง คำถามเกี่ยวกับประโยคที่ว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ ของนภัทรที่เอ่ยกับพิงบริกรประจำโต๊ะของเธอในตอนรับออเดอร์ “ภัทร น้าถามอะไรหน่อยสิ” สรรพนามแทนตัวเองแสนแสลงหูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่ก้มลงอ่านงานสำคัญในมือถือเมื่อครู่ให้กลับมายังปัจจุบัน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติพร้อมรอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้ดูไม่ดุดันตามอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะดีนักในตอนนี้ “อะแฮ่ม ครับ” “ตอนที่บริกรขอโทษ แล้วเราตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ น่ะ มันหมายความว่าอะไร” นัยต์ตาที่ม่วงครามช้อนขึ้นมองดวงหน้างดงามของคนที่เขาแอบรักมาตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะทำได้ “หมายความว่า...ผมเข้าใจที่เขามองคุณน้าด้วยแววตาชื่นชมและทุ่มเทความสนใจไปจนหมด เลยตอบว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจเขา เพราะเวลาเจอคนที่ตัวเองชอบ คนเราก็มักจะสนใจคนคนนั้นเพียงคนเดียวจนหลงลืมคนอื่น ๆ เสมอ” “อ่อ...” น้ำเสียงหวานตอบรับเบา ๆ ก่อนจะบอกปัดว่าไม่มีแล้วและปล่อยตัวเองไปกับบรรยากาศของร้านอีกครั้งแม้ในใจมีเรื่องอยากจะถามต่อ แต่เธอที่จะปล่อยมันไปแล้วซึมซับบรรยากาศที่นานครั้งจะได้สัมผัสอย่างเพลิดเพลิน เพราะหลังจากนี้เธอต้องกลับไปต่อสู้กับงานต่อและไม่รู้เลยว่าจะมีเวลามาที่นี่อีกเมื่อไร หรือถ้าได้มาก็ไม่รู้จะว่าตรงกับไทม์มิงดี ๆ แบบนี้ไหม เพราะงั้นเธอต้องตักตวงมันให้ได้มากที่สุด... เจ้าของร่างอรชรเลยปล่อยใจไปกับเสียงเพลง กลิ่นหอมของเครื่องเทศและถ่านไม้เนื้อหอมที่เจ้าของร้านจัดหามาเพื่อทำอาหารให้ลูกค้า แตกต่างจากนภัทรที่นึกเสียดายจังหวะเมื่อครู่ไม่หาย เพราะหากคุณน้าคนสวยเอ่ยถามเขาต่ออีกสักหน่อยว่าเขาคลั่งไคล้ใคร ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบหญิงสาวไปอย่างไม่ลังเล ว่าคนที่เขาชอบจนเข้าขั้นคำว่าหลงนั้นคือตัวปีย์วราเอง “เสร็จจากทานข้าวแล้วคุณน้ามีธุระต่อไหมครับ” ทันทีมือเรียวที่จับส้อมและมีดวางคู่กันนภัทรก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่ปีย์วรารับรู้ได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่ปั้นแต่งให้ไม่ดุ จนนึกอยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้นั้นแท้จริงเป็นเช่นไร... เธออยากรู้จักหลานชายของตัวเอง แต่ทว่าอะไรบางอย่างร้องเตือนเธอว่าชายคนนี้กำลังปั้นแต่งทุกสิ่งอย่าง ทั้งน้ำเสียง การพูดจา รอยยิ้ม แม้กระทั่งเสียงหัวเราะ... ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เธออึดอัด แต่ก็ไม่ได้ดีนัก เพราะนั่นหมายความว่าตลอด 5 เดือนนี้เธอจะไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนภัทรเลยแม้แต่เงา แต่เหตุผลนั้นกลับย้อนแย้งด้วยแววตายามที่นภัทรลอบมองอยามเธอไม่สนใจ แววตาหลงใหลราวกับอีกาที่ลอบมองอัญมณียอดมงกุฎแสนงดงามที่มันยังไม่อาจฉกชิงเป็นของตัวเองได้ อีกประการที่ทำให้ขอสันนิษฐานว่านภัทรไม่ต้องการให้เธอรู้จักเขาจริง ๆ นั่นคือลักษณะของตัวตนที่นภัทรพยายามสร้าง เพราะไทป์ที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่คือลักษณะผู้ชายที่เธอชอบและอยากเข้าหา จนพาลอดคิดต่อไม่ได้ว่าเขาจงใจทำเพื่อให้เธอเข้าไปหาเขาทีละนิดทีละนิด แต่พอคิดไปถึงจุดนั้นก็น่าแปลกเพราะเธอไม่เคยเจอกับนภัทรมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยบอกลักษณะคนที่เธอจะเข้าใกล้และไม่เข้าใกล้ให้ใครรู้ด้วยกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะปั้นแต่งตัวตนเข้าหาอย่างที่นภัทรทำอยู่ตอนนี้ “คุณน้า...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” นภัทรเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเหม่อมองหน้าเขาด้วยแววตาดุดันนานจนเกินไป “อ่อ ไม่มีอะไร คือ...ภัทร น้าขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม” “ครับ” “เลิกปั้นแต่งที” ดวงตาสีม่วงครามเบิกกว้าง เรือนร่างกำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำชะงักด้วยไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วถึงขนาดนี้ “ปั้นแต่ง...อะไรเหรอครับ...” “ปั้นแต่งรอยยิ้ม น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่...นิสัย เลิกให้หมด” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันในความประมาทของตนเองที่คิดดูถูกความสามารถของหญิงสาวที่ผ่านโลกมากกว่าเขาเบื้องหน้านี้ “ครับ ผมรับปาก ผมจะเลิกทำ แต่น้ารู้ใช่ไหมว่าผมไม่มีเจตนาไม่ดี” น้ำเสียงทุ้มติดไปทางดุดันเอ่ยขึ้นทำเอาปริมตัวสั่นหน่อยๆ แต่ก็เลือกที่จะทำใจให้สงบแล้วเอ่ยตอบหลานชายตัวดีของเธอไป “อืม รู้ แต่เธอไม่คิดว่าน้าอยากรู้จักตัวตนเธอจริง ๆ บ้างเหรอ?” “น้าอยากรู้จักตัวตนผมจริง ๆ เหรอ” “อืม น้าอยากรู้จักเธอ อย่างที่เธอเป็นไม่ใช่คนที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อให้น้าพอใจและสบายใจจะอยู่ด้วยได้แบบนี้” “....” “เพราะงั้น เป็นตัวของตัวเองเถอะ น้าปรับตัวได้” นภัทรกำลังหูอื้อจากเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอกจนเขาเกือบไม่ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของปริมที่คุยกับเขา โชคดีที่เขาตั้งสติได้เร็วพอจะได้ยินมันทั้งหมด นภัทรเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อปริมในวัยเยาว์นั้นเป็นของปลอม แต่การกลับมาเจออีกครั้งและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างหญิงสาวก็กลับทำให้เขาตกหลุมรักได้ซ้ำสองทั้งที่ผ่านมานานเกือบสิบปี แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยลืมรอยยิ้มของหญิงสาวในวัย 23 ปีที่ยิ้มกว้างหลังจากร่ำไห้จนตาบวมแดงได้เลยก็ตาม ช่วงแรก ๆ เขาก็วนเวียนเพ้อถึงในใจไม่ได้บอกใคร และคิดไปว่าคงเป็นแค่รักแรกของตัวเองในวัยนั้นที่เจอคนสวย ๆ แล้วตกหลุมรัก แต่วันนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่... เพราะงั้น...อะไรที่เขาชอบ เขาจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้ามันไว้ โอบกอด และ ปกป้องมันจากอะไรก็ตามที่จะทำให้สิ่งนั้นแตกสลาย ชายหนุ่มตั้งมั่นกับตัวเองในใจก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยรับปากคุณน้าคนสวยไปตามที่ตนคิด “ครับ ผมจะเลิกทำ แต่ถ้า...มันทำให้กลัว น้าบอกนะ” “เชื่อสิน้าไม่บอก ก็บอกแล้วไงน้าจะปรับตัว แต่เธอเองให้น้าพยายามคนเดียวไม่ได้นะ เธอต้องพยายามด้วย เพราะตัวตนน้า...น้าว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอก” มือหนารวบช้อนส้อมเข้าคู่กันตามมารยาทหลังทานอาหารเสร็จ ดวงหน้าคมคายเชิดขึ้นเล็กน้อยในขณะที่นึกคัดค้านสิ่งที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถามสิ่งอื่นออกไป “ครับผมรับปากว่าจะพยายามด้วยเหมือนกัน แต่...ทำไมน้าว่าตัวเองไม่ดีล่ะครับ?” “น้าบ้างาน เวลาทำงานจะไม่สนใจอะไรเลย อย่างที่เราเจอตอนมาถึง เสียงอินเตอร์คอมดังขนาดนั้นน้ายังไม่สนใจเลยและ...น้าเป็นคนเด็ดขาด ถ้าคนคนนั้นไม่สำคัญจริง ๆ น้าจะตัดทิ้งโดยไม่แยแสเลย ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนน้าก็ไม่สนใจ แต่ใครสำคัญน้าจะรับฟังและตามใจมาก ๆ ชนิดที่ว่าต่อให้เขาขอให้ทำอะไรที่เราไมถนัดน้าก็จะทำ เหมือนที่น้าตกลงให้เรามาอยู่ด้วยไง” คิ้วเรียวขมวดมุ่นกลับประโยคสุดท้ายก่อนจะเอ่ยถามไปตามตรงด้วยนิสัยเดิมเขาไม่ใช่คนอยากรู้อะไรแล้วไม่ถามอยู่แล้ว “หมายความว่าตอนแรกน้าจะไม่ให้ผมมาอยู่ด้วยเหรอ...” น้ำเสียงหงอย ๆ ราวกับลูกหมาโดนเจ้าของขู่ว่าจะทิ้งหากดื้อดึงดังให้ได้ยินจนปริมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “อืม เพราะน้าไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็ก แล้วคิดว่าเธอเป็นเด็กเล็ก ๆ สัก 12 หรือ 13 ปีอะไรแบบนั้น เลยจะปฏิเสธแต่เพราะแพรขอร้องไปสะอึกสะอื้นไปเลยตอบตกลง” เธอตอบไปตามความสัตย์จริงโดยละเว้นเรื่องเงินค่าตอบแทนไว้ไม่ให้นภัทรรู้ตามที่ตกลงกับแพรไหม เพราะเพื่อนสาวของเธอกลัวว่าถ้านภัทรรู้เรื่องเงินว่าจ้างชายหนุ่มจะงอแงไม่ยอมอยู่กับเธอแล้วมองเธอไม่ดีไปแทน แม้ปริมจะบอกว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเงินนี้ไว้แล้วก็ตาม “ท่าทางแปลก ๆ ของน้าเมื่อเช้าก็เพราะน้าเข้าใจว่าผมเป็นเด็กสินะครับ” “ใช่จ้ะ แหม...ก็ใครจะคิดล่ะว่ายัยแพรจะมีลูกโตขนาดนี้ สงสัยเป็นบาปกรรมของคนบ้างานละมั่ง เพราะถึงน้ากับแพรจะสนิทกันแต่ก็นาน ๆ จะทักทายผ่านตัวอักษรกันสักที ครั้งสุดท้ายที่เจอตัวเป็น ๆ ก็งานแต่งเมื่อเกือบสิบปีก่อนนู้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้อัปเดตชีวิตเลย จะตกข่าวก็ไม่แปลก อย่าเอาไปทำตามเชียวนะ” “ครับ” “ว่าแต่เมื่อกี้เราถามใช่ไหมว่าน้าอยากไปไหนต่อรึเปล่า ขอวนกลับไปตอบแล้วกันว่าไม่มี เพราะตอนนี้น้าอยากกลับไปทำงานที่บ้านมากกว่า แต่ถ้าเราอยากไปก็ไปได้” หลังหมดเรื่องที่คาใจปริมก็วนกลับไปตอบเรื่องเดิมเมื่อครู่อย่างจริงใจ แววตาและรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ของชายหนุ่มที่ทำออกมาจากนิสัยเดิม ๆ ทำให้นักเขียนสาวพอใจ จนนึกชมตัวเองที่ตัดสินใจเอ่ยทักเรื่องตัวตนของชายหนุ่มไป เพราะรอยยิ้มตอนนี้แม้จะยิ้มแค่มุมปาก แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มถึงดวงตา ดูมีเสน่ห์และจริงใจมากกว่าก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ “งั้นไปซื้อของเข้าห้องกันไหมครับ เมื่อเช้าผมทิ้งไปเยอะเลย พวกซอสหรือเครื่องปรุงที่หมดอายุ เอ่อ...ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ถามน้าก่อน” “ไม่เป็นไร ๆ ของพวกนั้นน้ารู้อยู่แล้วว่ามันหมดอายุ แค่ไม่มีเวลาเอาไปทิ้งเท่านั้นเอง น้าสิต้องขอบคุณที่เราช่วยทำความสะอาดให้ แถมทำเร็วซะด้วย สนใจเปิดบริษัททำความสะอาดไหม?” ปริมลองเชิงถามด้วยความใคร่รู้ เพราะเธอนี่นับเป็นเรื่องพนันกับตัวเองอีกเรื่อง ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเอ่ยขอทำความสะอาดห้องให้เธอก็คาดเดาไปแล้วว่ายามอยู่ที่บ้านห้องของนภัทรจะเป็นห้องที่ทำความสะอาดตลอดและชายหนุ่มจะเป็นคนทำเองอย่างแน่นอน เพราะดูจากความเร็วที่ทำห้องเธอในวันนี้ หากไม่ใช่คนที่ทำมาก่อนจะไม่มีทางลำดับความสำคัญก่อนหลังในการทำเพื่อทำได้เร็วขนาดนั้น “ครับ? น่าสนนะครับ แต่แบบนั้นผมคงต้องลงไปทำเองเพราะพนักงานทำได้ไม่สาแก่ใจพอ” “แสดงว่าอยู่บ้านเธอทำความสะอาดห้องเองเหรอ” “ครับ ทำเอง พี่ ๆ ที่บ้านทำไม่ค่อยถูกใจ ทำแล้วสะอาดไม่จริง ตอนเด็กที่ยังแรงไม่มากผมเคยนอนดมฝุ่นจนภูมิแพ้ขึ้น โตขึ้นมาหน่อยเลยทำเองหมดทุกอย่าง” “เป็นภูมิแพ้นี่ต้องมียาไหม” เมื่อได้จังหวะถามเรื่องสุขภาพปริมก็เอ่ยถามต่อทันทีอย่างไม่รีรอเพราะจะให้ไปรู้ หรือไปรู้ตอนมีอาการเลยคงไม่ดีเท่าใดนัก “มีครับ แต่ทานไม่บ่อย ทานเมื่อมีอาการน่ะครับ” “อืม ดีแล้วกินยานอนโรงพยาบาลมันไม่มีหรอก ว่าแต่อาหารอร่อยไหม” “อร่อยมากเลยครับ ไม่เสียใจเลยที่เชื่อน้าปริม ร้านนี้อร่อยมากเลย” ตึกตัก เมื่อสิ่งที่เธอคิดไว้ก่อนหน้าถูกต้องหัวใจปริมก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เธอคิดมาตั้งแต่เริ่มสั่งอาหารว่าชายหนุ่มแค่ฉลาดเลือกหรือเชื่อใจเธอ เธอคิดจนเลิกคิดและเลิกหวังแล้วว่าจะได้รับคำตอบ... แต่พอได้นอกจากความอบอุ่นในหัวใจแล้ว กลับมีความรู้สึกดีเพิ่มขึ้นมาด้วยอย่างน่าประหลาด... พอแล้วปริม นภัทรเป็นหลานเธอ ท่องไว้ เขาเป็นหลานชายของเธอ ลูกชายเพื่อนสนิทที่เธอรักมากที่สุด เลิก คิด ถึงความรู้สึกแบบนั้นไปซะ พอ พอ! ศีรษะเล็กส่ายไปมาสลัดความคิดที่ไม่สมควรในหัวออกไปจนหมดและพยายามย้ำกับตัวเองในใจว่าชายหนุ่มคือลูกของเพื่อนสาวคนสนิท นักเขียนสาวมากความสามารถพ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือเรียกบริกรให้มาเช็กบิลค่าอาหารก่อนที่จะพาทั้งตัวเธอและหลานชายกลับไปที่รถแล้วขับทะยานมุ่งหน้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เพื่อซื้อของเข้าบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้ครอบครัวรุ่งเช้าที่นภัทรต้องนอนที่โซฟาปลายเตียงของปริมทั้งคืน เมื่อคืนหลังทำงานเสร็จและเอาปกป้องเข้านอนแล้วหญิงสาวก็พยายามไล่นภัทรกลับแล้วแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมกลับ แถมสโนว์ยังดันหลังเอาชุดเก่าของตินมาให้นภัทรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกตัวนภัทรก็ไม่รีรอรีบคว้าเสื้อผ้าในมือพี่สะใภ้ของเธอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดทันที แล้วกลับมานอนเฝ้าเธอที่โซฟาปลายเตียงปริมมองคนที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนโซฟานั่งเล่นของเธอก่อนจะเอื้อมมือไปเขย่าตัว เพื่อปลุกเขาให้ตื่น“ภัทร ภัทรคะ ตื่นเถอะ กลับบ้านได้แล้ว เช้าแล้วนะ”หญิงสาวเขย่าตัวให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่น แล้วเดินเลยไปอุ้มปกป้องมาโอ๋นภัทรลุกขึ้นนั่งมองปริมกล่อมลูกชายด้วยแววตาเจ็บปวด เมื่อคืนนี้ทั้งคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะไม่สามารถหยุดตัวเองให้คิดเรื่องที่หญิงสาวพูดเมื่อวานได้“ผม...นอนไม่หลับ...”“...โซฟาปริมเล็กไปแหละ...ภัทรขึ้นไปนอนบนเตียงริมเลย แล้วก็ไม่ต้องกลัวเฮียตินนะ เฮียขึ้นไปดูไร่ที่กาญตั้งแต่เมื่อวานเย็นยังไม่ลงมา นอนไปก่อน แล้วค่อยกลับบ้านนะ”“แล้วลูก...”“ปริมดูได้ วันนี้งานเบา ๆ เอาลูกไปนั่งด้วยไม่เป็นไรหรอก”หญิงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม เธอยอมรับว่า
ปฏิเสธหลังปีย์วรากลับไปได้ไม่นาน นภัทรก็ได้สติจากพิษไข้ ร่างสูงนั่งเรียบเรียงความคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินไปเองว่าตัวเขาคงแค่ฝันไป เพราะปีย์วราตัวจริงคงไม่มีทางมาที่นี้ได้ชายหนุ่มหอนายใจกับตัวเองพลางส่ายหน้าเบา ๆ กับความฝันที่คงเป็นผลพวงมาจากความคิดถึงของเขา เนตรคมกวาดมองไปทั่วห้องเพื่อปรับโฟกัสและตั้งสมาธิจากอาการมึนเบลอ ทว่าเขาก็เหลือบเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่ในห้องของเขาได้เข้าอย่างจังยา..กับชามข้าวต้ม?อ่า ไม่หรอก...คงเป็นแม่...ไม่สิ สาวใช้ในบ้านละมั่งชายยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเองก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วเก็บกวาดเอาจานชามและยาที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงมาไว้ในมือเพื่อเอาลงไปเก็บ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว ก่อนที่นภัทรจะตระหนักได้ว่าตัวเขาสั่งห้ามไม่ให้สาวใช้ในบ้านเข้ามาในห้อง คนที่เข้ามาได้จะมีแค่แม่และพ่อของเขาสองคนเท่านั้นต่อให้ป่วยยังไงแพรไหมก็ไม่น่ายอมให้สาวใช้แหกกฎได้ แม้คนคนนั้นจะเป็นคนสนิทแค่ไหนก็ตาม...งั้นใครกันละที่ดูแลเขาเมื่อคืน...?ร่างสูงโปร่งวิ่งลงจากบันไดลงไปหาแม่บ้านคนสนิทของมารดาสอบถามเรื่องคนที่ดูแลเขาเมื่อคืนด้วยท่าทีร้อนรน“หนูเล็ก ป้าหนูเล็กครับ!”
ฝันหรือไม่ฝัน NCเพราะยืนตากฝนอยู่นานพอขึ้นรถมาเจอแอร์เย็น ๆ เป่าตัวก็เป็นไข้ขึ้นมาได้ง่าย ๆ ตามปกติแพรไหมจะดูแลเอง แต่ตอนนี้เธอมีงานต้องไปตรวจที่ต่างจังหวัดกับธนิน อีกทั้งงานนี้เธอปฏิเสธไม่ได้แพรไหมเดินไปมาด้วยความกังวล...เธอพยายามหาคนที่พอจะมาดูแลนภัทรได้ แต่นึกให้ตายอย่างไรก็นึกไม่ออก ไอ้ครั้นจะโทรหาปริมเธอก็เกรงใจเพราะลูกชายเธอทำหญิงสาวไว้หนักหนาเหลือเกิน...“แพร...”“คิดจนปวดหัวก็ไม่มีคนใกล้ ๆ เลยค่ะ เหลือแค่ปริมคนเดียวแล้วพี่ธนิน...”แพรไหมเม้มปากแน่นด้วยความไม่สบายใจ เธอห่วงลูกแต่ก็ห่วงสภาพจิตใจเพื่อนจนไม่รู้จะเลือกทางไหนดี เอาวะ ให้โชคชะตานำทางละกัน!!แพรไหมตัดสินใจเสี่ยงดวงหากโทรแล้วปีย์วรารับ เธอจะพยายามอ้อนวอนให้หญิงสาวมาดูแลนภัทรสักวันสองวัน แต่ถ้าโทรแล้วไม่รับเธอคงต้องให้เป็นคนดูแลลูกเองมือเรียวกดออกที่เบอร์ของเพื่อสนิท พลางยกหูขึ้นรอสายอย่างลุ้นระทึก ในใจภาวนาให้หญิงสาวรับสายเธอซ้ำ ๆ จนเสียงรอสายหายไปนานกว่า 5 วินาที[....]“ปริม ปริมจ๊ะ คือ...แพรรู้นะว่าแพรรบกวนปริมไว้มากแล้วแต่ ช่วยแพรอีกครั้งได้ไหม...มาดูแลนภัทรที เจ้าตัวดีของฉันไม่รู้ไปตากฝนที่ไหนมา ป่วยจ
ความจริงร่างสูงโปร่งของชายวัย 43 ปี พุ่งตัวออกมาจากรถซีดานคันงามที่ขับมา เขาตรงไปยังERอย่างรีบร้อนเมื่อมาถึงก็ถามหาเคสฉุกเฉินที่ต้องบริจาคเลือดทันทีอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ญาติคุณปิ่นฤทัยนะคะ รบกวนตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ”เปรมเดินตามนางพยาบาลสาวไปยังห้องบริจาคเลือดที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ เลือดหนึ่งลอดถูกเจาะออกไปจากแขนเขาก่อนที่พยามจะกลับมาเจาะแขนเขาและเอาไปเพิ่มอีก กว่าจะรู้สึกตัวเวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขานั้นเสียเลือดไปเท่าไร แต่สิ่งที่เขาจำได้ไม่ลืมคือตัวเองมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับปิ่นชายหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน จากการเสียเลือดจำนวนมากและความเจ็บปวดในใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ตั้งใจตามหาหญิงสาวมากกว่านี้ ความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเพียงเท่านี้มันเล็กน้อยกว่าสิ่งที่คนรักของเขาต้องเจอหลังพักฟื้นจากการให้เลือดจนดีขึ้นแล้วเปรมก็รีบเดินไปยังห้องรับรองญาติที่มีคนคนหนึ่งรอเขาอยู่บานประตูแบบเลื่อนถูกเปิดออกทำให้ชายสองคนที่มานั่งรอผู้หญิงคนเดียวกันได้พบหน้ากันเสียที“สวัสดีครับ ลุงเปรม”“สวัสดี นภัทร ไม่ได้เจอกันนาน...มีลูกแล้วเหรอ”เปร
ตอนที่ คนโง่ที่เพิ่งฉลาดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั้งโถงของแผนกสูตินารีเวช พร้อมชายหนุ่มที่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียดในห้องคลอดที่เปิดไฟสว่างถึงสองห้อง หนึ่งในสองห้องมีดวงใจของตินกำลังทรมานอยู่ในนั่น อาการกระวนกระวายของชายหนุ่มที่มีมากล้นเพราะความเป็นห่วง แตกต่างจากอีกคนที่เพิ่งโดนความจริงตีแสกหน้าจนนั่งช็อกไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนนภัทรมองประตูห้องคลอดที่เขาจำได้ว่าเห็นปริมถูกเข็นเข้าไปด้วยแววตาเหม่อลอยกับความจริง...ว่าเขาโง่งมอย่างที่ตินด่าไว้จริง ๆหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้นภัทรพาปิ่นที่กรีดร้องลั่นบ้านเพราะเจ็บท้องมาโรงพยาบาล พอมาถึงหน้าห้องคลอดก็เจอตินและหญิงสาวหน้าตาไม่คุ้นนั่งประสานมือภาวนาอยู่ด้วยกัน แค่เห็นหญิงสาวที่มาด้วยก็ว่าแปลกใจแล้ว แต่ที่หนักกว่าคือคำเรียกและบทสนทนาที่น่ากังวลใจกว่า“เฮีย น้องเข้าไปชั่วโมงหนึ่งแล้วนะ ทำไมยังไม่เสร็จอีก”“เฮียก็ไม่รู้ ตอนนี้เฮีย...เฮียกลัวไปหมดแล้ว...”ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายออกไปทางดุดันค่อย ๆ ซบหน้าลงกับไหล่เล็กอย่างหาที่พึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดใจลุกออกไปที่ไหนสักทีตามเสียงกระซิบของหญิงสาวที่เขาไม
บังเอิญเจอกว่าห้าเดือนแล้วที่นภัทรหาปริมไม่เจอ ไม่ว่าเขาจะลองไปหาที่ไหนก็ไม่เจอเลยแม้แต่เงาของหญิงสาว ครั้นเอ่ยปากถามรัตตะ คนที่ไปส่งหญิงสาววันนั้นก็ไม่มีใครบอกข้อมูลเข้าได้เลยแม้แต่คนเดียวรถซีดานคันงามขับแล่นเข้ามาจอดในโรงจอด ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของคุณชายเพียงคนเดียวของบ้านจเดนิลงมาจากรถ“คุณนภัทร มีอะไรให้ขิมช่วยถือไหมคะ”ร่างเพรียวของขิมสาวใช้ที่ดูแลนภัทรมาตลอดที่อยู่ที่บ้านออกมาต้อนรับ มือขาวรับเอากระเป๋าทำงานของชายหนุ่มไปถือไว้ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเมื่อนภัทรแจ้งแกเธอว่าไม่มีอะไรให้เธอต้องเอาเข้าไปเก็บนภัทรเดินเข้าบ้านจัดแจ้งชำระกายให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของปิ่นเพื่อคุยกับเธอเป็นปกติ“ภัทรคะ พรุ่งนี้รบกวนพาปิ่นกับลูกไปหาหมอหน่อยนะ”ยังไม่ทันได้เอ่ยทักหญิงสาวในความดูแลของเขาก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน ร่างสูงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง พลางปรายตามองอดีตแฟนสาวที่กำลังท้องด้วยสายตาเย็นชาแม้จะดูแลเธอมาได้ห้าเดือน แต่ความรักก็ไม่ได้ก่อเกิดขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว หัวใจเขายังคงเป็นของปีย์วราไม่เสื่อมคลาย หนักกว่านั้นไม่ว่ายามใดที่มองใบหน้าของปิ่นเขาก็อดโกรธที่หญิงสาวทำกับเขาแบบน