“ได้สิคะ น้องอรเป็นพนักงานฝึกงานก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในบริษัทนี้เหมือนกัน เราก็ต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้วนะคะ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ”
อิงอรกล่าวกับนันทินีด้วยรอยยิ้มแสนสดใส ขณะนั้นเองเลขาสาวก็สังเกตเห็นว่านักศึกษาฝึกงานคนนี้มีอะไรหลายอย่างดูจะพิเศษ อิงอรมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดเพราะหน้าตาของเธอสวยหวานการแต่งกายก็สุภาพเรียบร้อยแม้วันนี้อิงอรจะไม่ได้สวมชุดนักศึกษามาอาจเป็นเพราะเธอเข้าใจว่าจะต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพเพื่อมาพบท่านประธานบริหารของบริษัท นันทินีสังเกตเห็นว่าอิงอรเป็นเด็กสาวหน้าใสคำพูดและกริยาท่าทางก็ดูน่ารักสมกับเด็กสาววัย 18
อิงอรและนันทินีนั่งคุยกันสักพักประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา เจตต์ก้าวเข้ามา ขณะนั้นเองนันทินีก็รีบลุกขึ้นและบอกเขาว่า
“ท่านประธานคะ...ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ?”
เขาพยักหน้า “ใช่...วันนี้ประชุมเสร็จเร็วมาก คงเป็นเพราะโปรเจคใหญ่ที่เรากำลังจะทำร่วมกับต่างประเทศมีการพูดคุยกันไปแล้ว ก็เหลือบรีฟงานอีกไม่เยอะเท่าไหร่ทุกคนก็เข้าใจทั้งหมด”
“ค่ะ...ท่านประธานคะ พอดีว่ามีน้องนักศึกษาฝึกงานต้องการที่จะมาขอพบท่านประธานค่ะ”
พอนันทินีบอกอิงอรก็รีบลุกขึ้นและยกมือไหว้ท่านประธานหนุ่มพร้อมทั้งกล่าวว่า
“สวัสดีค่ะท่านประธาน หนูชื่ออิงอรนะคะเป็นนักศึกษาฝึกงาน พอดีว่ายื่นเอกสารมาที่ฝ่ายบุคคลแล้วและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็บอกให้อรมาพบท่านประธานวันนี้ค่ะ”
“เป็นนักศึกษาฝึกงานอย่างนั้นเหรอ”
เจตต์ถามและมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ก่อนที่เขาจะพูดต่อไปว่า
“ถ้าเป็นนักศึกษาฝึกงานแล้วทำไมถึงไม่แต่งชุดนักศึกษามาพบผมล่ะ”
อิงอรรีบยกมือไหว้ปะหลกๆ “ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะท่านประธาน พอดีว่าวันนี้เป็นวันเสาร์อรก็เลยเข้าใจว่าอาจจะไม่ต้องสวมชุดนักศึกษามาก็ได้ แต่ว่าสวมใส่เป็นชุดที่เรียบร้อยมาคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้อรมาพบท่านประธาน ต้องขออภัยด้วยจริงๆค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก มานั่งตรงนี้สิ”
พูดจบเจตต์ก็เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของเขาโดยมีอิงอรเดินตามไปและนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับท่านประธานใหญ่ ขณะนั้นเด็กสาวก็อดที่จะเหลือบมองท่านประธานหนุ่มหล่อด้วยหัวใจที่เต้นระทึกไม่ได้ เพราะตอนแรกหล่อนนึกว่าท่านประธานบริหารของบริษัทที่จะมาฝึกงานเป็นชายแก่วัยคราวพ่อแต่ที่ไหนได้ล่ะเขาเป็นชายหนุ่มที่ยังหนุ่มฟ้อและคะเนอายุแล้วน่าจะประมาณ 30 กว่า ทั้งความหล่อความสมาร์ท และเคร่งขรึมของเขาทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นแรง อิงอรรู้สึกประหม่าขึ้นมาขณะที่สบนัยน์ตาคมคู่นั้น หล่อนรีบหรุบตามองต่ำและประสานมือไว้บนตักขณะนั้นเจตต์ก็กล่าวว่า
“ก็ถ้าได้แจ้งฝ่ายบุคคลและฝ่ายบุคคลบอกให้มาพบผมก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วกระมัง เจ้าหน้าที่เขาบอกไหมว่าให้คุณเริ่มมาฝึกงานเมื่อไหร่”
“ค่ะ...เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลแจ้งอรให้ทราบแล้วค่ะว่าให้มาเริ่มฝึกงานได้ในวันจันทร์นี้เลย แต่ก่อนที่จะมาเริ่มฝึกงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเขาก็อยากให้อรได้เข้ามาพบกับท่านประธานก่อนค่ะ”
เขายกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ทำให้หัวใจของคนนั่งตรงข้ามเต้นไม่เป็นจังหวะ “สำหรับผมเองก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดคุยมากไปกว่านี้หรอกนอกจากว่าเราจะได้ทำความรู้จักกันทีนี้คุณทราบแล้วใช่ไหมว่าประธานบริหารของบริษัทคือใคร”
“ค่ะ...อรทราบแล้วค่ะ ทราบชื่อของท่านประธานค่ะ ว่าท่านประธานชื่อคุณเจตต์ แต่อรก็ไม่เคยพบกับท่านประธานสักครั้ง ตอนแรกก็นึกว่าท่านประธานน่ะจะอายุมากกว่านี้แต่พอได้เจอตัวจริงแล้วก็น่าแปลกใจมากเลยนะคะ เพราะว่าท่านประธานยังหนุ่มมากๆเลยล่ะค่ะ”
เจตต์เผลอยิ้มกับคำพูดไร้เดียงสานั้น “นี่คุณแกล้งชมผมด้วยยังไงกันผมน่ะอายุตั้ง 30 กว่าแล้วนะไม่หนุ่มแล้วล่ะ”
“แต่ก็ยังดูดีเหมือนหนุ่มๆเลยนะคะอายุ 30 กว่านี่ยังไม่เยอะค่ะ ยังเป็นหนุ่มยังแข็งแรงและมีความคิดที่โลดแล่นและก้าวหน้ามากกว่าเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับอรซะอีกค่ะ”
“เกิดจากอะไรเหรอคะคุณเจตต์”“ผมเห็นคุณตอนที่คุยกับบุรินทร์ แค่เห็นคุณอยู่กับผู้ชายคนอื่นก็ทำให้หัวใจของผมอยู่ไม่เป็นสุข แต่ผมก็พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ความหึงหวงอะไรทั้งนั้น คำว่าหึงหวงมันใช้กับคนที่รักกันแต่พอเจอกับเรื่องที่อิงอรจัดฉากให้ผมต้องรับผิดชอบ ยอมรับเธอเป็นภรรยา ตอนนั้นเองที่ผมรู้ใจตัวเองว่าผมคงไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหนได้นอกจากคุณ”“นุ่นไม่ได้มีความสำคัญกับคุณมากถึงขนาดนั้นหรอกนะคะคุณเจต...นุ่นก็เป็นค่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมรับในสถานะของตัวเองว่าเป็นแค่ผู้หญิงชั่วคราวของคุณเท่านั้น”“คุณเป็นมากกว่านั้นนะนุ่น...อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่อ่อนหวานของคุณผมพึ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่คิดทบทวนเรื่องราวหลายๆ อย่างและผมก็ค่อยๆ มองเห็นมันทีละอย่าง ผมรู้ว่าคุณน่ะอ่อนหวานมากขนาดไหน ผมรู้ว่าคุณไม่เคยโกรธใครและคุณไม่เคยให้ร้ายใครเลยที่สำคัญคุณยอมผมทุกอย่าง”“ค่ะ...นุ่นยอมคุณทุกอย่างและพยายามคิดว่านุ่นจะต้องยอมรับสถานะผู้หญิงชั่วคราวของคุณให้ได้แต่นุ่นก็ผิดคำพูดของตั
“บุรินทร์ เป็นคนพาเด็กคนนั้นไปพบผมในวันนั้นที่เขาได้รู้ความจริง เขาให้เด็กคนนั้นรับสารภาพต่อหน้าว่าทำเรื่องอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นคนอัดคลิปวีดีโอทั้งหมด ตอนแรกผมก็โกรธมากเลยนะพอรู้ว่าอิงอรเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนแรกเด็กคนนั้นพยายามที่จะขอโทษผม บอกว่าสำนึกผิดแล้วกับเรื่องทุกอย่างที่ทำไปแต่ถึงยังไงผมก็คิดว่าผมจะต้องให้บทเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งให้อิงอรได้จดจำเอาไว้ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าหากผมแสดงความเห็นใจและปล่อยเธอไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันก็จะไม่เกิดบทเรียนกับเธออย่างเด็ดขาด”“แล้วคุณจะทำยังไงกับอิงอรเหรอคะ?”“ผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอิงอรกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิงอรวางแผนจัดฉากให้ผมต้องเสียชื่อหรอกนะ”“แล้วมันจะมีผลอะไรกับอิงอรหรือเปล่าล่ะคะ”“มันก็มีผลมากพอสมควรนะ เพราะว่าผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานทางมหาวิทยาลัยแจ้งให้เด็กคนนี้ย้ายที่ฝึกงานและเรื่องนี้อาจารย์ที่รับผิดชอบวิชาฝึกงานก็รับทราบทั้งหมดแล้วและตอนนี้เด็กคนนั้
น้ำเสียงตอนท้ายของนันทินีเศร้าสร้อยลงจนทำให้เจ็บรู้สึกสะท้อนในหัวใจของเขา เจตต์ดึงมือของหล่อนมากุมไว้ เขาก้มลงจูบหลังมือนุ่มลื่นของหล่อนอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ผิดคำพูดของตัวเองผมก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมผิดคำพูดของตัวเองมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมอาจจะยังเป็นคนดื้อรั้นและทิฐิไม่เคยยอมรับตัวเองและการที่ผมเป็นคนแบบนี้ก็เกือบจะทำให้ผมต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป”“คุณไม่เคยผิดคำพูดหรอกค่ะคุณเจตต์ คุณเป็นอย่างที่คุณเคยบอกฉันและฉันก็จะต้องยอมรับมัน เพียงแต่ฉันผิดเองที่ทำยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้เลย คุณเจตน์คะเรื่องระหว่างคุณกับอิงอรฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องฉันตั้งใจและว่าการที่ฉันยอมลาออกมาจากบริษัทของคุณก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้มีทางเลือกและตัดสินใจเพราะฉันรู้ดีว่าคุณไม่เคยรักฉันมาตั้งแต่แรก เราต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มันจบลงเพียงเท่านี้แล้วฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับกับผมมาก่อนได้ไหมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีผู้ชายคนใหม่ และเด็กในท้องก็เป็นลูกของผม”น
“นุ่นเต็มใจจะอยู่อย่างนั้น และมันก็เหมาะสมกับนุ่นแล้วค่ะ”“ผมอาจจะเคยรู้สึกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเก่า ผมคิดว่าควรพาคุณมาในที่ที่คุณอยากมา มาอย่างคนรักที่อยู่กันอย่างครอบครัว”“เราไม่ใช่ครอบครัวหรอกค่ะ เราเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน”“เมื่อก่อนผมว่าคุณเป็นคนว่าง่าย แต่บทจะใจแข็งคุณก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกันนะ...โอเค...ผมยอมแล้วล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะประชด หรือด่าว่าผมตรง ๆ ผมก็จะไม่ตอบโต้หรือคัดค้าน”“แล้วจะบอกนุ่นได้หรือยังคะว่า นอกจากการที่คุณอยากพานุ่นมาที่นี่คุณมีอะไรที่อยากบอกนุ่นอีก”“เยอะแยะมากมาย มันเยอะมาก ๆ จริง ๆ จนผมคิดว่าถ้าคุณได้รับรู้สิ่งนี้เรื่องที่ค้างคาระหว่างเราจะได้คลี่คลายเสียที”เขาพูดสั้น ๆ แต่นันทินีกลับมองไปทางอื่น ทำราวกับว่าหล่อนไม่อยากสนใจและไม่อยากรับฟังที่เขาพูด“นุ่น...หันมามองผมหน่อยจะได้ไหม?”“มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าเขาตรงๆ เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วใจแทบละลายแต่
นันทินีตื่นขึ้นและเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้า หล่อนทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าลงมากขึ้นทุกขณะก็เพราะสรีระของหล่อนที่เปลี่ยนไป ท้องที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้นทุกที หล่อนรู้สึกได้ถึงแรงดิ้นของทารกในครรภ์ซึ่งหลังจากการไปตรวจครั้งล่าสุดทำให้นันทินีรู้ว่ากำลังจะมีลูกผู้ชายและนันทินีนึกในใจแล้วว่าหล่อนจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทินีมีความสุขมากที่สุดในเวลานี้นอกเหนือจากบางเวลาที่ยังนึกถึงผู้ให้กำเนิดเด็กในท้องของหล่อน นันทินีไม่ปฏิเสธว่าหลายครั้งก็ยังคิดถึงเจตต์ยังคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา นันทินีพยายามโกหกเขาไปว่าหลังได้งานใหม่ก็มีสามีใหม่ทั้งที่จริงแล้วหล่อนท้องก่อนที่จะลาออกจากบริษัทด้วยซ้ำและเด็กในท้องก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหากแต่เมื่อเรื่องราวมันมาถึงตอนนี้แล้วจะให้หล่อนกลับไปอ้างสิทธิ์ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของท่านประธานบริษัทใหญ่ได้ยังไง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้นที่ไปมีความสัมพันธ์กับท่านประธานบริษัทมันก็ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บปวดและแทบไม่อยากนึกถึงให้ร้าวรานหัวใจ นันทินีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูรั้วบ้านออกไปหากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็
“เหนื่อยเหรอนุ่น?”เขาถามและแสดงสีหน้าเป็นห่วงใย“ไม่ได้เหนื่อยหรอกค่ะเพียงแต่ว่าพอเพิ่งกินอิ่มๆ นุ่นก็จะรู้สึกแน่นๆ ที่ช่วงบนของท้องนี่แหละค่ะ บอกแล้วไงคะว่านุ่นจะกินเยอะไม่ได้ถ้าจะกินก็ต้องแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน แล้วก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวันเลย บางทีก็พาลจะหายใจไม่ออกด้วย”“แล้วนี่คุณอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ นุ่นมีเบอร์โทรสายด่วนของโรงพยาบาล ก็ให้เขามารับที่บ้านก็ได้ นุ่นอยู่คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ”“ที่พูดผมไม่ได้อยากให้คุณประชดประชันผมหรอกนะนุ่นแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ”ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตาของเจตต์ที่แสดงออกมาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหล่อนจริงๆ หากแต่นันทินีก็ยังรู้สึกว่าที่เขาทำไปทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดก็เท่านั้น สักครู่เจตต์ก็เอ่ยขึ้น“ที่คุณบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียวม