“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ สำหรับผมก็คงจะไม่มีอะไรที่จะพูดคุยกับคุณมากไปกว่านี้หรอก นอกจากขอให้ตั้งใจฝึกงานและถ้าเกิดว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็สามารถที่จะแจ้งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้หรือถ้ามีเรื่องที่ลำบากใจจริงๆ ถ้าไม่ได้คุยกับผมก็อาจจะบอกผ่านคุณนันทินีเลขาส่วนตัวของผมก็ได้”
“ขอบคุณมากค่ะท่านประธาน”
เจตต์กับอิงอรพูดคุยกันต่อไปจากนั้นอีกสักพักก่อนที่นักศึกษาฝึกงานสาวจะขอตัวออกไป หลังจากนั้นเจตต์ก็ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารที่เขาจะต้องเซ็นซึ่งก็มีมากมายอยู่ทุกวันโดยที่นันทินีก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างคนต่างดูเหมือนมุ่งทำงานของตัวเองมากกว่าที่จะพูดคุยและอยู่ใกล้ชิดกันอย่างตอนเช้าก่อนเวลาเข้างานที่ทั้งสองได้เจอและมีสัมพันธ์สวาทอันเร่าร้อนต่อกันซึ่งสำหรับนันทินีแล้วท่านประธานของหล่อนก็เป็นแบบนี้ เขาจะหวานกับหล่อนก็เฉพาะเวลาที่เขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหล่อนเท่านั้นแต่หลังจากนั้นเจตต์ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาจะแสดงท่าทีของความเป็นเจ้านายมากกว่าคนที่มีสัมพันธ์สวาทอันเร่าร้อนต่อกัน เจตต์เป็นคนที่ถ้ามองจริงๆแล้วค่อนข้างดุและเคร่งขรึมในเวลาทำงาน เขาจะทุ่มเทและจริงจัง แต่ก็นั่นแหละมันก็ทำให้นันทินีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจในหลายๆครั้งเพราะเขาทำเหมือนเธอเป็นผู้หญิงชั่วคราว และโดยความเป็นจริงแล้วเธอเองก็เต็มใจยอมรับสิ่งนี้แต่แรกไม่ใช่หรือ
เธอจะเป็นอะไรได้มากกว่านางบำเรอของท่านประธานกันล่ะในเมื่อเวลาทำงานอยู่ต่อหน้าทุกคนเจตต์จะแสดงท่าทีห่างเหินเขาจะไม่อยู่ใกล้ชิดกับเธอเลยนอกจากเวลาที่เขาเกิดความต้องการขึ้นมาและสิ่งนี้ก็เป็นอะไรที่นันทินีจำต้องยอมรับมันตั้งแต่แรก ตั้งแต่ที่เธอยอมเป็นนางบำเรอของเขามากกว่าจะทำหน้าที่เลขาอย่างเดียว เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยรับคำกับเขาไว้แล้วว่าเธอยินดีที่จะยอมรับเงื่อนไขที่เขาเสนอทุกอย่าง นั่นก็คือการเป็นผู้หญิงของเขาแค่ในห้อง ในสถานที่ที่เขาต้องการแต่ห้ามเปิดเผยและจะต้องไม่แสดงความเป็นเจ้าของเขาให้คนอื่นได้รับรู้เหมือนดังเช่นวันนี้ นันทินีอดที่จะรู้สึกร้อนรุ่มข้างในไม่ได้เมื่อเธอเห็นว่าอิงอร นักศึกษาฝึกงานแสดงท่าทีตื่นเต้นและกระตือรือร้นเวลาอยู่ต่อหน้าท่านประธานดูท่าทางเด็กคนนั้นราวกับว่ากำลังตื่นเต้นอย่างเหลือเกินเวลาที่ได้พูดคุยกับเจษซึ่งก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่มักแสดงท่าทีเช่นนี้เวลาอยู่ต่อหน้าเขา
ผู้หญิงพวกนั้นจะมีท่าทีตื่นเต้น เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะเขาเป็นท่านประธานที่ดูดีมาก ๆ เป็นหนุ่มหล่อแม้จะมีท่าทีเคร่งขรึมแต่ก็ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจสาวๆ ให้อยากอยู่ใกล้เขา เป็นใครก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
บทที่ 4
นันทินีได้แต่คิดอย่างเศร้าๆ เพียงลำพังว่าเธอก็คงไม่สามารถที่จะเป็นอะไรได้มากกว่านางบำเรอของเจตต์ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่ใกล้ชิดเขา เป็นเลขาส่วนตัวของเขาที่ต้องติดตามและอยู่ใกล้ชิดเจตต์เสมอ แต่เธอก็มีความหมายเฉพาะเวลาที่เขาต้องการเธอขึ้นมาเท่านั้น นับตั้งแต่ทำงานกับเขามาเธอยังไม่เคยเห็นว่าเจตต์อยากจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหน เขาไม่เคยควงใครออกนอกหน้าและเธอก็ไม่รู้ว่าเจตต์คิดยังไงต่อการมีครอบครัวบางทีเขาอาจจะชอบความสัมพันธ์แบบนี้ ความสัมพันธ์แบบลับๆ ใช้เวลาสั้น ๆ พอมีสัมพันธ์สวาทเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบแล้วก็ต่างคนต่างไป แต่...เธอเองจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้อีกนานสักแค่ไหนในเมื่อยิ่งนับวันเธอก็ยิ่งรู้สึกพิเศษกับเขามากกว่าเพียงแค่ข้อเสนอและเงื่อนไขที่เจตต์เคยให้ไว้ และแม้ว่าเธอจะยอมรับแต่แรกพอถึงเวลานี้กลับรู้สึกว่าเธออยากจะแหกกฎนั้นซะเหลือเกิน
“นุ่นจะกลับแล้วเหรอ?”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้นันทินี่ซึ่งกำลังจะเดินพ้นออกจากประตูด้านหน้าของชั้นลอบบี้บริษัทต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งในชุดสูทดูภูมิฐานวิ่งเข้ามาหาและยิ้มกับเธอ หญิงสาวยิ้มตอบและพูดว่า
“อ้าว...บุรินทร์...ยังไม่กลับเหรอนี่ นุ่นกำลังจะกลับแล้วนะ”
“ก็ว่าจะกลับ แล้ววันนี้มีใครมารับหรือเปล่า หรือว่าต้องนั่งแท็กซี่กลับเองเหมือนอย่างทุกวัน”
“นุ่นก็นั่งแท็กซี่กลับเป็นปกติอยู่แล้วนะ แล้วบุรินทร์ล่ะ นี่หมดเวลาทำงานแล้วนะอย่าบอกนะว่ายังต้องทำงานต่ออีกน่ะขยันจริงๆเลยนะ”
“เกิดจากอะไรเหรอคะคุณเจตต์”“ผมเห็นคุณตอนที่คุยกับบุรินทร์ แค่เห็นคุณอยู่กับผู้ชายคนอื่นก็ทำให้หัวใจของผมอยู่ไม่เป็นสุข แต่ผมก็พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ความหึงหวงอะไรทั้งนั้น คำว่าหึงหวงมันใช้กับคนที่รักกันแต่พอเจอกับเรื่องที่อิงอรจัดฉากให้ผมต้องรับผิดชอบ ยอมรับเธอเป็นภรรยา ตอนนั้นเองที่ผมรู้ใจตัวเองว่าผมคงไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหนได้นอกจากคุณ”“นุ่นไม่ได้มีความสำคัญกับคุณมากถึงขนาดนั้นหรอกนะคะคุณเจต...นุ่นก็เป็นค่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมรับในสถานะของตัวเองว่าเป็นแค่ผู้หญิงชั่วคราวของคุณเท่านั้น”“คุณเป็นมากกว่านั้นนะนุ่น...อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่อ่อนหวานของคุณผมพึ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่คิดทบทวนเรื่องราวหลายๆ อย่างและผมก็ค่อยๆ มองเห็นมันทีละอย่าง ผมรู้ว่าคุณน่ะอ่อนหวานมากขนาดไหน ผมรู้ว่าคุณไม่เคยโกรธใครและคุณไม่เคยให้ร้ายใครเลยที่สำคัญคุณยอมผมทุกอย่าง”“ค่ะ...นุ่นยอมคุณทุกอย่างและพยายามคิดว่านุ่นจะต้องยอมรับสถานะผู้หญิงชั่วคราวของคุณให้ได้แต่นุ่นก็ผิดคำพูดของตั
“บุรินทร์ เป็นคนพาเด็กคนนั้นไปพบผมในวันนั้นที่เขาได้รู้ความจริง เขาให้เด็กคนนั้นรับสารภาพต่อหน้าว่าทำเรื่องอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นคนอัดคลิปวีดีโอทั้งหมด ตอนแรกผมก็โกรธมากเลยนะพอรู้ว่าอิงอรเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนแรกเด็กคนนั้นพยายามที่จะขอโทษผม บอกว่าสำนึกผิดแล้วกับเรื่องทุกอย่างที่ทำไปแต่ถึงยังไงผมก็คิดว่าผมจะต้องให้บทเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งให้อิงอรได้จดจำเอาไว้ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าหากผมแสดงความเห็นใจและปล่อยเธอไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันก็จะไม่เกิดบทเรียนกับเธออย่างเด็ดขาด”“แล้วคุณจะทำยังไงกับอิงอรเหรอคะ?”“ผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอิงอรกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิงอรวางแผนจัดฉากให้ผมต้องเสียชื่อหรอกนะ”“แล้วมันจะมีผลอะไรกับอิงอรหรือเปล่าล่ะคะ”“มันก็มีผลมากพอสมควรนะ เพราะว่าผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานทางมหาวิทยาลัยแจ้งให้เด็กคนนี้ย้ายที่ฝึกงานและเรื่องนี้อาจารย์ที่รับผิดชอบวิชาฝึกงานก็รับทราบทั้งหมดแล้วและตอนนี้เด็กคนนั้
น้ำเสียงตอนท้ายของนันทินีเศร้าสร้อยลงจนทำให้เจ็บรู้สึกสะท้อนในหัวใจของเขา เจตต์ดึงมือของหล่อนมากุมไว้ เขาก้มลงจูบหลังมือนุ่มลื่นของหล่อนอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ผิดคำพูดของตัวเองผมก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมผิดคำพูดของตัวเองมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมอาจจะยังเป็นคนดื้อรั้นและทิฐิไม่เคยยอมรับตัวเองและการที่ผมเป็นคนแบบนี้ก็เกือบจะทำให้ผมต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป”“คุณไม่เคยผิดคำพูดหรอกค่ะคุณเจตต์ คุณเป็นอย่างที่คุณเคยบอกฉันและฉันก็จะต้องยอมรับมัน เพียงแต่ฉันผิดเองที่ทำยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้เลย คุณเจตน์คะเรื่องระหว่างคุณกับอิงอรฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องฉันตั้งใจและว่าการที่ฉันยอมลาออกมาจากบริษัทของคุณก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้มีทางเลือกและตัดสินใจเพราะฉันรู้ดีว่าคุณไม่เคยรักฉันมาตั้งแต่แรก เราต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มันจบลงเพียงเท่านี้แล้วฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับกับผมมาก่อนได้ไหมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีผู้ชายคนใหม่ และเด็กในท้องก็เป็นลูกของผม”น
“นุ่นเต็มใจจะอยู่อย่างนั้น และมันก็เหมาะสมกับนุ่นแล้วค่ะ”“ผมอาจจะเคยรู้สึกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเก่า ผมคิดว่าควรพาคุณมาในที่ที่คุณอยากมา มาอย่างคนรักที่อยู่กันอย่างครอบครัว”“เราไม่ใช่ครอบครัวหรอกค่ะ เราเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน”“เมื่อก่อนผมว่าคุณเป็นคนว่าง่าย แต่บทจะใจแข็งคุณก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกันนะ...โอเค...ผมยอมแล้วล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะประชด หรือด่าว่าผมตรง ๆ ผมก็จะไม่ตอบโต้หรือคัดค้าน”“แล้วจะบอกนุ่นได้หรือยังคะว่า นอกจากการที่คุณอยากพานุ่นมาที่นี่คุณมีอะไรที่อยากบอกนุ่นอีก”“เยอะแยะมากมาย มันเยอะมาก ๆ จริง ๆ จนผมคิดว่าถ้าคุณได้รับรู้สิ่งนี้เรื่องที่ค้างคาระหว่างเราจะได้คลี่คลายเสียที”เขาพูดสั้น ๆ แต่นันทินีกลับมองไปทางอื่น ทำราวกับว่าหล่อนไม่อยากสนใจและไม่อยากรับฟังที่เขาพูด“นุ่น...หันมามองผมหน่อยจะได้ไหม?”“มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าเขาตรงๆ เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วใจแทบละลายแต่
นันทินีตื่นขึ้นและเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้า หล่อนทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าลงมากขึ้นทุกขณะก็เพราะสรีระของหล่อนที่เปลี่ยนไป ท้องที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้นทุกที หล่อนรู้สึกได้ถึงแรงดิ้นของทารกในครรภ์ซึ่งหลังจากการไปตรวจครั้งล่าสุดทำให้นันทินีรู้ว่ากำลังจะมีลูกผู้ชายและนันทินีนึกในใจแล้วว่าหล่อนจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทินีมีความสุขมากที่สุดในเวลานี้นอกเหนือจากบางเวลาที่ยังนึกถึงผู้ให้กำเนิดเด็กในท้องของหล่อน นันทินีไม่ปฏิเสธว่าหลายครั้งก็ยังคิดถึงเจตต์ยังคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา นันทินีพยายามโกหกเขาไปว่าหลังได้งานใหม่ก็มีสามีใหม่ทั้งที่จริงแล้วหล่อนท้องก่อนที่จะลาออกจากบริษัทด้วยซ้ำและเด็กในท้องก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหากแต่เมื่อเรื่องราวมันมาถึงตอนนี้แล้วจะให้หล่อนกลับไปอ้างสิทธิ์ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของท่านประธานบริษัทใหญ่ได้ยังไง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้นที่ไปมีความสัมพันธ์กับท่านประธานบริษัทมันก็ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บปวดและแทบไม่อยากนึกถึงให้ร้าวรานหัวใจ นันทินีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูรั้วบ้านออกไปหากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็
“เหนื่อยเหรอนุ่น?”เขาถามและแสดงสีหน้าเป็นห่วงใย“ไม่ได้เหนื่อยหรอกค่ะเพียงแต่ว่าพอเพิ่งกินอิ่มๆ นุ่นก็จะรู้สึกแน่นๆ ที่ช่วงบนของท้องนี่แหละค่ะ บอกแล้วไงคะว่านุ่นจะกินเยอะไม่ได้ถ้าจะกินก็ต้องแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน แล้วก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวันเลย บางทีก็พาลจะหายใจไม่ออกด้วย”“แล้วนี่คุณอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ นุ่นมีเบอร์โทรสายด่วนของโรงพยาบาล ก็ให้เขามารับที่บ้านก็ได้ นุ่นอยู่คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ”“ที่พูดผมไม่ได้อยากให้คุณประชดประชันผมหรอกนะนุ่นแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ”ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตาของเจตต์ที่แสดงออกมาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหล่อนจริงๆ หากแต่นันทินีก็ยังรู้สึกว่าที่เขาทำไปทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดก็เท่านั้น สักครู่เจตต์ก็เอ่ยขึ้น“ที่คุณบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียวม