สารจากเยว่เทียนฟงมาถึงหุบเขาเดียวดายขณะเสี่ยวจวี๋ฮวากำลังบรรจงตักแบ่งน้ำแกงโสมข้นคลั่กที่อาจารย์ป้าแซ่เซี่ยส่งมาให้ท่านจ้าวหุบเขาก่อนออกจากหุบเขาไปทำธุระบางอย่างใส่ชาม หลังจากอ่านสารจนจบ ท่านจ้าวหุบเขายกชามน้ำแกงขึ้นดมและจิบเพียงเล็กน้อยก็ผุดลุกจากที่นั่ง สั่งให้ลูกศิษย์ดื่มน้ำแกงบำรุงแทนเช่นเคย ส่วนตนเองเร่งจัดเตรียมสมุนไพรและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น จัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ให้องครักษ์ทั้งแปดที่เยว่เทียนฟงทิ้งไว้ ช่วยหามเกี้ยว พาตนและลูกศิษย์น่าสงสารผู้จู่ๆ ก็โดนซือฝุบังคับจับสวมหมวกเทอะทะใบเดิม ฉุดขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงมงคล มุ่งหน้าลงจากเขา ต่อรถม้าไปยังหมู่บ้านสือหูทันที
เนื่องจากหมู่บ้านสือหูเป็นหมู่บ้านชาวป่าที่อาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในรอยต่อระหว่างพื้นที่แถบนี้กับเทียนเฉาและเทียนจิน ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาเดียวดายเท่าไหร่นัก หลังจากเดินทางกันไม่หยุดพัก ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน องครักษ์ทั้งแปดก็คุ้มกันรถม้าเดินทางถึงที่หมาย
ทันทีที่รถม้าจอดสนิทดี องครักษ์รายที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มก็ก้าวเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าต่างรถม้า ประสานมือเอ่ยด้วยท่าทีขึงขังทว่าเปี่ยมมารยาท
“ท่านจ้าวหุบเขา...เชิญ”
จ้าวหุบเขาหลี่ส่งเสียงอืมเบาๆ แทนการตอบรับ ก่อนขยับตัวลงจากรถม้า
ทันทีที่ปลายเท้าแตะพื้น หลี่หยางพึมพำออกมาเพียงสองสามคำ จับใจความได้ว่า “กลิ่นคนตาย”
รักษาระยะห่างเอาไว้...รักษาระยะห่างเอาไว้... อาจูพยายามบอกตัวเองในใจ
หลายวันมานี้ท่านจ้าวหุบเขาอาการดีขึ้นมากแล้วก็จริงอยู่ แต่ในสายตาอาจู คนที่ยังต้องใส่ยาและยังไม่ตัดไหมเย็บแผลก็คือยังไม่หายดี ขณะท่านจ้าวหุบเขาก้าวขาลงจากรถม้า คนที่อุตส่าห์ท่องคำว่า “รักษาระยะห่าง” ก็เหมือนสมองตื้อตัน เผลอก้าวขาเดินลงจากรถม้าตามมาติดๆ จนได้
“คู่กิ่งทองใบหยกจากที่ใดกัน ขุนนางรึ?” หญิงชรานางหนึ่งถามหญิงสาวอ่อนเยาว์ข้างกาย
“จะใช่ท่านหมอเทวดาเจ้าของยาที่ประมุขเยว่พูดถึงหรือไม่” ผู้ถูกถามวิเคราะห์ “ท่านแม่ดูสิ ผู้คุมรถม้าล้วนร่างกายกำยำ...ต่างสวมชุดคล้ายคนของท่านประมุขไม่มีผิด”
หญิงชราฟังแล้วดีใจ
“ท่านหมองั้นรึ เช่นนั้นอาเป่าของพวกเราก็มีทางรอดแล้ว!”
หญิงชราจะปราดเข้าหารถม้า ทว่าโดนชาวบ้านรายอื่นตัดหน้า
ท่ามกลางหมู่บ้านชาวป่ายากจนกลางหุบเขา การมีคนแปลกหน้าและรถม้าสักคันผุดขึ้นมาก็นับว่าแปลกประหลาดมากแล้ว ทว่ารถม้าของสมาพันธ์เฮยอิงคันนี้เป็นรถม้าสภาพใหม่เอี่ยม ลายแกะสลักบนรถม้าก็วิจิตรบรรจง เห็นได้ชัดว่าเป็นรถม้าที่จัดเตรียมไว้รับรองลูกค้าคนสำคัญ เหล่าชาวบ้านหมู่บ้านสือหูไม่เคยเห็นรถม้าที่ทั้งใหญ่โตและงดงามถึงเพียงนี้ จึงตีกรอบล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในบรรดาชาวบ้านเหล่านี้มีหลายรายสีหน้าท่าทีดูอิดโรย ป่วยไข้
อาจูรั้งแขนท่านจ้าวหุบเขาไว้โดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่เพราะรังเกียจพวกชาวบ้าน แต่เป็นเพราะกังวลว่าในช่วงที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นตัวแบบนี้ ท่านจ้าวหุบเขาอาจไม่แข็งแรงพอจนพานติดโรคได้ง่าย
ตัวการที่เชื้อเชิญท่านจ้าวหุบเขาผู้ยังไม่หายดีออกมาเผชิญโรคระบาดมาถึงในชั่วอึดใจ เมื่อเห็นมือน้อยๆ ของจวี๋ฮวาจับประคองซือฝุไว้แน่นก็ยกมุมปากยิ้ม แววตาเปล่งประกาย ทั้งที่ใบหน้าดูอิดโรยเหนื่อยล้า...ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์ตึงเครียดจนไม่อยู่ในอารมณ์จะแหย่เย้า อาจูแน่ใจว่าริมฝีปากช่างก่อกวนบนใบหน้าน่าโมโหนั่น ต้องเที่ยวพ่นคำพูดไร้สาระให้คนอื่นๆ เข้าใจผิดอย่างน้อยๆ ก็สามสี่คำ
“นี่ก็คือท่านหมอหูจากแคว้นเฉียนฉิน” แนะนำตัวตนปลอมๆ ของท่าน
จ้าวหุบเขาโดยหยิบยืมคำพยางค์หนึ่งจากชื่อหมู่บ้านเพียงเท่านั้น เยว่เทียนฟงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรให้วุ่นวาย ทำเพียงประกาศว่าอีกไม่นานผู้ติดตามของตนจะออกมาแจกจ่ายยาและอาหารสำหรับวันนี้ แล้วสั่งให้พวกชาวบ้านเปิดทาง จากนั้นผายมือเชื้อเชิญ พาท่านจ้าวหุบเขาและผู้ติดตามอย่างเธอไปยังศาลาท้ายหมู่บ้านที่ก่อสร้างเป็นเพิงพักอย่างง่ายๆภายในศาลาขนาดยาวราวสิบศอก มีชาวบ้านร่างกายเต็มไปด้วยตุ่มหนองนอนเบียดเสียดกันจนเต็ม
“ซือฝุ...” อาจูสูดลมหายใจเข้าลึก แต่กลับรู้สึกเหมือนหายใจติดขัด
คนพวกนี้...ดูก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ป่วยอาการหนักทั้งนั้น
คงเพราะเห็นว่าอาการพวกเขาล้วนหนักเกินเยียวยา พวกชาวบ้านและอาจจะรวมถึงเยว่เทียนฟงจึงพามารวมกันไว้ที่นี่ รอเวลาสิ้นลม
ว่ากันว่าใกล้ชาดเปื้อนแดง อยู่กับคนแบบไหนก็พลอยเป็นคนแบบนั้นไปด้วย ตอนนี้ต้องทนมองผู้ป่วยนอนรอความตายในที่เกือบจะโล่งแจ้งแบบนี้ ต่อให้ไม่อยากสอดมือเข้ายุ่งแค่ไหน ลูกศิษย์ที่เริ่มจะจิตใจใสสะอาดขึ้นเล็กน้อยก็อดพูดอะไรสักคำไม่ได้
“ซือฝุ...ปล่อยคนพวกนี้ไว้เช่นนี้จะดีหรือ”
“เปลี่ยนบ้านเรือนแถบนี้สักสี่ห้าหลังทำสถานที่รักษา” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ แม้สายตายังคงจ้องมองคนป่วยในศาลา แต่พอมองออกว่ากล่าวกับเยว่เทียนฟง “ให้คนป่วยนอนตากแดดตากลมเช่นนี้ มีแต่จะส่งพวกเขาไปยมโลกเร็วขึ้นเท่านั้น”
อาจูชะงักไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าท่านจ้าวหุบเขาจะไม่หยุดคิด ไม่แม้แต่จะตอบอะไรสักคำก็เอ่ยวาจาคล้ายๆ ออกคำสั่งออกไป เหมือนคล้อยตามคำพูดลูกศิษย์อย่างง่ายดาย
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo