ใครสักคนเคยว่าไว้...บางครั้ง ‘โชคชะตาก็น่าตลก’ อาจูเชื่อมาตลอด ว่า ‘จริง’ แต่ไม่เคยนึกมาก่อนว่าโชคชะตาของตัวเองจะไม่ใช่แค่ตลก แต่เป็นตลกมาก! และจุดเริ่มต้นของเรื่องราวตลกร้ายที่ว่า ก็คือแพคเกจทัวร์ 'ตามรอยมังกรหยก' สุดเก๋ ที่ทำให้ได้พบกระบี่เขรอะสนิมเล่มหนึ่ง ก็แค่ความหวังดี...เล็กน้อยจริงๆ ที่ทำให้อาจูเอื้อมมือไปแหวกเถาวัลย์ปัดฝุ่น ตรวจดูว่าของนั้นใช่อย่างที่คิดหรือไม่ใช่ ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะมีงูตัวเป็นๆ พุ่งมาฉกกัด แล้วพอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ก็พบว่าวิญญาณทะลุมิติข้ามเวลามาอยู่ในร่างเด็กสาวสารร่างบอบบางผมยาวเฟื้อยร่างนี้แล้ว แค่ความแค้นที่สุมแน่นในทรวงสาวน้อยนางนี้ ก็คับแน่นอกคัพDของร่างใหม่ร่างนี้จะแย่แล้ว นี่เธอยังต้องคุกเข่าคำนับจ้าวหุบเขาโฉดโหดเถื่อนที่มีดีแค่รูปร่างหน้าตาเป็นอาจารย์ แถมยังต้องทำงานรับใช้เขาทุกวันอีก! ทีในนิยายกับละครพวกนั้น พวกนางเอกทะลุมิติข้ามเวลาแล้วได้เป็นฮองเฮา ชายาอ๋อง แต่พอเป็นเธอ กลับต้องทะลุมิติมาเป็นขี้ข้า! หึ! ศิษย์อาจารย์บ้าบออันใดกัน ถ้ายอมให้โขกสับกันง่ายๆ ก็โง่น่ะสิ!
Lihat lebih banyakหลังตะวันตกดิน...
จันทร์เสี้ยวเหลืองนวล ชวนให้นึกถึงรอยยิ้มหยิ่งผยองในชั่วยาม[1]แรก และดูเปล่งประกายเยาะเย้ยยิ่งขึ้นในชั่วยามต่อๆ มา
สาเหตุเดียวที่ทำให้อาจูต้องหอบสังขารใกล้ร่วงโรยของเด็กสาวผิวพรรณเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกขาวพิสุทธิ์ ร่างบางเหมือนกิ่งหลิว เส้นผมดำขลับเหมือนหมึก...ที่แม้จะสั้นกว่าที่บรรยายเอาไว้ในนิยายจีนหลายๆ เรื่อง แต่ก็ยังยาวระบั้นท้าย แถมยังเอาแต่พลิ้วสยาย พันไม้พันมือ ดูรุ่มร่าม มาทนคุกเข่าต่อหน้าหน้าผาลึกสุดหยั่งให้ดวงจันทร์ยิ้มหยันเล่นแบบนี้ มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น คือเรื่องเหลือเชื่อและยิ่งกว่าโง่เง่าที่เกิดขึ้นต่อๆ กันเป็นคอมโบ[2] จัดหนักจัดเต็มยิ่งกว่าโปรโมชั่นย้ายค่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
นี่ไม่ใช่ร่างกายเธอ ยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่ยุคสมัยของเธอ
ตั้งแต่เกิดและใช้ชีวิตมายี่สิบห้าปี เธอชื่อป้อจู[3] ใครต่อใครเรียกอาจู มีชื่อไทยที่พวกญาติๆ ไม่ค่อยจะเรียกกันว่าเมษา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดและโตในเยาวราช วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดอายุ 25 เธอจึงเลือกฉลองวันเกิดเบญจเพสให้ตัวเองด้วยการซื้อทัวร์ ‘ตามรอยมังกรหยก’ ทัวร์รูปแบบเก๋ไก๋ ที่ให้บรรดาลูกทัวร์แต่งชุดโบราณย้อนยุค แล้วพาท่องเที่ยวไปตามสถานที่ที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายจีนกำลังภายในที่เธอชื่นชอบจนถึงขั้นคลั่งไคล้
เธอซื้อแพคเกจมาเที่ยวจีน...ไม่นึกว่าแพคเกจทัวร์ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่พาไปดูเมืองโบราณต้าลี่ เยี่ยมชมเมืองโบราณลี่เจียง ดูหิมะที่หุบเขาหิมะมังกรหยก แล้วพาท่องไปในทุ่งหญ้าหวินซานผิงมลฑลยูนนาน แต่มันยังพาเธอทะลุมิติข้ามกาลเวลามาอยู่ในร่างเด็กสาวสารร่างอ้อนแอ้นบอบบางผมยาวเฟื้อยร่างนี้อีกต่างหาก!
นึกถึงสาเหตุที่ทำให้วิญญาณเธอทะลุมิติข้ามกาลเวลามาแล้วก็อยากจะหัวเราะ...
ตอนนั้นเพราะสังเกตเห็นกระบี่เขรอะสนิมแปลกๆ วางอยู่ในโพรงต้นไม้ในทุ่งหญ้าหวินซานผิง ต่อให้ไม่ตีลังกาดูก็มั่นใจว่าไม่ใช่ของจัดแสดง เธอสงสัยปนคิดว่าอาจเป็นของโบราณตกสำรวจ ก็เลยหวังดีอยากช่วยแหวกเถาวัลย์ เขี่ยปัดฝุ่นออกจากของที่อาจเป็น ‘วัตถุโบราณตกสำรวจ’ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะดูให้ถนัดๆ ก่อนกระโตกกระตากโวยวาย ใครจะคาดคิดว่าความหวังดีไม่เข้าเรื่องนั่นจะทำให้โดนงูฉกมือ หมดสติไป แล้วพอรู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ในร่างสาวน้อยดวงกุดร่างนี้แล้ว
เธอไม่รู้หรอกว่ายายเด็กนี่เป็นใคร รู้แต่ว่าวินาทีแรกที่รู้สึกตัวขึ้นมา ในใจของเด็กคนนี้เหมือนมีกลุ่มก้อนความโกรธแค้นอัดแน่นไปหมด แต่เค้นสมองนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ข้อมูลที่รู้ก็มีแค่เรื่องที่ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะประสบอุบัติเหตุ พลัดตกเขา แล้วได้อิตาจอมยุทธที่เหมือนจะมีดีแค่หน้าตาช่วยเอาไว้
ร่างนี้กำลังจะหายดี...แต่พอเธอฟื้นขึ้นมา เธอดันกินยาของอิตาจอมยุทธนั่นสลับขวดจนต้องพิษร้ายแรง สุดท้ายก็เลยโดนคนหน้าน้ำแข็งไร้คุณธรรมนั่นทิ้งไว้กลางป่าพร้อมกับเงินถุงไม่ใหญ่ไม่เล็กหนึ่งถุง นัยว่าจะปล่อยให้ไปเผชิญโชคเอาเอง
เคราะห์ยังดีที่ดูเหมือนอิตานี่จะโด่งดังพอตัว พอลองบอกลักษณะท่าทางพร้อมทั้งบอกกลุ่มชาวบ้านที่ผ่านทางว่า "ชีวิตข้านับแต่นี้ล้วนขึ้นอยู่กับเขา ข้าไม่เหลือที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว หากชาตินี้ไม่ได้พบเขาอีก ข้าต้องตายแน่ๆ!"
พวกชาวบ้านก็ช่วยพามาส่งให้จนถึงที่ ปากก็ว่า "คุณหนู หากจ้าวหุบเขาโฉดนิสัยโหดเหี้ยมผู้นี้ไม่ใยดี ก็อย่าได้คิดอะไรวู่วาม หากใช้ความอดทนและความอ่อนโยนสักมากหน่อย จ้าวหุบเขาจะต้องใจอ่อนเป็นแน่ เอ้อ...อย่างน้อยก่อนจากไปก็ช่วยทำให้คนผู้นี้ลดความตระหนี่เถรตรงลงสักนิด—อุ๊บ!"
ท้ายประโยคกลายเป็นเสียงแปลกประหลาด เพราะมีบางคนในกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่าและล่าสัตว์ด้วยกัน ฟาดท่อนแขนใส่คนพูดเต็มแรง อาจูก็เลยพอจะเดาได้ ว่าสาเหตุที่ชาวบ้านพวกนี้ใจดีต่อเธอ เป็นเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง...
นี่พวกเขาคงคิดว่าเธอมีซัมติงรอง[4]กับอีตาหน้านิ่งนั่น ก็เลยคิดจะใช้เธอกล่อมเกลาตาบ้านั่นนะสิ...
เหอะ...ให้มารดาเขามากล่อมเกลาเขาเองเถอะ ที่เธอต้องการคือถอนพิษในร่างน้อยๆ ร่างนี้ต่างหาก!
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ปากทางเข้า ‘หุบเขาเดียวดาย’ ไม่มีสะพาน เธอที่ไม่มีวรยุทธก็เลยบุกเข้าไปอ้อนวอนเขาไม่ได้ ได้แต่ใช้ท่าไม้ตายจากบรรดานิยายกำลังภายในที่เคยอ่านอย่างการนั่งคุกเข่า ประกาศกร้าวว่าจะไม่ลุกขึ้นจนกว่าอิตาบ้านั่นจะยอมรับเป็นศิษย์ เพราะดูเหมือนจะเป็นทางเดียวที่จะช่วยต่อชีวิตให้ร่างน้อยๆ ร่างนี้
โอย...อยากจะบ้า...
อาจูกัดริมฝีปากแน่น พยายามฝืนประคองให้ร่างโทรมเหงื่อยังคงตั้งตรงอยู่ได้ กลัวว่าถ้าล้มลงเมื่อไหร่ ตัวเองอาจหลับใหลตลอดกาลในร่างคนอื่น แถมยังเป็นในโลกต่างมิติที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยุคสมัยไหน รู้แต่ว่าน่าจะเป็นแผ่นดินจีนโบราณยุคสมัยที่มีจอมยุทธนั่งเดินลมปราณ มีจ้าวหุบเขา มีวิชาตัวเบา กระโดดทีเดียวก็ปีนต้นไม้ข้ามหุบเขาได้ง่ายๆ มีอะไรอะไรตั้งไม่รู้เท่าไหร่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ...
วิวดีมีหนุ่มหล่อแถมมีเรื่องน่าตื่นเต้นก็ดีอยู่หรอก ร่างนี้ก็ยังเอ๊าะๆ แถมยังทั้งสวยทั้งตัวหอมจนผีเสื้อหลงคิดว่าเป็นดอกไม้อีกต่างหาก อะไรก็ดี๊ดี ดีไปหมด เสียอย่างเดียวที่มันไม่ใช่ความฝัน...
ถ้าเป็นแค่ความฝันก็รีบตื่นทีเถ๊อะ!!!
ถ้าเป็นแค่ความฝัน จะเจ็บจะตายก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นี่ดันมาปรากฏตัวในร่างคนอื่น มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีชีวิต เกิดบาดเจ็บจนตายไปจริงๆ ขึ้นมา เจ้าของร่างนี้จะเป็นยังไง? ที่สำคัญกว่านั้นใครจะรับประกันได้ว่าถ้าตายในโลกนี้แล้วจะได้กลับร่างเดิมในโลกเก่า?
ยิ่งคิดอาจูก็ยิ่งคันหัวใจ ทั้งมโนธรรมทั้งความรักชีวิตทำเอาคนดวงกุดหลงยุคยิ่งโกรธตัวเองจนไม่รู้จะด่าตัวเองเป็นภาษาอะไรดี
อันที่จริง ได้ชะแวบมาอยู่ในร่างสาวสวยวัยขบเผาะ ได้เจอจอมยุทธหล่อๆ มาดเจ้าชายเย็นชาตรงตามสเปคพระเอกนิยายในดวงใจก็ฟินมากจริงๆ อย่างที่ว่านั่นแหละ แต่ไอ้เรื่องที่ต้องมาตายเพราะกินยาสลับขวดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฟื้นขึ้นมาในโลกต่างยุคต่างมิตินี่...มันออกจะดูโง่เกินไปหน่อย
ทั้งโง่และซวยบรมเลย!
ท่ามกลางความเงียบงัน ร่างอ้อนแอ้นอ่อนแรงพยายามเค้นเสียงตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จ้าวหุบเขาผู้เมตตา...ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์”
ศิษย์...
ศิษย์...
ศิษย์...
เสียงสะท้อนหวานๆ ค่อนไปทางเย็นยะเยือกคล้ายภูตผีไร้เรี่ยวแรง ทำให้หุบเขาปักป้ายสลักอักษรจีนสั้นๆ ว่า ‘เดียวดาย’ ในยามนี้ ดูน่าขนลุกขึ้นหลายส่วน
ท่ามกลางบรรยากาศสั่นประสาท เจ้าของเสียงขยับมือกุมเข่าที่เจ็บจนชา เริ่มสงสัยว่าคนเราจะตายเพราะปวดเมื่อยได้หรือเปล่า
มือกุมเข่า สมองก็ก่นด่า ไม่กล้าปริปากให้เจ้าตัวเขาได้ยิน
โอย...ไอ้จ้าวหุบเขาหน้าหล่อใจหินนี่ ใจคอจะให้สาวน้อยคุกเข่าจนตายเลยหรือไง!
ผ่านไปหลายชั่วยาม หลังจากที่สมองน้อยๆ ค่อยๆ ว่างเปล่า ภาพเบื้องหน้าเริ่มหมุนคว้าง อาจูถึงได้แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอาจจะจริง
อิตาจ้าวหุบเขาใจดำคนนี้ คงไม่แคล้วคิดจะปล่อยให้เธอตายไปทั้งอย่างนี้จริงๆ แล้ว...
“ปาป๊ามาม๊าบนสวรรค์...หนูจะตามไปหาแล้วนะ” อาจูพึมพำเป็นภาษาไทยเสียงสั่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกพูดออกมาเป็นภาษาไทย ทั้งๆ ที่สมองก้อนน้อยๆ หรืออาจเรียกว่าความคุ้นชินของร่างนี้ มักทำให้ทุกประโยคที่พูดออกมา กลายเป็นภาษาจีนที่เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นภาษาจีนโบราณหรือไม่โบราณแค่ไหน บางทีเธอคงจะอยากตายในฐานะ ‘ป้อจู’ มากกว่าเด็กสาวความจำเสื่อมไร้ชื่อเรียกละมั้ง
เพียงเสี้ยววินาทีหลังเอ่ยประโยคนั้น ร่างน้อยๆ ดูบอบบางค่อยๆ เอนตัวล้มลงช้าๆ ชนิดที่ว่า ถ้าอาจูมีตาทิพย์มองเห็นตัวเองในตอนนี้ เธอคงยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเองแล้วตะโกนใส่ดังๆ ว่า
“ละครมาก!”
แต่เธอไม่ได้เห็น...
เธอหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
[1] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับสองชั่วโมง
[2] ในที่นี้คือ Combo set หรือชุดคำสั่ง สำหรับนักเล่นเกม คอมโบหมายถึงชุดการโจมตีต่างๆ
[3] ป้อ 宝 แปลว่าของมีค่าหรือของวิเศษ และจูตัวนี้แปลว่าไข่มุก รวมกันแล้วหมายถึงไข่มุกล้ำค่า หรือ ไข่มุกวิเศษ **คนไทยเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่เป็นชาวแต้จิ๋วค่ะ อาจูก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว
[4] something wrong
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd
Komen