บทที่ 6
‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’
.
.
“เจ้าว่าอย่างไร ความคิดของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฮองเฮาถามด้วยรอยยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่ประสงค์ร้าย
“พระองค์ว่าเช่นไร หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้น ความคิดของพระองค์ย่อมหวังดีต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
‘เจ๊ว่าไงหนูก็ว่างั้นแหละ หนูจะพูดอะไรได้ก็เจ๊เป็นฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน!’
“ดีมาก เจ้ายังเป็นเด็กดีเสมอ อดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพเย่ต้องภูมิใจในตัวเจ้าที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญเผชิญอันตรายเพื่อส่วนรวมเช่นนี้”
“เพคะ หม่อมฉันก็หวังใจเช่นนั้น”
‘ไม่ได้กล้าหาญจ้า ไม่ได้แข็งแกร่งด้วย ไม่ได้อยากไปด้วย แต่โดนเจ๊บังคับไง เจ๊เป็นฮองเฮาใครจะกล้าปฏิเสธ หัวได้หลุดออกจากบ่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอาจจะฟลุ๊ครอดกลับมาก็ได้’
……….
.
หลังจากที่พบฉีฮองเฮาแล้วเย่ซูชางก็ยังไม่กลับว่าจะแวะไปหาหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หวงกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นอาหญิงของหยวนฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากและพระนางก็มีจิตใจดีไม่ฝักใฝ่อำนาจไม่แทรกแซงฮองเฮาด้วย ยามว่างก็มักจะสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเสมอเลยยังอยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ ถ้าคิดท้าทายฮองเฮาหน่อยคงสิ้นชีพไปนานแล้วแน่
แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงพระตำหนักของหยวนหวงกุ้ยเฟยก็มีขบวนเสด็จของใครบางคนมาขวางทางเอาไว้ก่อน สตรีในชุดสูงศักดิ์เดินออกมา จากการแต่งกายก็เดาไม่ยากน่าจะเป็นองค์หญิงสักพระองค์แน่นอน หรืออาจจะเป็นองค์หญิงสี่เซียวซิงหยา
“เห็นข้าแล้วยังไม่ก้มหัวอีก”
“ขออภัยเพคะ” นางยอมก้มหัวให้แต่โดยดีเพราะไม่อยากมีเรื่อง
“ข้าเป็นถึงองค์หญิง ส่วนเจ้าเป็นแค่ท่านหญิง อย่าคิดว่าได้รับการโปรดปรานจากเสด็จพ่อแล้วจะกระทำสิ่งใดก็ได้ไม่ต้องสนหัวผู้ใด”
“ขออภัยเพคะ”
“เจ้าพูดได้แต่คำว่าขออภัยหรือ?”
“แล้วจะให้หม่อมฉันทำสิ่งใดเพคะ?”
“คุกเข่าก้มกราบข้าสิ”
“หม่อมฉันไม่ได้มีความผิดถึงขั้นนั้นเสียหน่อย”
‘ข้าก็เดินของข้าอยู่ดี ๆ เป็นเจ้าที่เข้ามาหาเรื่องข้าเองแท้ ๆ’
“ข้าคือองค์หญิงเซียวซิงหยา พระมารดาของข้าคือฮองเฮาเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ!”
‘ที่แท้ก็คู่ปรับนางร้ายนี่เอง ก็ดูร้ายสมกันดี ตอนอ่านนิยายความร้ายก็สูสีกันเลยแหละ’
“จับนางคุกเข่าลง!”
“เพคะ!”
เหล่านางกำนัลพากันพุ่งเข้ามาหาเย่ซูชางพยายามกดตัวนางให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้นแต่นางก็ไม่ยอมออกแรงสะบัดจนพวกนางกำนัลผอมแห้งแรงน้อยกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
“ถ้านางไม่ยอมคุกเข่าก็ฟาดขานางให้หัก!”
องค์หญิงสี่ เซียวซิงหยา ยังคงออกคำสั่งอย่างเหี้ยมโหดสีหน้าของนางจริงจังบ่งบอกว่าต้องการให้เย่ซูชางขาหักจริง ๆ จนนางกำนัลต้องพากันไปหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ เย่ซูชางจ้องมองหน้าองค์หญิงสี่ด้วยความโกรธ รุมรังแกกันมากเกินไปแล้วอยากให้นางร้ายมากนักใช่ไหมก็จะจัดให้
“พระองค์ทรงรูปโฉมงดงาม น้ำเสียงก็หวานไพเราะ ชาติกำเนิดสูงส่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แต่เหตุใดต้องมาริษยาคนต่ำต้อยเยี่ยงหม่อมฉันด้วยเพคะ?”
“เพราะข้าเกลียดเจ้า เกลียดก็คือเกลียด ข้าไม่เห็นจะต้องมีเหตุผลอะไรเลย”
“หรือที่พระองค์รังเกียจหม่อมฉันมากถึงเพียงนี้เป็นเพราะรองเจ้ากรมพิธีการที่พระองค์หมายปองกำลังจะแต่งงานเป็นสามีของหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ?”
“เอาไม้ฟาดปากนางให้ฟันร่วงหมดปากเดี๋ยวนี้ ใครถอนฟันนางได้ข้าจะให้ทองเป็นรางวัล!”
เมื่อถูกหลอกล่อด้วยของมีค่าพวกเหล่านางกำนัลก็เหมือนจะลืมกลัวไปหมดจนสิ้นหันเป้าหมายมาหาเย่ซูชางทันทีจนนางต้องก้าวเท้าถอยเพื่อออกมาตั้งหลัก จังหวะนั้นก็เห็นหยวนฉินเดินมาไกล ๆ พอดี
‘นี่สิจังหวะพระเอก!’
นางหันมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าด้านหลังเป็นบ่อน้ำก็ตัดสินใจกระโดดลงไปทันทีจนทุกคนต่างตกใจแม้แต่องค์หญิงสี่ก็ด้วย เย่ซูชางที่ว่ายน้ำเป็นก็แสร้งทำเป็นว่ายน้ำไม่เป็นดำผุดดำว่ายอยู่แบบนั้นพร้อมตะโกนจนดังลั่น
“ช่วยด้วย!”
“ชะ… ช่วยด้วย ข้าว่ายน้ำไม่เป็น!”
เสียงตะโกนของนางมันดังไปถึงหูของหยวนฉินที่กำลังจะเดินไปตำหนักหยวนหวงกุ้ยเฟยพอดิบพอดี เขาที่หันมาเห็นว่าที่คู่หมั้นหมายว่าที่ภรรยาในอนาคตของตนดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำก็รีบวิ่งจนชายอาภรณ์ปลิวไม่สนความสำรวมอะไรทั้งนั้น แหวกกลางวงขบวนขององค์หญิงสี่แล้วกระโดดพุ่งลงน้ำทันทีคว้าตัวของเย่ซูชางเอาไว้แล้วพานางขึ้นมาบนฝั่ง
“แค่ก ๆ” เย่ซูชางยังคงแสดงอย่างแนบเนียนด้วยการสำลักน้ำออกมาเพราะอมน้ำไว้ในปากก่อนแล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หยวนฉินถามด้วยความเป็นห่วง มือก็ลูบหลังนางไปด้วยท่าทางร้อนใจแต่การกระทำกลับอ่อนโยน
“ขะ… ข้ากลัว” นางแสร้งพูดเสียงสั่นแล้วซบหน้าลงบนอกกว้างเนื้อตัวสั่นเทาเหมือนเจ้าเข้า
“ท่านพี่ฉิน” องค์หญิงสี่เอ่ยเรียกหยวนฉิน
“องค์หญิงอย่าทำอะไรหม่อมฉันเลยเพคะ เรื่องที่หม่อมฉันกำลังจะหมั้นหมายกับอาฉินล้วนเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก ขอองค์หญิงอย่าโมโหเลยเพคะ”
“หมายความว่ายังไง?” หยวนฉินรีบถามทันที
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าถูกฮองเฮาเรียกมาเข้าเฝ้าเมื่อคุยธุระเสร็จจึงจะไปเยี่ยมหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย แต่องค์หญิงสี่ก็เข้ามากล่าวหาข้า หาว่าข้าใช้มารยาสาไถยหลอกล่อเจ้าให้หมั้นหมายด้วย ไม่พอใจที่เจ้ากำลังจะหมั้นหมายกับข้าเลยจะให้คนมาตีขาข้าให้หัก ไม่พอยังกล่าวอีกว่าถ้าใครถอนฟันข้าได้จะให้ทองคำ ข้ามีผู้เดียวแต่ถูกรุมรังแกจึงกลัวจนต้องกระโดดน้ำหนีก็ยังถูกองค์หญิงสี่สั่งห้ามผู้ใดช่วยเหลืออีก”
องค์หญิงเซียวซิงหยาถึงกับตกใจที่ถูกเย่ซูชางใส่สีตีไข่เรื่องราวจนมันดูเป็นเรื่องใหญ่โตเกินความจริงไปมาก นางพยายามจะหันไปอธิบายกับหยวนฉินแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“องค์หญิงสี่ท่านอย่าทรงทำเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้กระหม่อมไม่ได้หมั้นหมายกับเย่ซูชาง กระหม่อมก็ไม่สามารถรับไมตรีของพระองค์ได้ แต่ตอนนี้กระหม่อมกำลังจะหมั้นหมาย ในอนาคตก็ต้องแต่งงาน ขอให้องค์หญิงตัดใจเรื่องนี้แล้วลืมเรื่องราวที่เคยพูดกับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนฉินกล่าวออกไปตรง ๆ เพราะเขารู้ถึงความรู้สึกที่องค์หญิงสี่มีให้ตนดี ก่อนหน้านี้องค์หญิงเคยมาสารภาพรักแล้วครั้งหนึ่งแต่เขาก็ปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนนั้น และขอให้หยวนหวงกุ้ยเฟยทูลขอฮ่องเต้ให้ว่าอย่าบังคับเขาแต่งงานกับองค์หญิงคนไหนถึงได้รอดมาได้ไม่โดนสมรสพระราชทานแต่องค์หญิงสี่ก็ยังไม่ล้มเลิกและคอยตามเอาอกเอาใจส่งของกำนัลมาให้เสมอ
ยามที่รู้ว่าเขามีใจให้ถังซีเยว่ก็ไปทำร้ายนางแต่เพราะเป็นองค์หญิงที่เป็นพระธิดาในฮองเฮาจึงไม่มีผู้ใดกล้าเอาผิด พอมาตอนนี้ที่เขาจะหมั้นหมายกับเย่ซูชางก็ยังมาทำร้ายนางอีก ในเมื่อตนเองไม่ได้แต่งก็จะทำร้ายสตรีทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับเขาเลยหรือไง ทั้งที่เขาก็ชัดเจนมาตั้งแต่ปฏิเสธแล้วว่าไม่ต้องการพระองค์
“เจ้าพาข้าออกไปจากตรงนี้เถิด ขะ… ข้าหนาว ข้าไม่ไหวแล้ว” เย่ซูชางแกล้งเสียงสั่นตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า
หยวนฉินเลยตัดสินใจอุ้มนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยนก่อนจะพาเดินฝ่าวงล้อมออกไปทิ้งให้องค์หญิงสี่ยืนมองแผ่นหลังหนาของคนที่ตนรักเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นในเวลาเดียวกัน ด้วยความโมโหเลยหาที่ลงอย่างคนพาลด้วยการหันไปตบหน้าเหล่านางกำนัลเรียงตัวจนทุกคนหวาดกลัวพากันรีบนั่งคุกเข่าก้มลงกราบองค์หญิงเพื่อร้องขอชีวิตกันทันที
“ข้าสั่งพวกเจ้า ไยพวกเจ้าไม่ทำตาม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็อย่าอยู่ให้เปลืองข้าวเปลืองเบี้ยหวัดเลย เอาพวกนางไปโบยให้ตาย!”
“องค์หญิงโปรดเมตตาด้วยเพคะ!”
“เอาออกไปข้ารำคาญ!”
“องค์หญิงโปรดเมตตาด้วยเพคะ องค์หญิง!”
เซียวซิงหยาไม่คิดจะฟังคำขอร้องขอความเมตตาทั้งนั้น นางเลือกจะหันไปมองทางอื่นมือยังคงกำหมัดแน่น ฟันขบกัดเข้าหากันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เดิมทีข้าจะปล่อยเจ้าไปอยู่แล้วเย่ซูชาง แต่ในเมื่อเจ้ากล้าเป็นศัตรูหัวใจของข้าก็อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย แม้นตายศพของเจ้าก็ต้องถูกสับเป็นหมื่นชิ้นให้หมูหมามันกิน”
บทที่ 7‘อำเภอเป่ยตู’..“ท่านพี่ฉิน ท่านจะไปไหน?” ถังซีเยว่รีบมาขวางหน้าของหยวนฉินเอาไว้ แขนข้างที่ไม่ได้หักกางออกเพื่อขวางทางเขา“หลบไปเสี่ยวเยว่ ข้าต้องรีบไป”“ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายหรอก”“แต่ข้าต้องไปช่วยเหลือเสี่ยวชาง”หยวนฉินกล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจเพราะเขาไม่รู้เลยว่าเย่ซูชางอาสาไปอำเภอเป่ยตูที่กำลังประสบภัยโรคระบาด เมื่อวานเขาควรจะถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่กลับชวนนางทะเลาะจนไม่พูดกันอีก เมื่อเช้าไปจวนสกุลเย่ถึงได้รู้ว่าเย่ซูชางออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืดตอนนี้คงไปไกลแล้ว“แต่อำเภอเป่ยตูมีโรคระบาด คนที่ไปส่วนมากก็ตายน้อยนักจะรอดกลับมา ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงหรอก”“หลบไปเสี่ยวเยว่”“ทำไมท่านต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนแบบเย่ซูชางด้วย!”“เย่ซูชางคือคู่หมั้นหมายของข้า อนาคตก็เป็นภรรยาของข้า”“นี่ท่านรักนางไปแล้วหรือ?”หยวนฉินที่ได้ฟังคำถามก็นิ่งเงียบลงเพราะเขาก็ไม่แน่ใจนักแต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงเย่ซูชางมากไม่สามารถปล่อยนางไปเผชิญทุกข์ภัยผู้เดียว“ข้าไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ข้าเป็นห่วงนางมาก และปล่อยนางไปเผชิญอันตรายผู้เดียวไม่ได้”“ข้าขอร้องท่านพี่ฉิน ที่นั่นอันตรายเกินไปท่านอย่าไ
บทที่ 7.1‘อำเภอเป่ยตู ’..แสงเทียนไหววูบไปตามแรงลมที่พัดโชยเข้ามาภายในเรือนรับรองที่เงียบสงบแต่ก็นำพากลิ่นเหม็นอับชื้นตีจมูกมาด้วย เย่ซูชางเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าต่างที่ตอนนี้ยังไม่มีการป้องกันและก็เริ่มได้ยินเสียงยุงบินหึ่ง ๆ แถวหูแล้วด้วย นางจะต้องป้องกันเอาไว้ก่อนเจ็บไข้ขึ้นมาจะแย่ก่อนจะหันไปเห็นเปลือกส้มที่นางแกะทิ้งเอาไว้ก็นึกบางอย่างออก หญิงสาวลุกเดินไปหยิบกะละมังใส่น้ำมาเล็กน้อยแล้วนำเปลือกส้มลงไปบดขยี้ให้แหลกเพื่อคั้นเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาจนกลิ่นลอยฟุ้งอบอวล“ท่านหญิงทำสิ่งใดเจ้าคะ?” อาเนียว สาวรับใช้เดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชาอุ่น“ข้ากำลังทำน้ำมันหอมระเหยไล่ยุงอยู่”“น้ำมันหอมระเหยหรือเจ้าคะ?”“ใช่ ถ้าเอาเปลือกส้มมาบดขยี้แบบนี้ น้ำมันจากเปลือกส้มก็จะไหลออกมา ส่งกลิ่นหอมออกมา มันหอมสำหรับคนแต่เหม็นสำหรับยุง”“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเก็บเปลือกส้มมาให้ท่านหญิงเพิ่มดีไหมเจ้าคะ?”“ยามนี้มืดแล้วไม่ต้องหรอก แต่ข้าจะสั่งงานเจ้า” นางหันกลับมายังโต๊ะหนังสือก่อนจะใช้พู่กันตวัดลงบนกระดาษเพื่อเขียนข้อความลงมาเป็นข้อ ๆ แล้วยื่นมันให้สาวรับใช้“เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าไปหาสมุนไพรเหล่านี้มาให้ข้าที แล้
บทที่ 7.2‘อำเภอเป่ยตู’..“โอ๊ย!”เย่ซูชางถูกหยวนฉินดันจนชิดกำแพงในที่ลับตาคน แต่ที่นี่มันก็แทบจะลับตาคนทุกที่นั่นแหละเพราะคนน้อยผีวิญญาณน่าจะเยอะมากกว่าเพราะคนตายไปเยอะ กลางค่ำกลางคืนจึงไม่มีใครออกมาเดินเล่นกินลมชมวิวเพราะมันไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก“บุรุษผู้นั้นเป็นใคร”“เจ้าหูหนวกหรือไง ข้าก็เรียกเขาว่าหมออยู่”“แล้วเจ้าจะไปคุยกับเขาทำไม ทำไมต้องใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนั้นด้วย”“ที่นี่มีโรคระบาดนะ ถ้าข้าไม่คุยกับหมอแล้วจะให้ข้าไปคุยกับผู้ใด อยู่ที่นี่ข้าก็คุยได้แค่สองหมอเท่านั้นแหละ คือหมอรักษาคนกับหมอผี”เย่ซูชางผลักตัวของหยวนฉินออกไปให้ห่างนางก่อนจะปัดฝุ่นออกจากอาภรณ์ของตนเอง “ถ้าเจ้าจะมาหาเรื่องเจ้าก็กลับไปเลย”“ข้ามาเพราะเป็นห่วงเจ้าจริง ๆ”“ข้าเห็นแต่ความประชดประชันของเจ้า” นางเดินออกมาก่อนจะมองไปยังโรงนอนของผู้ป่วยแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย“เจ้าดูภาพตรงหน้าของเจ้าสิ ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ถ้าเจ้าจะมาก็ควรมาช่วยไม่ใช่มาหาเรื่องข้าเช่นนี้ แค่นี้ข้ายังเหนื่อยไม่พออีกหรือ ไยต้องเพิ่มเรื่องเพิ่มราวให้ข้าด้วย”หยวนฉิ
Chapter 7.3 'อำเภอเป่ยตู'..แสงอรุณสาดส่องลงมายังพื้นดินแฉะชื้น พร้อมเสียงนกกาที่ร้องกันเจื้อยแจ้วต้อนรับเช้าวันใหม่ที่ดูจะสดใสกว่าวันก่อน ๆ ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ไหล่แทบจะชนกันเร่งรีบทำหน้าที่ของตนตั้งแต่เช้ามืด บางคนไม่ได้หลับได้นอนด้วยซ้ำไปเย่ซูชางมาตรวจดูผ้าฝ้ายที่เพิ่งขนเข้ามาหลายเกวียนจากเมืองใกล้เคียงก็พอใจถึงคุณภาพของมันจะไม่ใช่เกรดดีนักแต่ยามนี้หาได้เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้วสามารถนำไปทอเป็นมุ้งแก้ขัดก่อนได้“ท่านหญิงข้าเกณฑ์คนที่ทอผ้าเป็นมาแล้วขอรับ” นายอำเภอเป่ยตูพาคนเข้ามาหากลุ่มหนึ่งก็ไม่มากนักสักยี่สิบคนได้“ดีมาก ท่านทำงานได้ดีไม่มีข้อบกพร่องเลย” นางหันมาชื่นชมนายอำเภอเป่ยตูที่เขาเป็นคนตงฉิน“ได้รับใช้ท่านหญิงนับว่าเป็นบุญของข้าแล้วขอรับ ข้าเห็นท่านหญิงทุ่มเทถึงเพียงนี้แล้วจะไม่ทุ่มเทตามได้อย่างไร ข้ายินดีทำทุกอย่างที่ท่านหญิงสั่งสุดความสามารถขอรับ” นายอำเภอเป่ยตูโค้งหัวลงอย่างนอบน้อม“ข้าได้ฟังก็สบายใจ แต่ยามนี้อย่ามัวมาซาบซึ้งใจกันเลย เร่งรีบขนหีบผ้าไปไว้ในโรงเรือนก่อน ส่วนคนที่ทอผ้าได้ก็ตามข้ามาทางนี้”“ขอรับ / เจ้าค่ะ”นายอำเภอเป่ยตูรีบหันไปสั่งคนงานชายให้ช่วยกั
บทที่ 7.4‘อำเภอเป่ยตู’..เวลาในวันหนึ่งเดินไวเสมอเมื่อมีงานมากมายรัดตัว เย่ซูชางเดินกลับมาที่เรือนรับรองด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากไปช่วยพวกเด็ก ๆ ที่พอจะสั่งสอนรู้เรื่องให้ช่วยกันทำสมุนไพรทาผิวกันยุงและถุงหอมกันยุง แต่เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำทำงานได้ไม่นานก็เหนื่อยแล้ว บางคนก็เบื่ออยากออกไปวิ่งเล่น นางเองก็ไม่คิดจะบีบบังคับเลยต้องปล่อยไปเหลือกันแค่ไม่กี่คนที่พอจะโตหน่อยและเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ที่อยู่ช่วยกันทำ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะแจกจ่ายทุกคนอยู่ดีเพราะว่าสมุนไพรมีน้อยเกินไปแล้วถุงหอมเองก็ต้องใช้ขั้นตอนในการตัดเย็บนานด้วยมือเล็กถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเพื่อเตรียมจะอาบน้ำ ก่อนหน้านี้ให้บ่าวรับใช้ยกน้ำอุ่นมาให้แล้วแต่ก็ไม่ได้ให้ใครอยู่ปรนนิบัติเพราะรู้ดีว่าทุกคนเหนื่อยกันหมดแล้วเลยไล่ไปพักผ่อนกันให้หมด ยังไงเสียก่อนที่จะทะลุมิติเข้ามาในนิยายนางก็อาบน้ำแต่งตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นง่อยเลยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปรนนิบัติดูแลหรอก“บ่าวไพร่ไปไหนหมดไยปล่อยท่านหญิงให้อยู่ผู้เดียวเช่นนี้”“อ๊ะ!” เสียงเข้มที่คุ้นเคยดังขึ้นมันทำให้เย่ซูชางตกใจเล็กน้อยเมื่อหันไปมองทางประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้ก็เ
บทที่ 7.5‘อำเภอเป่ยตู’..“หรือหลงรักข้าไปแล้ว?”“จะ… เจ้าอย่ามัวแต่นอกเรื่อง รีบทำงานให้เสร็จดีกว่า”เขากล่าวเสียงละล่ำละลักและพยายามเปลี่ยนเรื่อง เย่ซูชางก็มองออกว่าเขาเขินอายแต่มันก็อดจะหงุดหงิดไม่ได้ ปกติก็ดูเป็นคนหน้าหนาจะตายไปแต่พอเรื่องแบบนี้ดันอายไม่แสดงออกให้ชัดเจน จ้องจะเปลี่ยนเรื่องตลอดมันก็เบื่อเหมือนกันกับคนประเภทนี้จะให้มันชัดเจนในความรู้สึกตัวเองมันจะตายหรือไง“เจ้าออกแรงตำหน่อย อ้อยอิ่งแบบนี้ยันเช้าคงทำไม่เสร็จ”“ข้าก็ออกแรงอยู่ เจ้าไม่มีตามองหรือ?”“นั่นเจ้าเรียกออกแรงแล้วหรือ ข้านึกว่าแตะมากกว่าตำเสียอีก”นางแย่งสากกะเบือมาจากมือเขาก่อนจะดันตัวคนชอบใช้ปัญญาให้ห่างออกไปเพื่อโชว์สกิลการตำให้เขาดู ชนิดที่ว่าตำทีเดียวเปลือกส้มเหนียว ๆ ขาดออกจากกันเลยทำเอาหยวนฉินที่นั่งมองอยู่อึ้งจนพูดไม่ออกเพราะเขาออกแรงต้องมากกว่าเปลือกส้มจะขาด“ไปกินยาปลุกพลังตัวไหนมาหรือ?”“เจ้าไม่มีแรงเองมากกว่า อย่ามาโยนว่าข้าใช้ตัวช่วย”“งั้นเจ้ามีเคล็ดลับอะไรถึงได้มีกำลังแขนมากถึงเพียงนี้?”‘เพราะข้าเป็นคนไทยไง คนไทยที่ตำเก่ง ตำส้มตำ ตำน้ำพริก ตำหมาก สารพัดตำ!’แต่จะตอบแบบที่ใจคิดก็ไม่ได้อีก นาง
บทที่ 7.6‘อำเภอเป่ยตู’..เย่ซูชางเดินออกมานอกเรือนเพื่อรับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเปิดอันสดใส เหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก้มหัวคำนับนาง ในฐานะท่านหญิงก็เป็นปกติอยู่แล้วที่คนต่างก้มหัวให้ แต่ที่นี่มันแตกต่างจากเมืองหลวงเพราะทุกคนแสดงความจริงใจต่อนางอยากเคารพนางจริง ๆ ไม่ใช่ทำตามหน้าที่เหมือนคนเมืองหลวงนางเดินมายังโรงนอนของคนป่วยที่ยามนี้ผู้ป่วยบางเบาลงมากแล้วเพราะหายดีไปหลายคนแล้วที่เหลืออยู่ก็อาการไม่หนักเท่าไหร่มันแปลว่าการรักษาของนางได้ผล แต่มันน่าจะดีกว่านี้ถ้ามีชิงเฮาเยอะ นี่ชิงเฮามีน้อยมากเพราะเป็นสมุนไพรหายากต้นหนึ่งได้ดอกน้อยเลยให้คนป่วยกินได้แค่วันละหนึ่งถ้วยเพื่อแบ่งกันกินให้ทั่วถึงเลยหายช้าต้องค่อยเป็นค่อยไป“รับราชโองการ!”เสียงตะโกนดังขึ้นด้านนอกจนเย่ซูชางตกใจรีบเดินออกมาดูก็เห็นว่าทุกคนนั่งคุกเข่าต่อหน้าชายคนหนึ่งที่มีท่าทางภูมิฐานแต่งตัวสูงศักดิ์ แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดก็ถูกหยวนฉินที่นั่งคุกเข่าดึงมือนางให้นั่งตามพวกเขา“ราชโองการจากฮ่องเต้เจ้ายังจะกล้ายืนอยู่อีก คนโปรดก็โดนตัดหัวได้เหมือนกันถ้าหมิ่นพระเกียรติ” หยวนฉินบ่นเย่ซูชางจนนางหน้ามุ่ยใส่เ
บทที่ 7.7‘อำเภอเป่ยตู’..หยวนฉินที่เพิ่งกลับมาจากส่งฝูอ๋องที่หนานตูก็แปลกใจเมื่อเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้ป่วยที่ควรนอนในโรงนอนกลับถูกย้ายไปอยู่ที่โรงหมอแทน ส่วนรอบโรงนอนของผู้ป่วยและริมลำธารกลับมีกองฟืนกองใหญ่ถูกวางกองเอาไว้เมื่อเดินเข้ามาอีกก็เห็นเย่ซูชางกำลังยืนชี้มือชี้ไม้สั่งงานพวกทหารอยู่ด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งที่จะกลับเมืองหลวงอยู่แล้วแทนที่จะพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมเดินทางไกลแต่กลับออกมาทำงานไม่ยอมหยุดเลยกะจะทำจนวินาทีสุดท้ายเลยเหรอไง“เจ้าจะทำอะไรอีก ไยไม่ไปพักผ่อน”“เจ้ากลับมาแล้วหรือ?” เย่ซูชางหันมายิ้มให้หยวนฉิน“เจ้าควรตอบคำถามข้าไม่ใช่มาถามกลับ”“ไหน ๆ ก็จะกลับเมืองหลวงแล้วเลยขอมอบเคล็ดลับวิชาสุดท้ายให้คนที่นี่ไว้ใช้เสียหน่อย”“เคล็ดลับวิชาอะไรของเจ้า?”“รมควันยุง”“ฮะ?” หยวนฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ตามมาสิ” นางจับมือของเขาแล้วพาเดินมาที่กองไฟ“ก่อไฟเลย” นางหันไปสั่งทหารกองไฟถูกจุดขึ้นจนควันโขมง เย่ซูชางหยิบเอาเปลือกส้มโยนใส่ไฟเพื่อให้มันเผาเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาก่อนจะหันไปหาเหล่าทหาร “พวกเจ้าช่วยกันพัดควันให้หันทิศทางไปยังโรงนอน”“มันช่วยสิ่งใดหรือ?” หยวนฉินถามด้วยควา
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางเปิดกล่องเครื่องประดับออกก่อนจะหยิบเอาปิ่นปักผมสีทองอร่ามออกมาทาบลงบนผมเพื่อดูว่าปิ่นอันไหนเหมาะสมกับตนเอง ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องประดับที่หยวนฉินซื้อให้นางซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อเองนักหรอก เวลาเขาเห็นเครื่องประดับสวย ๆ งาม ๆ ก็มักจะซื้อมาฝากนางเสมอ ยิ่งตอนที่แต่งงานกันก็หอบเอาของพวกนี้มาให้เป็นหีบจนตอนนี้มีเยอะเสียจนใช้แทบไม่ทัน“เจ้าว่าอันนี้งามหรือไม่?”“งามมากเจ้าค่ะ เหมาะกับชุดสีแดง” สาวรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยิบหวีเตรียมจะสางผมให้ผู้เป็นนายแต่ยังไม่ทันจะสาง นายท่านของจวนก็เดินเข้ามาจนทุกคนต้องถอยหลังออกมาแล้วก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อม“เอาหวีมา ข้าจะสางผมให้นางเอง”“เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ส่งหวีให้ท่านเจ้าเมืองก่อนจะก้มหัวลาแล้วพากันเดินออกไปเพื่อให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ายามนายท่านและฮูหยินอยู่ด้วยกันห้ามผู้ใดรบกวนทั้งสิ้น ปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพังถ้ามีอะไรจะเรียกใช้เองไม่ต้องยืนรอหยวนฉินเดินเข้ามาหาเย่ซูชางก่อนจะจับลงบนผมของนางแล้วใช้หวีสางลงบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนไม่ให้มันขาดออกมาสักเส้นเดียว เย
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจ้าแฝดที่ตอนนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้วเพราะวันทั้งวันเอาแต่วิ่งเล่นตกกลางคืนเลยอ่อนเพลียหลับง่ายเป็นธรรมดา นางหันตัวเดินออกมานอกห้องก่อนจะปิดประตูแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนลูกทั้งสองสายตามองไปยังห้องตำราก็เห็นมีแสงสว่างอยู่ แปลว่าหยวนฉินยังไม่กลับเรือนนอนจึงเดินไปหาเผื่อจะช่วยงานเขาได้บ้าง เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นว่าสามีกำลังนั่งอ่านหนังสือร้องเรียนอยู่“มันหมดเวลาทำงานแล้ว”นางเดินเข้ามานั่งข้างเขาก่อนจะหยิบเอาหนังสือร้องเรียนขึ้นมาดู วันแต่ละวันมีเรื่องร้องเรียนมากมายแต่ส่วนมากก็เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นคนตีกัน ตกลงกันไม่ลงตัว ไกล่เกลี่ยเล็กน้อยปัญหาก็จบแล้ว“ข้าเป็นเจ้าเมืองไม่มีหมดเวลาทำงานหรอก เป็นเจ้าเมืองทั้งวันทั้งคืน ชาวบ้านเดือดร้อนมีทุกข์ตอนไหนก็พร้อมช่วยเหลือทันที”“แต่เจ้าก็ต้องพักผ่อนบ้าง ถ้าทำงานหนักมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพ เกิดเจ้าตายขึ้นมาข้าก็เป็นหม้ายสิ”“ไว้ข้าทำตรงนี้เสร็จก็จะพักแล้ว”“เหลืออีกตั้งมาก”“ครู่เดียวเท่านั้นแหละ”สุดท้ายเย่ซูชางก็ต้องยอมให้ท่านเจ้าเมืองสะสางงานต่อให้เสร็จ แต่มีหรือที่คนซุกซนแบบนางจะยอ
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..“หมายความเช่นไรเจ้าคะ?”“เจ้าไม่รู้อะไร การมีฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงคอยช่วยงานฮ่องเต้ นอกจากจะคอยค้านอำนาจฝ่ายองค์รัชทายาทแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนองค์รัชทายาทให้เอางานเอาการสนใจงานบ้านเมืองด้วย เพราะถ้าไม่สร้างผลงานไม่ทำให้ฮ่องเต้พอใจก็อาจจะถูกแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปก็ได้ ฮ่องเต้คิดมาแล้วทั้งหมดว่าต้องทำยังไงถึงจะเคี่ยวเข็ญองค์รัชทายาทได้ วิธีนี้ฝ่าบาทก็ไม่ต้องลงแรงไปเคี่ยวเข็ญออกคำสั่งเอง แค่ใช้สถานการณ์รอบตัวให้เป็นประโยชน์ องค์รัชทายาทอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ต้องรีบสร้างผลงานทำความดีเพื่อรักษาตำแหน่งตนเองอยู่แล้ว”“เช่นนี้ก็เหมือนว่าฝ่าบาทใช้ฝูอ๋องเป็นเครื่องมือทางการเมือง”“จะกล่าวเช่นนั้นก็ถูก แต่ที่ฝ่าบาทยังให้ฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงด้วย เจ้าอย่าลืมว่าวัยเยาว์ฝูอ๋องต้องไปอยู่ที่อื่นกับพระสนมกุ้ยจนสุดท้ายก็ถูกพวกกบฏลอบทำร้ายจนพระสนมกุ้ยตายส่วนฝูอ๋องก็กลายเป็นคนขาเป๋ ฝ่าบาทคงไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจึงไม่ยอมให้ฝูอ๋องไปไกลพระเนตรพระกรรณตนเอง”เย่ซูชางยกถ้วยอาหารยื่นให้น้องสาว “เจ้าช่วยข้ายกออกไปตั้งที่โต๊ะในสวนทีจะได้กินข้าวกัน”
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..เสียงมีดหั่นลงบนเขียงดังก้องภายในโรงครัวที่มีควันลอยฟุ้งจากเตาถ่านที่ถูกจุดเอาไว้ บนเตามีหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อหมูสามชั้นให้นุ่มจนเข้าเนื้อ เย่ซูชางหันไปหยิบปลิงทะเลและหอยเป่าฮื้อมาหันเป็นชิ้นพอดีคำ“พี่หญิงรองทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ?” เย่ซูเจินเดินเข้ามาภายในครัวเมื่อได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาจนน้ำลายสอท้องร้องขึ้นมา“พระกระโดดกำแพง”“ฮะ?” คนน้องหน้าตาเหวอกับคำตอบของพี่สาว “อะ… อะไรกระโดดกำแพงนะเจ้าคะ?”“อ๋อ พระอะ พระกระโดดกำแพง”“มันคือชื่ออาหารหรือเจ้าคะ แล้วทำไมพระต้องกระโดดกำแพงด้วย?”“เพราะเมื่อต้มเสร็จมันจะหอมมากจนพระต้องกระโดดกำแพงมาร่วมวงกินด้วยไง”“ฮะ?” เย่ซูเจินที่ได้ฟังความหมายของชื่อก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง แต่ก็พยายามคิดให้มันเป็นเรื่องปกติแล้วเดินไปหยิบส่วนผสมที่เป็นคล้าย ๆ ฟองสีทองนวลขึ้นมา“นี่คืออะไรหรือ?”“กระเพาะปลาเชื่อกันว่าจะช่วยให้ผิวพรรณดี ดูอ่อนเยาว์ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ ให้พลังงาน เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถรักษาอาการตกเลือด อาการซีด และโลหิตจางได้”“แล้วดำ ๆ อันนี้ล่ะ?”“ปลิงทะเล”“ฮะ? ปะ… ปลิงทะเล มันกินได้หรือพี่หญิง?”“กิ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..“เจ้านี่ยังปากร้ายเสมอต้นเสมอปลาย”หยวนฉินโน้มลงไปจูบริมฝีปากเอิบอิ่มด้วยความมันเขี้ยวจนเย่ซูชางตกใจจะดันเขาออกแต่ก็ถูกมือใหญ่รวบแขนเอาไว้จนไร้ทางขัดขืนได้แต่จ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง“เจ้าทำบ้าอะไร สติเพี้ยนไปแล้วหรือ ถึงกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”“เรื่องบัดสีอะไรกัน ข้าเพียงจูบเจ้าเองก็ช่วยไม่ได้เจ้าน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ข้าจะอดใจไหวได้ยังไง รู้หรือไม่ว่าข้าต้องใช้ความอดทนอย่างมากขนาดไหนที่จะไม่ปิดที่ว่าการแห่งนี้แล้วอุ้มเจ้ากลับไปฟัดที่จวนให้จมเตียง”“เป็นถึงเจ้าเมือง ช่วยทำตัวให้น่านับถือหน่อยสิ นับวันเจ้ายิ่งหน้าหนาพูดเรื่องในม่านมุ้งได้ไม่อายปาก สงสัยข้าต้องส่งจดหมายไปทูลฟ้องฮ่องเต้แล้วว่าเจ้าคงไม่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าเมืองให้ริบคืนเสีย”“ฮูหยินเจ้าเมืองก็ช่างโหดเหี้ยมนัก เจ้าดุจนคนรับใช้ในจวนกลัวกันหัวหด เรียกผู้ใดผู้นั้นก็แทบจะหัวใจหยุดเต้นตาย”“ก็ข้าเป็นฮูหยินแล้ว เป็นนายหญิงของจวน เป็นภรรยาเจ้าเมือง และยังเป็นมารดาของเด็กแฝดด้วย ถ้าจะมามัวทำตัวเล่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าไม่จริงจังไม่หนักแน่นจะคุมผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อมีหน้าที่ภาระต้องดูแลทั้งภ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..ห้าปีต่อมาเมืองหนานตูเสียงเด็ก ๆ วิ่งกันเจื้อยแจ้วไปตามถนนของเมืองที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากมายที่แวะเวียนมาค้าขายตามประสาของเมืองท่าติดทะเลที่มีเรือขนส่งมากมายมาจอดเทียบท่า ผู้คนล้วนมีความสุขกับการใช้ชีวิตภายใต้เมืองที่เงียบสงบไร้เหตุร้ายเพราะทุกคนล้วนมีงานทำมีเงินใช้จึงไม่มีการปล้นฆ่าแย่งชิงกันในเมืองแห่งนี้หน้าร้านถังหูลู่มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังยืนจดจ้องของหวานอยู่ด้วยความอยากกินตามประสาเด็ก มือเล็ก ๆ หยิบเหรียญออกมาก่อนจะยื่นให้พ่อค้า“ท่านลุงข้าขอถังหูลู่สองไม้”“สำหรับคุณหนู ข้าให้สามไม้เลยขอรับ” ลุงใจดีหยิบถังหูลู่ให้เด็กน้อยสามไม้จนมือเล็ก ๆ แทบจะหยิบไม่หมดแต่เด็กน้อยก็ใจสู้พยายามจับมันให้ได้“ขอบคุณท่านลุง ขอให้ท่านค้าขายดิบดี”“ขอบคุณขอรับคุณหนู”“คุณหนูหยวน คุณหนูหยวนเจ้าคะ!”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นจนเด็กสาวตัวน้อยตกใจรีบหันไปมองก็พบบรรดาพี่เลี้ยงที่กำลังวิ่งมาหานาง “ท่านลุงข้าไปก่อนนะ!”ว่าจบเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบวิ่งหนีปะปนไปกับฝูงชนทันที มือยังคงถือถังหูลู่ไม่ยอมปล่อย วิ่งดุ๊กดิ๊กหนีเหล่าพี่เลี้ยงจนเป็นที่เอ็นดูของเหล่าชาวบ้าน บางคนก็ช่วยให้ที่หล
บทที่ 17'ค่ำคืนวสันต์'..เสียงดังเซ็งแซ่ลอยมาตามลมให้ได้ยินแว่วหู เย่ซูชางในชุดเจ้าสาวสีแดงที่กำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังภายในห้องหอที่ประดับประดาไปด้วยสีแดงก็นึกเบื่อเพราะให้นั่งนิ่ง ๆ มันไม่ใช่นิสัยของนางเลย สุดท้ายจึงเลิกผ้าคลุมขึ้นไปไว้ด้านบนแล้วลุกเดินมายังโต๊ะอาหารที่มีขนมวางอยู่มือเล็กหยิบเอาขนมหวานขึ้นมากิน ลักษณะมันเหมือนถั่วตัดเลย รสชาติหวานละมุนเรียกว่าทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลยเมื่อร่างกายได้น้ำตาลบ้าง วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำยุ่งแต่กับพิธีแต่งงาน เครื่องหัวก็หนักมากเพราะเป็นมงกุฎหงส์พระราชทานจากฮ่องเต้เลยอลังการงานสร้างเพชรล้านเม็ดสุดอะไรสุด แขกในงานแทบลืมตาไม่ได้เพราะเพชรนิลจินดาบนตัวเจ้าสาวแยงตาแทบทะลุเสียงประตูเปิดออกมันทำให้เย่ซูชางตกใจรีบเคี้ยวกลืนขนมที่อยู่ในปากจนไม่ทันระวังติดคอสำลักจนหน้าดำหน้าแดงลำบากเจ้าบ่าวอย่างหยวนฉินต้องเดินมาทุบหลังนางดังปึกจนขนมกระเด็นหลุดออกมาจากปาก จนนางต้องรีบหันไปเทน้ำชาดื่มเพื่อล้างปากล้างคอมือก็ยกขึ้นปาดคราบน้ำตาตนเอง“ยังไม่ทันจะดื่มเหล้ามงคลเลยเจ้าก็จะตายแล้วหรือ?”“ก็เจ้าเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าก็ตกใจ
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“นี่เจ้าจับปลาตั้งแต่ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดเลยเหรอ?”“ข้าจับได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” หยวนฉินยื่นปลาที่สุกแล้วให้เย่ซูชางนางรับปลาย่างมากัดไปเสียคำโตแต่ลืมไปว่ามันยังร้อนอยู่จนแทบจะคายทิ้ง เป่าลมเข้าปากพัลวันจนหยวนฉินหลุดขำออกมาเสียงดังทำเอานางหน้ามุ่ยใส่“มันร้อนทำไมเจ้าไม่บอกข้า”“เจ้าก็เห็นว่ามันเพิ่งลงจากกองไฟจะไม่ร้อนได้อย่างไร”“ก็เป่าให้ข้าสิ” นางยื่นปลาย่างคืนให้เขาหยวนฉินรับปลามาก่อนจะบิดเนื้อปลาออกมาแกะก้างให้เรียบร้อยแล้วเป่าเพื่อไล่ความร้อนก่อนจะจ่อมันไปยังปากของนาง“ข้าเป่าให้แล้ว กินสิคนงาม”“ร้อนหรือเปล่า?”“ไม่ร้อนแล้ว ถ้าร้อนข้าให้ตบเลย”เย่ซูชางอ้าปากกินเนื้อปลาที่หยวนฉินป้อนแต่โดยดี ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วทำสีหน้าเหมือนร้อนจนต้องเป่าปาก “ยังร้อนอยู่เลย”“ดะ… เดี๋ยวเจ้าจะทำอะไร?” หยวนฉินหน้าเหวอเมื่อเห็นเย่ซูชางง้างฝ่ามือขึ้น“ก็เจ้าบอกว่าถ้าร้อนจะให้ข้าตบไง”“อันนี้เจ้ากลั่นแกล้งข้าแล้ว”“ข้าร้อนจริง ๆ ลิ้นข้าพองหมดแล้ว”“ข้าเป่าขนาดนี้ยังร้อน คงต้องเคี้ยวเข้าไปก่อนแล้วคายให้เจ้ากินแล้วแหละ”“ยี๋!” เย่ซูชางทำหน้าหยีเมื่อนึกภาพตาม“จูบกัน
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?” เย่ซูชางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อหยวนฉินพานางมาที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี“พาเจ้ามาดูทะเลดาว”นางหยุดฝีเท้าลงก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าที่ยังคงมีแสงอยู่เลย มันจะเอาดาวมาจากไหนวะแดดเปรี้ยงขนาดนี้ นอกจากดาวบนหัวเขาอะหาท่อนไม้สักท่อนฟาดเข้าให้น่าจะได้เห็นดาวจริง ๆ“แดดเปรี้ยงขนาดนี้เจ้าจะเอาดาวมาจากไหน?”“เดี๋ยวมันก็มืดแล้ว”“นี่ข้าต้องรอจนมืดหรือ?”“รอไม่ได้หรือ?” หยวนฉินทิ้งตัวลงนั่งย่อตรงกองไฟที่มีคนเคยมาจุดเอาไว้แล้วหยิบเอากิ่งไม้แห้งใส่เข้าไปแล้วใช้กระบอกจุดไฟจุดกองใบไม้แห้งให้ไฟลุกขึ้น“แทนที่ข้าจะได้กลับไปนอนพัดวีที่เรือนสบาย ๆ ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งรอพระอาทิตย์ตกดินอีกหรือ”“เจ้าจะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ยังไม่ทันแก่เลยเจ้าบ่นเก่งนัก ถ้าแก่ตัวไปหูข้าไม่ตึงเพราะโดนเจ้าบ่นทุกวันทุกเวลาเลยหรือไง”“หูเจ้าไม่ตึงหรอก” เย่ซูชางที่หมั่นไส้หยวนฉินก็ยื่นมือไปบิดหูเขาจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง“โอ๊ย ๆ ข้าเจ็บ!”“ข้าจะบิดให้หูเจ้าขาดไปเลย จะได้ไม่ต้องมีหูให้ตึง”“ปะ… ปล่อย ข้ายอมเจ้าแล้ว ยอมเจ้าทุกอย่างเลย” หยวนฉินที่โดนบิดหูซะม้วนก็ร้องโอดครวญออกมาเสียง