เพราะถูกคนรักชั่วหลอกใช้จนต้องตกตายยกตระกูล ความคับแค้นใจอัดแน่นเสียจนแทบกระอักโลหิต หากมีโอกาศอีกครานางจะแก้แค้นคืนให้สาสม แม้จะต้องอยู่ในร่างสตรีนางอื่นยอมสิงศพคืนชีพ แลกด้วยทั้งหมดของชีวิตนางก็จะทำ ถูกหลอกใช้ ถูกหักหลัง จนต้องถูกฆ่าล้างตระกูล แม้แต่สวรรค์ยังทนมิได้ มอบโอกาสในการทวงหนี้เลือดนี้ให้นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง ชีวิตใหม่ สมรภูมิใหม่ เลือดต้องล้างด้วยเลือด! เจี่ยงหร่าน แม่ทัพหญิงแห่งแคว้นซ่ง เก่งกาจมากความสามารถแต่กลับอ่อนหัดเรื่องความรัก นางถูกชายอันเป็นที่รักหลอกใช้ปีนป่ายขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงสุด ก่อนจะถีบหัวส่งนางอย่างไม่ไยดี นางตายด้วยความคับแค้นอัดแน่น นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตา ส่งนางมาอยู่ในร่างของ จางเหมี่ยวลี่ สตรีที่งดงามที่สุดแห่งแคว้นฟงหลิงแต่กลับมีจิตใจอำมหิตบิดเบี้ยวหลงใหลคุณไสยมนต์ดำ การใช้ชีวิตอยู่ในร่างของสตรีนางอื่นย่อมไม่ง่าย แต่นับว่าก็ไม่ได้แย่ และโชคชะตายังนำพาให้นางได้พบกับ เซียวจิ้ง สหายแดนไกลของนางอีกครา นางต้องทำทุกทางเพื่อหาทางแก้แค้นคนชั่ว แล้วจะต้องทำเช่นไรดีเล่าในเมื่อนางมาอยู่ต่างแคว้น มาอยู่ในร่างของสตรีอีกคนที่ไม่มีอำนาจทางการทหารในมือ
더 보기แคว้นฟงหลิง
ยามราตรีเสียงลมกระโชกที่โหมกระหน่ำรุนแรง ต้นไม้ทุกต้นโยกไหวไปตามแรงลม คล้ายกับมีมือหลายมือเสมือนเงามืดที่จับต้นไม้เหล่านั้นให้เอนไหวไปตามทิศทางลม จันทราสาดแสงส่องลงมาทำให้เห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างเลือนราง ยามนี้ภายในจวนตระกูลจาง ทุกคนต่างเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์กันหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงเรือนเหลียนฮวา ที่ตอนนี้ยังคงมีแสงเทียนวับแวมให้พอมองเห็นได้อยู่บ้าง ภายในห้องมีหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีกำลังนั่งพนมมืออยู่ในอ่างน้ำ ที่มีกลิ่นสมุนไพรเข้มข้น พลางขยับริมฝีปากแดงฉ่ำท่องสวดคาถาบางอย่างไม่ยอมลดละ พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ บรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือกลงจนหนาวสะท้าน ก่อนที่นางจะขยับริมฝีปากบางเอ่ยวาจาออกมา
"ขอให้ข้างามที่สุด งามเป็นหนึ่งในแคว้นฟงหลิง สตรีใดก็มิอาจเทียบเคียงข้าได้แม้แต่ปลายเส้นผม"
กล่าวจบนางก็คลี่รอยยิ้ม ใบหน้างดงามล่มเมือง ทว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชาอำมหิต
"คุณหนูเจ้าคะ ยามนี้ดึกมากแล้ว รีบเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ"
เสียงสาวใช้นางหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยท่าทีหวาดหวั่น หญิงสาวพลันปรายตามามองสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตวาดเสียงดัง
"พูดมาก นังคนชั้นต่ำ!"
สิ้นเสียงหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะสั่งให้สาวใช้มาเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย จึงกลับเข้าไปในห้องนอน นางทิ้งกายนั่งลงบนเตียง ก่อนจะยกชามใบหนึ่งที่มีน้ำแกงบางอย่างขึ้นมายกดื่มจนหมดถ้วย เหล่าสาวใช้ที่เห็นแม้จะรู้สึกอยากอาเจียนมากเพียงใดแต่กลับไม่กล้าแสดงท่าทีอื่นใดออกมา
จะไม่ให้พวกนางสะอิดสะเอียนได้อย่างไรกัน คุณหนูของพวกนางหลงใหลมนต์ดำจนถึงขั้นกินรกเด็กต้มน้ำแกงเข้าไป!
คุณหนูใหญ่ของพวกนางมีนามว่า จางเหมี่ยวลี่ เป็นบุตรสาวจวนแม่ทัพตระกูลจาง งดงามเหนือสตรีใดอีกทั้งมีความสามารถไม่น้อย บิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่ เป็นบุรุษรูปงามองอาจแห่งยุค ส่วนมารดาของนาง ในกาลก่อนก็เป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นฟงหลิง ความงามของนางได้รับการถ่ายทอดจากบิดามารดาจนเป็นที่เลื่องลือ แม้จะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่านางหลงใหลคุณไสยมนต์ดำ แต่ด้วยเพราะบิดานางทำความดีความชอบ ทำให้ราษฎรทั่วทั้งฟงหลิงไม่กล้านินทานางต่อหน้า แต่ลับหลังเรื่องของนางกลายเป็นเรื่องเล่าที่สนุกปากไปเสียแล้ว
จางเหมี่ยวลี่เริ่มเรียนรู้มนต์ดำผ่านไต้ซือผู้หนึ่ง เขามอบตำราให้นางเอาไว้ศึกษาหนึ่งเล่ม ในตำราเล่มนั้นมีทั้งวิธีการสาปแช่ง ศาสตร์ลับเรื่องความงาม ในคราแรกจางเหมี่ยวลี่ยังรู้สึกหวาดหวั่น แต่นานวันเข้านางกลับหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
จุดมุ่งหมายเริ่มแรกเพียงอยากทำให้ตนเองงดงาม นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปหาซื้อรกเด็กจากหญิงชาวบ้านที่คลอดบุตรและกำลังจะนำรกไปทิ้ง นานวันเข้าก็ติดต่อซื้อขายกันอย่างลับๆ หญิงผู้นั้นเห็นว่างานนี้ได้เงินดีจึงไม่สนถูกผิดอันใดอีก เมื่อได้รกเหล่านั้นมาแล้วจางเหมี่ยวลี่จึงให้สาวใช้เอามาตุ๋นเป็นยาเสริมความงามดื่มกินทุกวันเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์งดงามอยู่เสมอ
เช้าวันต่อมา จางเหมี่ยวลี่ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมารับลมยามเช้า อากาศในฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างที่จะดีไม่น้อยเลย นางจึงยืนรับลมต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินกลับเข้ามากินอาหารเช้าที่เรือนของตน ก่อนจะปรายตามองเหล่าสาวใช้แวบหนึ่ง
"เอาน้ำแกงตุ๋นมาให้ข้า"
สาวใช้นามว่าเยว่ซินหันขวับมามองเจ้านายของตน แล้วพูดด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
"เอ่อ คุณหนู เมื่อคืนเพิ่งจะดื่มไปนะเจ้าคะ"
จางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงจ้องมองสาวใช้เยว่ซินด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะเอ่ย
"ข้าสั่งให้เจ้าไปเอามา ไม่ได้ยินหรือ หรือต้องให้ข้าตบสั่งสอน!"
"คุณหนู ตอนนี้ เอ่อ รกพวกนั้นจะหมดแล้วนะเจ้าคะ ยามนี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงภาวะสงคราม ทางการจึงสั่งเกณฑ์ไพร่พล สามีภรรยาแยกจากกัน ทำให้หาหญิงท้องแก่ลำบากยากยิ่งนัก แทบไม่มีเด็กเกิดใหม่เลยเจ้าค่ะ"
จางเหมี่ยวลี่หลับตาลง พยายามระงับโทสะ แต่เวลานี้นางโมโหแล้ว น้ำแกงตุ๋นรกเด็กของข้า!
ทันทีทันใดนั้นนางจึงคว่ำโต๊ะอาหารจนถ้วยชามแตกกระจายเกลื่อนพื้น
"ไปหามาให้ข้า!"
เยว่ซินที่เห็นว่าเจ้านายตนบันดาลโทสะถึงขั้นฆ่านางได้จึงไม่กล้ารั้งรออะไรอีก รีบไปที่ห้องครัวเพื่อที่จะนำน้ำแกงมามอบให้คุณหนู จางเหมี่ยวลี่ทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง ก่อนจะพนมมือขึ้นและพึมพำบางอย่างอยู่เงียบๆ
สวรรค์! ข้าจะไม่ผิดต่อบัญชาสวรรค์ ข้าจะต้องนำรกเหล่านั้นมาดื่มทุกวันให้จงได้ ท่านอย่าได้โกรธเคืองเลยนะเจ้าคะ
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นไปถึงเรือนใหญ่ของจวนตระกูลจาง จางฮูหยินร้อนใจจึงรีบเร่งมาดูบุตรสาวของตนทันที เมื่อเห็นว่าเครื่องเรือนถูกทุบทำลายจนแตกกระจัดกระจาย นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา นางและสามีมีบุตรชายหญิงคู่หนึ่ง บุตรชายคนโตนามว่าจางเฉวียนอายุยี่สิบสองปี และจางเหมี่ยวลี่บุตรสาวอายุสิบเจ็ดปี โดยเฉพาะบุตรสาวนั้นนางรักดั่งแก้วตาดวงใจ จางเหมี่ยวลี่ต้องการสิ่งใดนางและสามีย่อมหามาให้ทุกอย่าง รู้ทั้งรู้ว่านางหลงงมงายในศาสตร์มนต์ดำพวกเขาก็ยังไม่สามารถคัดค้านนางได้
"เหมี่ยวเอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าโมโหอันใดอีกเล่า ผู้ใดกล้าขัดใจบุตรสาวข้า!"
เหล่าสาวใช้ต่างนิ่งเงียบไม่กล้าปริปากพูดอะไร จางเหมี่ยวลี่เห็นว่ามารดามาหา ก็ระงับโทสะสงบสติอารมณ์ลงได้ พูดคุยสนทนาไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่นานนักเยว่ซินก็ยกน้ำแกงเข้ามาให้จางเหมี่ยวลี่ นางรีบยกขึ้นดื่มครั้งเดียวจนหมดถ้วย จางฮูหยินลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดผวา นางรู้ดีว่ามันคือน้ำแกงทำมาจากอะไร แม้จะอยากอาเจียนแต่ก็ไม่กล้ากล่าววาจาใดเพราะเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจบุตรสาว
เมื่อได้ดื่มน้ำแกงแล้ว จางเหมี่ยวลี่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน พูดจาสนทนากับมารดาของตนปกติ
"ท่านแม่เจ้าคะ อีกไม่นานท่านพี่เซียวจิ้งก็จะยกทัพกลับมาพร้อมกับท่านพ่อแล้ว ข้าอยากจะเตรียมของต้อนรับเขาเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ท่านรู้จักร้านค้ามากมายย่อมหาของดีมาให้ข้าได้เป็นแน่"
จางฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะรับปากนาง
"เหมี่ยวเอ๋อร์ ไว้แม่จะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง"
"ท่านแม่รักข้าที่สุดเลย"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
จางฮูหยินยิ้มให้บุตรสาวอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่แต่งงานเข้าจวนตระกูลจางนางก็ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีมาโดยตลอด สามีนางเองเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แคว้นฟงหลิง อีกทั้งจางเฉวียนบุตรชายคนโตของนางก็เข้าสู่กองทัพเป็นทหารหนุ่มที่มากความสามารถ อีกไม่นานย่อมได้รับพระราชทานตำแหน่งในกองทัพตามรอยบิดาเป็นแน่
บุตรชายนั้นมีความสามารถตามรอยบิดา น่าเสียดายที่จางเหมี่ยวลี่แม้จะมีทักษะเรื่องการต่อสู้มาตั้งแต่วัยเยาว์แต่กลับละเลยไม่สนใจ วันๆ เอาแต่สนใจศาสตร์มนต์ดำเช่นนี้
จางเหมี่ยวลี่แย้มยิ้มให้มารดาอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของเซียวจิ้งบุรุษที่ตนเฝ้าคะนึงหา
โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งชะตาชีวิตของนางจะพลิกผันไปอย่างไม่หวนคืน
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ
หลายวันต่อมา ฮ่องเต้เซียวหลางก็มีรับสั่งให้คณะทูตของแคว้นซ่งเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับอย่างสมเกียรติ และยังให้ขุนนางชั้นสูงรวมถึงบุตรสาวและฮูหยินเอกเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเจี่ยงหร่านเองก็ต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเจี่ยงหร่านวันนี้สวมชุดขุนนางหญิง ที่ทางราชสำนักเพิ่งตัดส่งมาให้เข้าร่วมงานตามตำแหน่งทางการทหารของนาง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีองอาจผึ่งผาย เซียวหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาทักทายนาง ก่อนจะดึงนางให้ไปลองชิมขนมที่ตนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เจี่ยงหร่านอยู่สนทนากับเซียวหลิงได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมานั่งประจำตำแหน่งที่เดิมของตน ไม่นานนัก ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เซียวหลางเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นและอยู่ในความสงบฮ่องเต้เซียวหลางเดินเข้ามาพร้อมกับฮองเฮาของตน ส่วนเซียวจิ้งนั้นยามเดินอยู่ด้านหลังพร้อมกับบิดาและมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีเซียวกั๋วมาร่วมงานด้วย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แม้ในยามปกติจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อมีคนต่างแคว้นเข้ามา ย่อมต้องแสดงออกว่าพี่น้องรักใคร่กันดีเพื่อไม่ให้ศัตรูมองเห็นจุดอ่อนได้"ทุกคนลุกขึ้นเถ
ด้านเจี่ยงหร่านที่ได้รับทราบว่าผู้นำคณะทูตเดินทางมาสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ก็คือราชครูฟ่านบิดาของฟ่านเหยา ถ้วยชาในมือถูกกำเอาไว้แน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปที่รถม้า นางบอกเยว่ซินว่าจะไปที่หอสุราจิ๋นฮวา อีกทั้งยังไม่ให้เยว่ซินตามไปด้วยเมื่อมาถึงนางมุ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ลุงหม่าเองระยะหลังมานี้ เริ่มจะคุ้นเคยกับเจี่ยงหรานมากขึ้น เมื่อนางมาถึงเขามักจะจัดห้องที่ด่ีที่สุดให้ และสั่งให้คนนำสุราชั้นดีส่งให้นางอย่างรู้งานวันนี้เซียวจิ้งเองก็มิได้มีงานเร่งด่วน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยงหร่านต้องการพบเขา และรออยู่ชั้นสองของเหลาสุรา ชายหนุ่มก็รีบตรงมาหานางทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ในห้องมีเจี่ยงเฮ่าอยู่ด้วย เจี่ยงเฮ่ายิ้มให้เซียวจิ้งอย่างนอบน้อม เซียวจิ้งเองก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างกายของเจี่ยงหร่านและถามขึ้นมา"เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ให้คนส่งจดหมายมาก็ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้าเอง"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาได้ แล้วพูดว่า"เซียวจิ้ง ที่ข้ามาพบท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่อยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ข้าคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้ว"เซียวจิ้ง
เซียวจิ้งเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เจี่ยงหร่าน อย่างแผ่วเบา เอ่ยกับนางว่า"อาหร่าน เจ้าอย่าให้ความเกลียดชังกัดกินจิตใจเจ้าจนทุกข์ทรมานเลยนะ"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อครู่เพราะนางถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจมากเกินไป จึงทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ"ทำไมหรือสหายเซียว ท่านกลัวข้าถลำลึกเช่นนั้นหรือ""ข้ากลัวเจ้าไม่มีความสุข ข้าอยากเห็นเจ้ามีสุขไร้ทุกข์กังวล"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปอึดใจ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางกำลังจะถลำลึกจนถูกความแค้นกัดกินครอบงำจิตใจ ทว่าเซียวจิ้งกลับสามารถดึงนางขึ้นมาจากหลุมดำภายในจิตใจได้ทุกครั้งเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้าและงดงามยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเจี่ยงหร่านมีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาทันที"แม้นางจะตั้งครรภ์ แต่ได้ยินว่าระยะหลังมานี้สุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก มักจะอารมณ์เสียจนเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่นางมีโทสะเรื่องใดนัั้นคนของข้ายังสืบได้ไม่แน่ชัด"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ"สหา
댓글