“ฉันอะไร ต้องเรียกตัวเองว่าหนูไอสิ พี่ว่าเราเรียกกันแบบนี้ดูสนิทสนมกันดีนะ” ไอรักสูดหายใจเข้าปอดยาวๆก่อนจะผ่อนออกอย่างยากเย็น พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ เพราะคิดว่าถ้าพูดกับชายหนุ่มดีๆ เขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับไปส่งเธอที่บ้านก็ได้
“พี่ธีร์คะ หนูไอมีสามีแล้ว พี่ธีร์ไม่อายคนอื่นเค้าเหรอที่จะถูกตราหน้าว่าไปแย่งภรรยาของคนอื่นเค้ามา” ธีร์ภาณุไม่ได้หันมามองหน้าไอรัก แต่กลับพูดขึ้นว่า
“พี่บอกหนูไอแล้วไงว่าพี่ไม่ถือ แล้วอีกอย่างหนูไอก็ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับใคร ตามกฎหมายแล้วถือว่าหนูไอยังโสด นั่นก็แปลว่าพี่ไม่ได้ไปแย่งภรรยาของใคร”
ไอรักควันออกหูกับคำตอบที่ได้
“คุณธีร์ภาณุ นี่เราพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม คุณไม่เข้าใจเลยว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วจะมาแต่งงานกันได้ยังไง ฉันชอบสีอะไร ชอบทานอะไร ชอบดูหนังประเภทไหน คุณรู้ไหม...มันเป็นสิ่งที่คนที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต้องรู้ ถ้าเราแต่งงานกันไปชีวิตคู่ของเราต้องไปไม่รอดแน่ๆ”
“อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่าหนูไอไซซ์สามสิบสี่คัพซี” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะปรายตามองไอรัก หญิงสาวโกรธจนหน้าแดง เริ่มคิดได้ว่าตอนที่ชายหนุ่มเอาตัวเธอขึ้นรถ เขากอดเธอทั้งตัว นั่นยิ่งทำให้ไอรักแค้นใจจนพูดไม่ออก เธอยกมือขึ้นกอดอกนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่อ ธีร์ภาณุชำเลืองมองหญิงสาวแล้วยิ้ม
“น่าเสียดายแทนแฟนหนูไอนะ รู้ตัวไหมว่าหนูไอน่ะเวลาอยู่ใกล้แล้วหอมกรุ่น แถมตัวก็นุ่มนิ่มน่ากอด พี่ชักอยากให้ถึงวันแต่งงานเร็วๆแล้วล่ะสิ เอ...หรือว่าเราจะซ้อมฮันนีมูนกันก่อนดีนะ”
“คุณจะบ้าเหรอ”
“ไม่บ้าหรอกน่า หนูไอก็เคยๆอยู่แล้วนี่ แบบนี้ก็ดีนะพี่ชอบ ไม่ต้องสอนอะไรมาก” ไอรักพูดไม่ออก นึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด นี่แผนที่เธอคิดจะหลอกบิดากับมารดา เพื่อให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชนบ้าบอครั้งนี้ ทำไมมันกลับตาลปัตรไปหมด หญิงสาวสงบปากสงบคำไม่โต้ตอบ เพราะขืนพูดมากไปทุกอย่างก็ดูจะเข้าเนื้อตัวเองไปหมด
ไอรักไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้เข้าใกล้เธอมาก่อน เพราะด้วยความที่บิดาเป็นคนกำหนดทุกอย่าง ทำให้เธอแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน เธอตั้งใจเรียนอย่างที่บิดาต้องการ ไม่ร่วมกิจกรรมใดๆของมหาวิทยาลัย มีเพื่อนสนิทซึ่งก็เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คน ผู้ชายที่เธอคุยด้วยนับคนได้เลยล่ะ แล้วนี่อะไร บิดาตอบแทนการตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเธอ ด้วยการจับเธอแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่ได้รู้จักมาก่อน ก็ได้...เธออาจจะรู้จักมาก่อนตอนสมัยเป็นเด็กหญิงผมเปียตามที่บิดาบอกเล่า แต่เธอจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เลยสักนิด นั่นก็เท่ากับว่าเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลย ไม่ได้ เธอไม่ยอม เพราะฉะนั้นต้องคิดหาทางเอาตัวรอดให้ได้
“ฉันปวดท้อง”
“พูดใหม่ซิ” ธีร์ภาณุตอบกลับอย่างกวนๆ ไอรักถอนหายใจพร้อมกับค้อนขวับให้ชายหนุ่ม
“พี่ธีร์คะ หนูไอปวดท้องค่ะ ช่วยแวะปั๊มข้างหน้าให้ด้วยนะคะ” ธีร์ภาณุไม่ได้เลี้ยวเข้าปั๊มอย่างที่ไอรักบอก ชายหนุ่มยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนไอรักทนไม่ไหวจึงถามขึ้นว่า
“พี่ธีร์เมื่อไหร่จะจอดคะ”
เอี๊ยด!!! ธีร์ภาณุหยุดรถกะทันหันจนไอรักหัวคะมำ เธอหันขวับมองหน้าชายหนุ่มอย่างโกรธจัด
“ขับรถภาษาอะไรของคุณ ใบขับขี่น่ะซื้อมาหรือไง จะจอดรถก็ให้มันนิ่มนวลกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ แล้วอยู่ดีๆนึกจะจอดก็จอด”
“อ้าว...ปวดท้องไม่ใช่เหรอ ลงไปสิ” ธีร์ภาณุพูดพร้อมกับกดปลด ล็อกประตูรถ
“คุณจะบ้าเหรอ จะให้ฉันทำธุระส่วนตัวข้างถนนนี่นะ ประสาทหรือเปล่า”
“หนูไอ...พี่ไม่อยากให้เราเสียเวลานะ คุณพ่อกับคุณแม่รอเราอยู่ที่บ้าน ถ้าหนูไอยังพูดจากวนประสาทพี่อยู่อย่างนี้ แล้วก็งอแงเหมือนเด็กไม่รู้จักโต พี่จะจอดรถแล้วทิ้งหนูไอไว้ตรงนี้นะ” ไอรักฉีกยิ้มกว้าง ดีใจราวกับเด็กได้ขนมชิ้นโต
“งั้น...หนูไอขอตัวลงจากรถ เชิญพี่ธีร์ขับรถไปคนเดียวตามสบายเลยนะคะ” ไอรักเปิดประตูก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว แต่ช้ากว่าธีร์ภาณุที่ก้าวลงจากรถ แล้วเดินอ้อมมาประตูด้านที่เธอยืนอยู่ ก่อนที่ไอรักจะปิดประตูรถแล้วเดินหนีไป ชายหนุ่มใช้สองมือวางไว้ที่ตัวรถคร่อมร่างของไอรักไว้ กั้นไม่ให้หญิงสาวขยับตัวไปไหนได้ แล้วโน้มหน้าลงไปแทบจะชิดกับใบหน้าขาวนวลรูปไข่ แววตาจริงจังภายใต้แว่นกันแดดสีชามองสบตากับดวงตากลมโตที่ออกจะตื่นกลัวนิดๆ และได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกชายหนุ่มเข้าใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว
“เอ่อ...พี่ธีร์คะหนูไอไม่กวนแล้วค่ะ เชิญขับรถกลับบ้านคนเดียวให้สบายใจไปเลยนะคะ ส่วนหนูไอขอตัวค่ะ สวัสดีค่ะ” ไอรักพูดพร้อมย่อตัวจะลอดแขนชายหนุ่มเพื่อเดินหนี แต่ธีร์ภาณุกลับใช้แขนรวบเอวบางไว้แน่นหนา ในขณะที่แขนอีกข้างยังเท้าอยู่ที่ตัวรถ ไอรักใช้สองมือยันตัวไว้ให้ห่างจากแผ่นอกของชายหนุ่ม พร้อมกับร้องเอะอะโวยวาย
“ปล่อยนะ คุณจะมาฉวยโอกาสทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ” ธีร์ภาณุนิ่งเงียบ จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโต ผู้คนที่สัญจรไปมามองอย่างสนใจใคร่รู้...เรื่องของชายหนุ่มตัวโตกับหญิงสาวตัวเล็ก ที่กำลังกอดรัดกันอยู่ข้างถนน อีกฝ่ายดิ้นรนขัดขืนอีกฝ่ายกลับกอดรัดไว้แน่นอย่างจงใจ ไอรักเพิ่งสังเกตใบหน้าของชายหนุ่มในระยะชิดใกล้ แววตาจริงจังคิ้วเข้ม ใบหน้าสะอาดสีเข้มเล็กน้อยอย่างคนทำงานกลางแจ้ง มีไรของหนวดเคราขึ้นบางๆ จมูกโด่งรับกับใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากหนาได้รูปเวลาขยับพูดก็ดูแล้วเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์อยู่เหมือนกันนะ นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ ไอรักสะบัดหน้าไล่ความคิดที่ไม่ได้เรื่องของตนเองออกไป เชิดหน้ามองชายหนุ่มอย่างถือดี ไม่ได้รู้เลยว่าใบหน้านวลผ่อง พวงแก้มสีชมพูระเรื่อ แววตากลมโตกับจมูกรั้นนิดๆ และริมฝีปากบางของเธอ จะทำให้คนที่จ้องมองมาต้องถอนหายใจ เพราะต้องควบคุมตัวเองที่จะไม่ล่วงเกินเธอ ในขณะที่ยังไม่ถึงเวลา ต่างคนต่างจ้องตากันอย่างเอาเรื่อง “หนูไอ ขึ้นรถเดี๋ยวนี้” ธีร์ภาณุออกคำสั่งอย่างหัวเสีย เขาเริ่มเหนื่อยกับความดื้อรั้นของไอรัก หรือจะสั่งสอนตามแบบของเขาสักครั้งให้หลาบจำไปเลยดีไหมนะ
ธีร์ภาณุถอนหายใจ มองดูหญิงสาวที่นอนหลับตาพริ้ม เวลาที่เธอหลับตาก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก บางทีถ้าปรับความเข้าใจกันได้ และถ้าเขากับเธอได้คุยกันดีๆ มากกว่าการพูดหนึ่งคำแต่เถียงกันซะสามคำแบบนี้ อะไรก็คงจะดีขึ้น จะทำอย่างไรดีล่ะ ธีร์ภาณุยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อคิดแผนการบางอย่างได้ เขาขับรถต่อไปเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดี เมื่อถึงทางแยกก่อนจะถึง ‘ท่าข้าวธงชัย’ ชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางสายเล็กๆ ที่มีป้ายบอกทางไป... ‘ไร่แสงตะวัน’ โดยที่คนนอนหลับอยู่ข้างๆไม่ได้รู้ตัวเลยว่า จุดหมายปลายทางได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว“หนูไอตื่นได้แล้วครับ ถึงแล้ว” เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่ดังอยู่ข้างหู ปลุกไอรักให้ตื่นจากการหลับใหล “ถึงบ้านคุณลุงแล้วหรือคะ” ไอรักพูดพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นมอง ไปข้างหน้าแล้วก็หันมองรอบข้าง สุดท้ายหันไปจ้องตาผู้ชายตัวโต ที่ยืนอมยิ้มและจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว “นี่มันที่ไหน คุณพาฉันมาที่ไหนเนี่ย” เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็เริ่มก่อสงครามประสาทโวยวายทันที “ไร่แสงตะวัน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเปิดประตูก้าวลงจากรถ เขายืนบิดร่างกายเพื่อไล่ความเมื่อยที่นั่งขับรถมาเป็นเวลานาน ไอ
เมื่อเข้ามาถึงภายในบ้าน เธอจึงรู้ว่าประตูและหน้าต่างบานใหญ่แต่ละบานเป็นกระจกบานเลื่อน ผ้าม่านสีขาวนวลส่งผลให้ภายในบ้านแลดูสว่าง มีประตูด้านหนึ่งของบ้านเชื่อมต่อกับระเบียงกว้างๆที่มีโต๊ะกลมสีขาว พร้อมกับเก้าอี้อีกสองตัว มองเลยผ่านไปเห็นทิวเขาเป็นแนวอยู่ไกลๆ ไอรักเดินไปที่ระเบียงสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆแล้วผ่อนออกช้าๆ หญิงสาวคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองในวันนี้ นี่เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า เมื่อเช้าเธออยู่ที่บ้านของตนเอง แต่ตอนนี้เธอมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วทำไมเธอต้องมาที่นี่ด้วย เพราะอีตาธีร์ภาณุนั่นคนเดียว อยากจะร้องไห้เสียจริงๆ อยากจะบอกป๊าให้ได้รู้ว่า เจ้าบ่าวที่ป๊าเลือกให้ไม่ได้ถูกใจลูกสาวคนนี้เลยสักนิด“นายหญิงคะ เชิญข้างในเถอะค่ะ ย่างเข้าหน้าหนาวอย่างนี้พอแดดร่มลมตกอากาศจะเย็นมาก วันนี้ลมหนาวพัดแรง เดี๋ยวจะไม่สบายได้นะคะ” ป้าบัวพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง“ค่ะป้าบัว” ไอรักเหนื่อยมาทั้งวันแล้วเธอไม่อยากจะพูดอะไร ตอนนี้เธออยากพักผ่อน“ป้าเตรียมน้ำอุ่นให้แล้ว นายหญิงอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมาทานข้าวนะคะ ป้าจะทำกับข้าวให้สุดฝีมือเลยค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางด
เมื่อลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ และเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว ไอรักจึงคิดได้ว่า ตัวเองไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเลยสักชุด แล้วที่สำคัญไม่มีชุดชั้นในเลย แล้วนี่จะใส่ชุดไหนล่ะ หญิงสาวคิดอย่างอารมณ์เสียอยู่คนเดียวในห้องน้ำ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่มาพันตัว แล้วเปิดประตูเดินออกจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องรีบพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องน้ำเหมือนเดิม“พี่ธีร์เข้ามาทำไม แล้วป้าบัวล่ะ” ไอรักถามเสียงดัง แต่คนที่นอนเหยียดตัวยาวเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้าง ไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบเลยสักนิด ธีร์ภาณุพลิกตัวหันมามองไอรัก ที่ตอนนี้มีเพียงใบหน้าขาวนวลที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำ“จะยืนอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ธีร์ภาณุลุกขึ้นจากเตียงแล้วก้าวยาวๆมาทางไอรัก หญิงสาวรีบดึงตัวเองกลับเข้าไปในห้องน้ำ และตั้งใจจะปิดประตู แต่ช้ากว่ามือของชายหนุ่มที่ดันประตูไว้ได้ทัน“พี่ไม่ทำอะไรหรอก แค่จะมาบอกว่าให้รีบใส่เสื้อผ้า จะได้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน”“แล้วจะให้ใส่อะไรล่ะ ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยสักชุด อยู่ดีๆก็ถูกฉุดตัวมา” ธีร์ภาณุหัวเราะเบาๆ“ไม่ได้ฉุดมาสักหน่อย ป๊ากับแม่ของหนูไอเต็มใจยกหนูไอให้มากับพี่เอง
หญิงสาวเริ่มหยิบชุดออกมาเลือกทีละชุดแล้วเธอก็มาสะดุดตาที่ชุดชั้นใน ไอรักหยิบขึ้นมาดู แต่ละตัวมันเป็นขนาดที่พอดีกับตัวของเธอทั้งหมด นี่อีตาพี่ธีร์คงจะสั่งว่าเอาชุดแบบไหนและขนาดเท่าไรล่ะสิ คิดแล้วก็โมโหตัวเองที่สู้แรงของผู้ชายตัวโตไม่ได้“เจ็บใจนักคอยดูนะอย่าให้ถึงทีเราบ้างก็แล้วกัน ป๊านะป๊าไม่ได้เป็นห่วงลูกสาวบ้างเลย ปล่อยให้มากับใครก็ไม่รู้” ไอรักบ่นไปแต่งตัวไปไอรักแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเปิดประตูห้องนอน เดินไปทางประตูที่เปิดออกสู่ระเบียงกว้าง เมื่อเลื่อนกระจกเปิดประตูก็ปะทะกับลมเย็นวูบหนึ่ง หญิงสาวจึงยกมือสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองทันที ธีร์ภาณุที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วได้ยินเสียงปิดประตู เขาจึงละสายตาจากภาพตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าเบื้องหน้า หันกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาว“หนาวหรือครับหนูไอ”“นิดหน่อยค่ะ” ไอรักพูดพร้อมกับมองไปที่โต๊ะกลม ที่ตอนนี้มีอาหารหลายอย่างวางไว้ ส่งกลิ่นหอมน่ากินทั้งนั้น“กับข้าวน่ากินจังเลยค่ะ” ไอรักพูดพร้อมกับเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ โดยไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มเชิญ ธีร์ภาณุเดินอ้อมมาที่ด้านหลังไอรัก หยิบผ้าแพรผืนบางสีครีมที่วางอยู่บนโต
ป้าบัวถือถาดอาหารเดินนำหน้าเด็กหญิงน้อยหน่า ที่เดินตามหลังอย่างอ้อยอิ่งจนต้องถูกเรียก“น้อยหน่าเร็วๆเข้า” เมื่อถูกเรียกเสียงดังเด็กหญิงจึงรีบเดินตามหลังป้าบัวไป“ปล่อยค่ะ” ไอรักออกคำสั่งเสียงดุโดยไม่ได้มองหน้าชายหนุ่ม เมื่อน้อยหน่าปิดประตูกระจกบานใหญ่แล้ว ธีร์ภาณุปล่อยอย่างว่าง่าย ไอรักถอนหายใจ“หนูไอขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ” เธอไม่อยากจะก่อเรื่องทะเลาะกับผู้ชายตัวโตคนนี้อีกแล้ว เพราะดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเองทุกครั้ง ไอรักหมุนตัวก้าวเท้าเดินเร็วๆตรงไปเลื่อนเปิดประตูกระจก เพื่อจะเข้าไปในห้องนอน เธอปิดประตูล็อกอย่างแน่นหนา แล้วหันหลังกลับหวังว่าจะนอนหลับให้สบายบนเตียงกว้างแต่ก็ต้องตกใจ ความโกรธเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้งธีร์ภาณุกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า เขาค้นๆรื้อๆอยู่สักพักก็หันหน้ากลับมาเจอกับใบหน้าอันบูดบึ้งของไอรัก“พี่ธีร์เข้ามาได้ยังไงคะ”“ก็เดินเข้ามาทางนี้ไงจ๊ะ” ไอรักมองไปที่ประตูกระจกบานใหญ่ที่เชื่อมต่อกับระเบียง จริงสินะ บ้านหลังเล็กนี้มีระเบียงรอบบ้าน แล้วเธอก็ยังไม่ได้ปิดล็อกประตูระเบียงชายหนุ่มเริ่มถอดเสื้อผ้า เขาใช้ผ้าขนห
“นอนเถอะครับ พี่ไม่ทำอะไรหนูไอแน่นอน สัญญาครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเดินเข้าใกล้“ไม่เชื่อหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูไอไปนอนข้างนอกก็ได้” ธีร์ภาณุส่ายหน้าระอากับความดื้อรั้นของผู้หญิงตัวเล็กๆที่อยู่ตรงหน้า“แล้วจะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อ” ชายหนุ่มก้มหน้าถาม ใบหน้าแทบจะชนกัน ไอรักหลับตาปี๋หดคอลง และใช้มือยันแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มไว้“พี่ธีร์ถอยออกไปก่อนค่ะ หนูไออึดอัด” หญิงสาวพยายามจะเบี่ยงตัวออกให้ห่างจากชายหนุ่ม ที่ตอนนี้จ้องมองเธอด้วยแววตาแปลกๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เธอหวั่นใจ เธอเริ่มกลัวการอยู่ใกล้ๆเขา ยิ่งในห้องนอนมิดชิดอย่างนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไปร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้ล่ะไอรักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจติดขัด หัวใจเต้นโครมคราม“พี่ธีร์คะ กรุณาให้เกียรติหนูไอด้วยค่ะ” เธอพยายามพูดให้ดูเหนือกว่าเขา ชายหนุ่มถอยห่างจากไอรักสองสามก้าว เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย และผายมือไปยังเตียงกว้าง“ครับ...เชิญ”“พี่ธีร์คะ ตกลงว่าจะไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยใช่ไหม เรายังไม่ได้แต่งงานกันจะนอนร่วมเตียงร่วมห้องกันได้ยังไง” ชายหนุ่มยืดตัวเต็มความสูงยืนตรง เขายักไหล่ยิ้มที
“เชอะ! ใครจะไปสนใจ” หญิงสาวพูดเบาๆพร้อมกับก้าวเท้าลงจากเตียง เธอเดินตรงเข้าห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยเช้านี้ก็เป็นเช้าที่สดใสสำหรับเธอ เพราะไม่ต้องทนเห็นหน้าอีตาพี่ธีร์นั่นเมื่อจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จ ไอรักจึงเดินออกไปนอกระเบียง เพื่อรับประทานอาหารเช้า น้อยหน่าที่ยืนรอคอยบริการอยู่แล้วยิ้มแป้นพูดอย่างกระตือรือร้นว่า“เชิญค่ะนายหญิง น้อยหน่าเตรียมอาหารไว้รอแล้วค่ะ วันนี้ป้าบัวทำข้าวต้มกุ้งน่าทานมากเลยค่ะ” ไอรักยิ้มให้น้อยหน่าเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้“น่าทานจริงๆด้วยน้อยหน่า หอมจัง เออนี่แน่ะ...น้อยหน่าเรียกพี่ว่า พี่หนูไอก็ได้นะจ๊ะ” ไอรักพูดพร้อมกับยิ้มหวานส่งให้น้อยหน่า เด็กหญิงมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย“เราจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไงล่ะจ๊ะ ไหนลองเรียกพี่ใหม่ซิ”“เอ่อ...ค่ะ พี่หนูไอ” น้อยหน่าทวนเรียกชื่อไอรักพร้อมกับยิ้มแป้นแก้มแทบปริ ที่ได้รับสิทธิ์เรียกนายหญิงของไร่ว่าพี่ไอรักทานอาหารมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย น้อยหน่ายืนยิ้มมองดูไอรักทานข้าวต้มอยู่สักพักก็พูดขึ้นว่า“พี่หนูไอจะมาเป็นนายหญิงที่นี่ใช่ไหมคะ” ไอรักชะงักเล็กน้อยแต่ไม่ได
มือเล็กค่อนข้างสั่นเล็กน้อยขณะที่หยิบสิ่งของที่ต้องการออกจากกระเป๋า เธอเลือกใช้อันที่แกะออกจากซองแล้ว แต่พอหยิบอกมาดูก็เกิดอาการงง แล้วเขาใส่กันยังไง พลิกไปพลิกมาขยี้ขยำจนถุงยางอนามัยคลายตัวออกมา นั่นแหละใบหน้านวลถึงยิ้มออกมาได้เออ...อย่างนี้หน่อย ถึงพอจะคิดออกว่าใส่ยังไงน่านน้ำมองสิ่งของที่ถืออยู่ในมือสลับกับกลางกายของคนที่นอนนิ่งอยู่ หญิงสาวเลือกที่จะหลับตาก่อนจะยื่นมือออกไปเปิดผ้าขนหนู เพื่อเปิดเผยบางสิ่งที่เร้นลับเหลือเกินในความคิดของตัวเอง เกิดมาไม่เคยเจอไม่เคยเห็นมันจะเป็นยังไงหนอ ตาที่ปิดอยู่ค่อยๆหรี่ขึ้นมองช้าๆ“อุ๊ย!” น่านน้ำสะดุ้งสุดตัว เมื่อขณะที่กำลังจะชักมือกลับพร้อมกับลืมตาขึ้นทีละน้อยนั้น มือใหญ่ก็กำข้อมือเล็กของเธอไว้หมับ“ขอกอดหน่อย” อยู่ดีๆภูชิตก็ตวัดวงแขนเกี่ยวเอาร่า
หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กรองน้ำจากก๊อกน้ำอุ่นที่อ่างล้างหน้า ขณะที่ขยำและพลิกผ้าไปมาเพื่อให้เปียกทั่วทั้งผืน สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องสีดำเล็กๆวางอยู่ในกระจาดเล็กรวมกับของใช้จำพวกแชมพูครีมอาบน้ำในขวดเล็กๆ น่านน้ำโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ เห็นคนตัวโตยังนอนหลับอยู่ที่โซฟาจึงตัดสินใจวางผ้าผืนเล็กลงในอ่างล้างหน้า แล้วหยิบกล่องเล็กนั้นขึ้นพลิกไปพลิกมา ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันคือกล่องถุงยางอนามัย แต่ที่อยากรู้คือมันใช้ยังไง“อยากรู้ก็ต้องเปิดดูสิ” เมื่อบอกตัวเองดังนั้น น่านน้ำจึงจัดแจงแกะพลาสติกที่หุ้มกล่องอยู่ออก แล้วเอากล่องมาจ่อที่จมูก“ไม่มีกลิ่นแฮะ!” มือเล็กเปิดฝากล่องออกแล้วเทของที่อยู่ในกล่องออกมาเทบนเคาเตอร์“ตั้งสามอันแน่ะ เขาใส่กันทีเดียวสามอันเลยเหรอ” คนอยากรู้อยากเห็นจับของที่อยู่ในซองพลิกไปพลิกมาสำรวจทีละอัน ก่อนจะตัดสินใจฉีกซองแล้วจีบมือจับบางสิ่งบางอย่างออกจากซอง บางส
“ไปสิ คุณก็ควรจะพักผ่อนเหมือนกันนะ” ขายาวก้าวนำก่อน ขาเล็กจึงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินตาม หัวใจเต้นโครมคราม สมองกำลังคิดไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตัดสินใจถูกแล้วหรือนี่เรากำลังจะเต็มใจสูญเสียพรหมจรรย์ทิ้งไว้ที่นี่เหรอ เอาจริงใช่ไหม ถอยตอนนี้ทันไหม เอายังไงดีในขณะที่สมองทำงานอย่างหนัก น่านน้ำไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าประตูถูกปิดลงแล้ว และเธอก็ถูกจูงมานั่งบนเตียงกว้างกลางห้อง ภูชิตปล่อยมือบางแล้วเอนตัวลงนอนทันที ปล่อยหญิงสาวที่นั่งหลับตาปี๋รอคอยอย่างคาดหวัง เมื่อรอจนนานแล้วยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกาย ตากลมโตจึงเปิดขึ้น แล้วหันไปมองคนที่นอนหลับตาพริ้ม น่านน้ำไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือโล่งใจดี หญิงสาวหันรีหันขวาง ความเงียบรอบกายและอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้คนที่นอนน้อยตัดสินใจเดินตรงไปที่โซฟาตัวใหญ่ ร่างบางนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มแล้วเอนตัวลงนอน ไม่ถึงห้านาทีน่านน้ำก็เข้าสู่ห้วงนิทรา หลับสนิททันที&nbs
จริงจัง?“ผมหมายความว่ามันดูสมเหตุสมผลที่จะเอาคุณไปอ้าง” น่านน้ำถอนหายใจแรง ใจเต้นกับคำว่าจริงจังนี่สินะพรหมลิขิต เราต่างก็จริงจังต่อกัน“ก็ได้ค่ะคุณภูชิต น้ำถือว่ายังอยู่ในเนื้องาน” จะให้ตอบตกลงใบหน้ายิ้มแป้นก็กระไรอยู่ เป็นผู้หญิงมันต้องมีชั้นเชิง น้ำเสียงที่ใช้จึงค่อนข้างราบเรียบ“ไหน...เรียกใหม่ซิ”“ค่ะ...คุณภูขา” คนถูกเรียกกลั้นยิ้มไว้ภายใต้หน้าตานิ่งเฉย คนที่เอ่ยเรียกใจเต้นโครมคราม เมื่อคิดว่าสิ่งที่หวังใกล้ความจริงไปทุกขณะ“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคุณภูชิตจะมีคู่หมั้นแล้ว” กำนันช้างผู้
น่านน้ำมองตามแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับประตูห้องน้ำที่ปิดตามมา ประโยคที่เธอได้ยินก่อนที่ประตูห้องน้ำจะปิดสนิท ทำให้หญิงสาวรีบกระโจนลงจากเตียงกว้างทันที“ถ้าจะอาบน้ำพร้อมผมก็ตามเข้ามาได้เลยนะ ประตูไม่ได้ล็อก”ขาเรียวเล็กรีบพาเจ้าของร่างออกจากห้องกว้างทันที ภูชิตยื่นหน้าออกมาจากห้องน้ำ ทันเห็นหลังไวๆออกจากห้องไป เขาส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มกับตัวเอง“คนอะไรเนื้อนุ่มเนียนน่าฟัดไปทั้งตัว หึๆ”เมื่อคืนกว่าน่านน้ำจะข่มตานอนได้ก็ย่างเข้าสู่วันใหม่แล้ว เธอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง คิดทบทวนเรื่องราวตอนหัวค่ำ ทั้งๆที่แอบปลื้มเจ้านายหนุ่ม แต่ทำไมเมื่อเขารุกประชิดร่าง เธอกลับรู้สึกหวาดกลัว อย่างนี้อาจจะทำให้สิ่งที่เธอหวังไม่สำเร็จ เอาล่ะ...ต่อนี้ไปเธอต้อง
“เอ่อ...น้ำยอมแล้วค่ะ คุณภูชิตลุกขึ้นก่อนนะคะ” เสียงหวานอ้อมแอ้มบอกอย่างยอมจำนน คนที่ได้สัมผัสความนุ่มนิ่มถอนหายใจยาว เขายังไม่อยากลุก กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆทำให้ใจเต้นแรง และรู้สึกดีอย่างประหลาด“ลุกสิคะ” คิ้วเข้มเลิกสูง ไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไร น่านน้ำเหมือนจะเดาใจออกว่าชายหนุ่มสงสัย“ก็เดี๋ยวน้ำจะถอดชุดออกให้คุณภูชิตตรวจดูไง คุณภูชิตไม่ต้องลำบากมาถอดให้น้ำหรอกน่า” พูดอย่างใจกล้าแต่หัวใจแทบจะวายอยู่แล้ว ภูชิตยิ้มราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างร่างบาง รอดูว่าคนใจกล้าจะถอดเสื้อผ้าให้เขาตรวจสอบจริงๆไหมน่านน้ำยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า แววตาไม่มั่นใจฉายชัด หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ อย่างยากลำบาก มือเล็กค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเม็ดแรก ภูชิตมองตามใจเต้นรัว เขาเคยเห็นมาแล้ว และรู้ดีว่าภายใต้เสื้อผ้าที่บดบังร่างกายนี้อยู่
“ทำอะไรอยู่นะ” ภูชิตพูดเบาๆ เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของคนที่ทำให้เขาหมดอารมณ์ไปต่อกับสาวสวยไฟแรงหุ่นอวบอั๋น มือใหญ่ยกค้าง ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีไหม แต่เนื่องจากสมองยังคิดหาเรื่องราวจะคุยกับคนในห้องไม่ได้ ภูชิตจึงตัดสินใจลดมือลงหันหลังกลับ ไปเปิดประตูห้องของตนแทนเสียงเปิดปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้คนที่ยืนอยู่ระเบียงกว้างตกใจ เพราะน่านน้ำไม่ได้ยิน เธอยังคงดื่มด่ำอยู่กับภาพบรรยากาศตรงหน้า ภูชิตจัดการถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าเตรียมตัวอาบน้ำทันที ร่างแกร่งกำยำเปลือยเปล่ากำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ หากแต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะมุมห้อง“ว่าไงสิน” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์และเสียงทุ้มที่ได้ยินตามมาทีหลัง ทำให้คนที่แอบย่องเข้าห้องนอนอื่นสะดุ้งสุดตัว“คุณภูชิตกลับมาแล้ว เอาไงล่ะทีนี้” น่านน้ำเหลียวซ้ายแลขวา ชะโง
“สวัสดีค่ะคุณศศิพิมล” น่านน้ำยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร หากแต่คนที่ต้องรับไหว้กลับชักสีหน้าไม่พอใจเท่าไร“สวัสดีค่ะคุณน่านน้ำ” ร่างสมส่วนอวบอัดเดินเข้าใกล้ภูชิต มือเรียวจับจองคล้องแขนล่ำอย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ริมฝีปากสีสดแสนเซ็กซี่แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ภูชิตก้มลงมองแขนเรียวที่คล้องแขนตัวเอง แล้วสบตาเจ้าของมือเรียว ใบหน้านิ่งขรึมไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆออกมา เขาหันไปสบตาน่านน้ำอยู่ครู่เดียวก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน พร้อมกับร่างเย้ายวนที่พยายามเบียดกระแซะร่างของเขาจนแทบจะสิงกันอยู่แล้วเมื่อประตูห้องทำงานปิดลงหลังจากที่สองคนนั้นออกไปแล้ว น่านน้ำก้มลงมองหน้าอกตัวเอง มือเล็กกอดอกจับสองเต้าตัวเองแล้วถอนหายใจ“จะสู้เขาไหวไหมน่านน้ำ ซะบะละฮึ่มขนาดนั้น” น่านน้ำทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง และเริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังว่า หากต้องเพิ่
“พอทานได้ไหมครับ” คำถามจากภูชิต ทำให้น่านน้ำตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้ตัวว่าสายตาของตัวเองจ้องมองอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม หญิงสาวยิ้มแก้เก้อ เพราะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร“เอ่อ...ได้ค่ะ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะก้มลงรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง เพราะหิวหรือเพราะเขินอายที่แอบมองแล้วถูกจับได้ก็ไม่รู้“นายคะ วันนี้ของหวานมีลอดช่องน้ำกะทิ กับบัวลอยไข่หวาน นายจะรับอะไรดีคะ” ภูชิตกับน่านน้ำเงยหน้ามองหญิงสาวในชุดผ้าถุงและเสื้อยืดสีขาวรัดรูปเน้นทรวดทรง ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะอาหารที่ทั้งสองนั่งทานอยู่ ภูชิตพ่นลมหายใจออกเบาๆ นั่นเป็นสิ่งที่น่านน้ำสังเกตเห็นแวบเดียวเท่านั้น“คุณน้ำทานอะไรดีครับ” ภูชิตไม่ตอบคำถามของหญิงสาวที่ยืนยิ้มส่งสายตาวิบวับให้ตนเอง แต่กลับหันมาถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าแทน