LOGINร่างบางล้มตัวลงนอนหยิบนิตยสารของประเทศซากวัยมาอ่าน ประเทศซึ่งไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจนัก แต่ทว่าเหตุใดมันถึงมีมนต์ขลังกับเธอนัก เพียงแค่เห็นเมืองไฮดริกยามราตรี มันช่างสวยงามจนแทบอยากเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น ผ่าจันทราสถานท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อ หากคู่รักใดได้ไปอธิฐานที่นั้นล้วนแต่สมหวัง พระจันทร์ดวงกลมส่องแสงนวลผ่อง เหนือหน้าผาความสูงนับร้อยเมตร แค่เพียงคิดก็ทำให้ตื่นเต้นเสียจนนอนแทบไม่หลับแล้ว
และที่สำคัญกว่านั้น กษัตริย์แห่งประเทศมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาหนักหนา เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีอำพัน คิ้วเข้มหนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนาได้รูป ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยว ผมสีดำสนิท เขาว่ากันว่าพระองค์ทรงหล่อเหลาจนหญิงสาวใดได้พบเห็นต่างมอบใจให้ แต่สำหรับนิลลนาเธอไม่ได้สนใจต่อตัวพระองค์เลยสักนิด แค่เพียงต้องการท่องเที่ยวในประเทศนี้เท่านั้น พรุ่งนี้เธอจะขอบิดาเพื่อเดินทางแค่ครั้งเดียวในชีวิต อยากไปมากจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร
เกือบเก้าโมงเช้า คนขี้เซาขยับลุกจากเตียงกว้าง อ้าปากหาวบิดกายขับไล่ความเมื่อย เอี้ยวตัวหันมองนาฬิกาหัวเตียง มือบางยกปิดปากสีหน้าตกใจ ไม่คิดว่าตนเองจะหลับยาวถึงขนาดนี้ สะบัดผ้าห่มรีบหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว คนตัวเล็กวิ่งลงบันไดจนถึงห้องอาหาร มารดามองมาสีหน้าตำหนิ เพราะเห็นบุตรสาวกระโตกกระตากไม่เรียบร้อย
“ตื่นแล้วเหรอนิล แล้วทำไมไม่เดินลงมาดีๆ วิ่งทำไม โตแล้วนะลูก”คนเป็นแม่สอนทันที
“ขอโทษค่ะแม่ พอดีนิลรีบคิดว่าพ่อกับแม่รอ”เธอยิ้มเก้อแล้วเลื่อนเก้าอี้ไม้สักมานั่งเคียงบิดา
คนเป็นพ่อหันมองบุตรสาวแล้วยิ้ม
“ทานข้าวก่อนสิลูก พ่อจะได้คุยกับนิลเรื่องอนาคตด้วย”
นิลลนาหน้าเหี่ยวลงทันใด อนาคตอีกแล้วเหรอ ถ้าหากมีน้องสักคน หรือพี่ก็คงดีไม่น้อย พ่อแม่จะได้ไม่พากันคาดหวังในตัวเธอขนาดนี้
ข้าวต้มทะเลถูกตัดใส่จาน คนจิตตกตักใส่ปากอย่างฝืดคอ ครุ่นคิดจนลูกตากรอกไปมาเพราะไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาทำให้บิดามารดายินยอม ควรทำอย่างไรดี พ่อเป็นคนมีเหตุผลแต่แม่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่ถ้าพ่อยินยอมแม่จะไม่กล้าขัด ริมฝีปากบางเม้มสนิทคิ้วขมวดย่นจนวิชยุทธสังเกตเห็น
“เป็นอะไรเหรอลูก ดูขมวดคิ้วเสียยุ่งเชียว”
เมื่อเห็นพ่อเปิดทาง คนตัวเล็กวางช้อนตีหน้าเศร้าซึม เอี้ยวกายโอบกอดบิดาไว้
“พ่อคะ นิลเรียนมาตลอดชีวิตแล้วนะคะ ตอนนี้นิลอยากพัก ขอเวลาสักสองเดือนแล้วนิลค่อยหางานทำได้ไหมคะ”เธออ้อนบิดาเสียงหวาน คนเป็นแม่มองลูกแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“จะพักอะไรตั้งสองเดือนกันนิล มันนานเกินไป อาทิตย์สองอาทิตย์ก็พอแล้ว ถ้าไม่หางานทำเดี๋ยวคนอื่นจะว่าเอาว่าเราน่ะ เกาะพ่อแม่กินรู้ไหม”คนเป็นแม่รีบสกัดเสียก่อน ไม่อยากให้ลูกเสียเวลาโดยใช้เหตุ ลูกคนอื่นจบมาต่างทำงานกันทั้งนั้น แถมหน้าที่การงานค่อนข้างดีเสียด้วย ไม่อยากให้ลูกน้อยหน้า
“จะเป็นไรไปคุณ ให้ลูกพักบ้างเถอะ เรียนจบเกียรตินิยมมานับว่าดีแล้ว”เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“จริงเหรอคะพ่อ!”
“จริงสิ นิลอยากพักก็พักเถอะพ่อไม่ว่า”
เธอหยัดกายออกจากอ้อมแขนบิดาแววตาทอประกาย
“ถ้าอย่างนั้นนิลอยากขออีกเรื่องได้ไหมคะพ่อ”
“เรื่องอะไรเหรอลูก?”เขามองบุตรสาวสีหน้าสงสัยเต็มที่ ปกติลูกคนนี้ไม่ค่อยขออะไร เป็นเรื่องการเรียนเสียส่วนมาก
นิลลนาเม้มริมฝีปากมองแม่เห็นส่งสายตามาราวกับต้องการจับผิด จึงหันมาสบตาบิดาแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความกล้า ก่อนผ่อนออกมาเพื่อคลายอารมณ์
“พ่อคะ นิลอยากไปเที่ยวที่ประเทศซากวัยค่ะ”เธอโพลงออกมาในที่สุด
“ไม่ได้นะ แม่ไม่ยอม!”นิราพรสวนกลับทันควัน
“พ่อคะ นิลเรียนจบแล้ว นิลแค่อยากพักผ่อน ต้องการอิสระสักครั้ง นะคะพ่อนิลสัญญาว่านิลจะกลับมาทำงานตามที่พ่อกับแม่ต้องการ”เธอพยายามอ้อนวอน
คนเป็นพ่อนิ่งเงียบครุ่นคิดสีหน้าค่อนข้างหนักใจ
“ทำไมลูกถึงอยากไปที่นั้นล่ะนิล ประเทศอื่นมีเยอะแยะ”
“เพราะที่นั้นสวยมากค่ะ แถมนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าไหร่ มันเหมือนเราได้ไปเปิดหูเปิดตาประเทศเขาเป็นคนแรก”คนเป็นลูกตอบพร้อมรอยยิ้มระบายในหน้า
“นิลจะไปกับใครเหรอ”
นิลลนาชะงักความจริงอยากท่องเที่ยวคนเดียว ยัยเพื่อนตัวดีอย่างดาริกาไม่ชอบแพ็คกระเป๋า ติดหรูเสียอย่างนั้นคงไม่ยอมไปตกระกำลำบากมองผืนทรายใต้แสงดาวกับเธอแน่ แล้วควรทำยังไงดี
“นิลว่าจะไปกับดาค่ะพ่อ”นิลลนาโกหกคำโต
วิชยุทธคิดอีกครั้ง ด้านภรรยาเองรอคำตอบใจจดใจจ่อ เธอไม่อยากให้ลูกไปไหนไกลใจมันอดห่วงไม่ได้
“ก็ได้ลูก พ่ออนุญาต แต่พ่อให้เวลาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนะ”
“ขอบคุณมากค่ะพ่อ”หญิงสาวบอกแล้วโอบกอดบิดาอีกครั้ง
“จะดีเหรอคะคุณ”นิราพรขัดขึ้น
“ปล่อยๆ ลูกไปบ้างเถอะคุณ อย่ากดดันมากเลย ปล่อยให้แกได้รับอิสระบ้าง”
นิราพรจำต้องเงียบ เธอคงต้องยอมตามความต้องการของสามี กลับมาจากท่องเที่ยวเมื่อไหร่เห็นทีต้องจัดระเบียบลูกใหม่เสียแล้ว
หลังจากพูดคุยกับบิดาเสร็จคนตัวเล็กรีบขึ้นห้องเพื่อติดต่อเพื่อนสาวทันที หากดาริกาไม่ยอมเดินทางไปด้วยเห็นทีต้องทำให้ยอมร่วมมือ
“ว่าไงยัยนิล”ดาริกากรอกเสียงตามสาย
“ดา ฉันอยากเจอแกอะ”
“มีอะไรอีกล่ะทำเสียงแบบนี้”คนฟังเริ่มสงสัย
“มีนิดหน่อย แกออกมาเจอฉันหน่อยนะ พรุ่งนี้ได้ไหมร้านกาแฟเจ้าเดิม”
ดาริกาฉุดคิดบางอย่างทุกวันนี้ตนเองแทบจะบ้าตายเพราะพี่ชาย เอาแต่พร่ำพรรณนาต้องการเจอหน้าเพื่อน รบเร้าทุกวันเล่นเอาเธอเหนื่อย ไม่กล้าติดต่อนิลลนาเพราะเกรงเพื่อนจะโกรธ แต่คราวนี้ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะพอดิบพอดี
“ฉันออกไปหาแกก็ได้นิล แต่ว่าฉันต้องเอาพี่นัทไปด้วยนะเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปสมัครงานที่บริษัทพี่เขาอะ”
ปลายสายชะงัก พี่ชายเพื่อนงั้นเหรอ คราวที่แล้วยังจดจำสายตาคู่นั้นได้ดี มันบ่งบอกถึงความนัยบางอย่าง แต่หากไม่ไปก็คงพลาดเรื่องการเดินทาง เป็นไงเป็นกันเธอคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก ก็แค่สายตาของคนอื่นมองมาเหมือนเคยๆ
“ก็ได้ๆ แล้วเจอกันนะดา”นิลลนายอมรับคำขอเพื่อน ก่อนตัดสายลง
หญิงสาวหยิบกระเป๋าสีครีมขึ้นสะพายบนไหล่แล้วลงจากชั้นบน ผู้ให้กำเนิดสองคนมองตาม นิลลนารีบสาวเท้าเข้ามาหา
“พ่อคะแม่คะ เดี๋ยวนิลออกไปหาดาก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก”วิชยุทธอนุญาต “แล้วขับรถดีๆ นะนิล”
“ค่ะพ่อ”
ร่างบางรีบก้าวยาว ไปยังรถบีเอ็ม ของขวัญสมัยเรียนที่พ่อซื้อให้ เธอเปิดประตูนั่งประจำที่คนขับ แล้วเคลื่อนมันออกจากรั้วบ้าน ราวครึ่งชั่วโมงถึงหน้าร้านกาแฟบรรยากาศอบอุ่น ด้านหน้าเป็นระเบียงไม้ค่อนข้างร่มรื่น เพราะมีไม้ใหญ่ขึ้นให้ร่มเงา เดินผ่านเข้ามาประตูร้านป็นกระจกรวมถึงหน้าต่าง
ดวงตาเรียวสวยกวาดมองรอบๆ เพื่อหาเพื่อนเห็นโบกมือทักทาย นิลลยายิ้มกว้างเดินตรงไปหาทันที พอจวนถึงเท้าหยุดชะงักเมื่อเห็นพี่ชายเพื่อนอีกคน
“สวัสดีค่ะ”เธอยกมือกระพุ่มไหว้นัทพล
“สวัสดีครับ”นัทพลระบายยิ้มจ้องมองใบหน้าของเพื่อนน้องไม่วางตา
“นั่งเลยยัยนิล นัดมามีอะไร”
เธอนั่งตามคำเชิญเพื่อน รับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่มผู้ร่วมวงมองมาบ่อยๆ
“ดา ฉันมีเรื่องอยากให้แกช่วย”นิลลนาเริ่มเข้าเรื่อง
“เรื่องอะไรเหรอ”ดาริกาแสดงสีหน้าอยากรู้ ร่วมถึงพี่ชายอีกคน
นิลลนาลังเลเล็กน้อย แต่เธอจำต้องให้เพื่อนช่วยจริงๆ
“คือ... แกจำได้ไหมว่าก่อนจบฉันเคยบอกแล้วว่าอยากทำอะไร”
คนฟังพยักหน้า อดรำคาญไม่ได้ที่คนพูดไม่ยอมบอกให้หมดเสียที
“แกมีอะไรก็เล่ามาเลยยัยนิล!”ดาริกาเร่ง
“ฉันอยากไปเที่ยวประเทศซากวัย!”
ดาริกาหยัดตัวตรงแล้วระบายลมหายใจ ในคำพูดอยากไปเที่ยวแล้วตามตัวมาเช่นนี้ แสดงว่าเพื่อนตัวแสบคงหาข้ออ้างอะไรเกี่ยวกับตัวเธอแน่นอน
“แล้ว... มันเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอนิล”
คนถูกถามรีบกุมมือเพื่อนแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
“ดา ฉันบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าแกจะไปด้วย”
“อะไรนะ!”ดาริการ้องลั่น จนลูกค้าในร้านหันมองเป็นตาเดียว
นัทพลแตะแขนน้องสาวยกนิ้วชู้แตะริมฝีปากตนเองเพื่อเตือนไม่ให้ส่งเสียง ดาริกาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นแผ่วเบา
“แกกำลังคิดอะไรอะนิล แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ชอบอากาศร้อน ที่นั้นมีดีตรงไหนมีแต่ทราย”
“สวยจะตายดา ไปด้วยกันเถอะนะ”
“โนเวย์ ไม่มีทางฉันไม่ไปเด็ดขาด มีแต่ดินแต่ทรายแถมเพิ่งเปิดประเทศจะมีพวกโจรหรือเปล่าก็ไม่รู้”คนพูดเบ้ปาก ลูบแขนตนเองขนลุกเกรียว
“จะบ้าเหรอไงยัยดา ประเทศนั้นเขาเจริญแล้วนะ แกนี่เอาข่าวมาจากไหน”
“ก็ฉันเห็นข่าวในหนังสืออะ เห็นว่ายังมีพวกโจรปล้นสะดมอยู่เลย”
นัทพลคันปาก นี่อาจเป็นโอกาสทำให้ตนเองทำความรู้จักกับเพื่อนน้องสาวก็เป็นได้
“ทำไมดาไม่ไปล่ะ เดี๋ยวพี่ไปด้วย”นัทพลยื่นข้อเสนอ
เธอถูกวางหน้าฉากแล้วทรงหยิบเสื้อผ้าในตู้ส่งให้ นิลลนารีบเปลี่ยนแล้วเดินออกมา คิ้วบางขมวดด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะทรงทำอะไร ทรงเอื้อมพระหัตถ์กุมมือเธอไว้แล้วรั้งให้เดินตามทหารหน้าตำหนักรีบก้าวติด ทรงหันพระวรกายแล้วตรัสสั่ง“ไม่ต้องตามมา”“แต่ฝ่าบาท”ทหารสองนายไม่อาจละเลยหน้าที่“ได้ยินที่เราสั่งไหม”“พะยะค่ะฝ่าบาท”นิลลนาถูกพามาถึงคอกม้าหญิงสาวยืนมองด้วยความแปลกใจ ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรดึกคื่นป่านนี้ยังจะพาขี่ม้าเที่ยวอีกอย่างนั้นหรือ“ฝ่าบาทจะทรงไปไหนหรือเพคะ ดึกมากแล้ว”หญิงสาวพยายามปราม บทพระองค์จะทรงห่ามก็ทำอะไรไม่ฟังใครเลย“เราจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง เจ้าต้องชอบมากแน่”ม้าสีขาวขนาดใหญ่ถูกรั้งออกมาจากคอก ท่าทางมันดูไม่ค่อยคุ้นชินกับคนสักเท่าไหร่ แต่กับฝ่าบาทดูเชื่องอย่างประหลาด“มันชื่อสปีด เป็นม้าที่วิ่งเร็วและมีพละกำลังมากแต่ค่อนข้างไม่คุ้นกับใคร มีเราขี่มันได้คนเดียว”ทรงขึ้นขี่ม้าแล้วยื่นพระหัตถ์มาให้เธอจับนิลลนาลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็จำยอม เอวบางถูกรวบบังเหียนกระตุกม้าเริ่มวิ่งออกนอกอาณาเขต ทรงเคลื่อนม้ามายังผืนทรายกวางยามค่ำคืนอากาศเริ่มหนาวแต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นภายใต้อ้อมพระกรของพระอง
ทรงทอดพระเนตรนาฬิกาฝาผนัง บ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทรงหยุดพระหัตถ์ซึ่งกำลังทรงพระอักษร บิดพระวรกายเพื่อไล่ความขบเมื่อยแล้วลุกยืน คำพูดของนางยังคงดังก้อง ค่ำคืนนี้จะเสด็จไปเยือนตำหนักบุปผชาติ และนิลลนาจะต้องเป็นของพระองค์เพียงคนเดียว องครักษ์คู่กายในวันนี้ไม่ใช่อัสลัน พระองค์ต้องการให้พักผ่อนเพราะคงเจอเรื่องเครียด ทรงสาวพระบาทตามทางเดินอันมีแสงไฟสีส้มอ่อนสลัวๆ ตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงทอดพระเนตรหิ่งห้อยซึ่งกำลังล่องลอย บางครั้งในพระอุระรู้สึกแน่นขึ้นมาการเกิดเป็นกษัตริย์นั้นทำให้พระองค์ต้องทรงเด็ดขาด เรื่องส่วนตัวมาทีหลัง เคยเหงา เหว่หว้าเปล่าเปลี่ยนแต่กลับทรงคิดเรื่องเหล่านั้นได้ชั่วระยะเดียวเท่านั้น เมื่อต้องหันกลับมาทอดพระเนตรประชาชนอีกมากมาย บางครั้งพระองค์อยากทรงหนีไปให้ไกลให้พ้นสภาวะกดดัน อยากอยู่ในที่สงบเงียบไม่มีผู้ใดรบกวน อยากมีใครสักคนร่วมมองฟ้าดูดาวด้วยกันตลอดจนชั่วชีวิตตำหนักบุบผชาติมีแสงไฟเปิดตลอดเส้นทาง ทรงเสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนักข้ารับใช้รีบเปิดให้ ทหารทำหน้าที่ยืนยามด้านหน้า ร่างบางในชุดนอนสีขาวแนบกายยืนสั่นสะท้านทั้งที่เตรียมตัวเตรียมใจเหตุใดถึงยังหวาดกลัว ทันที่ประ
“ถ้าฉันสั่งให้พวกเธอทำ จะทำหรือเปล่า ถ้าหากต้องโทษฉันจะรับเอง!”เห็นข้ารับใช้ในตำหนัก ชวนให้หงุดหงิด ร่างบางสาวเท้าตรวจอาหาร ไม่มีใครทำเธอจัดการเองก็ได้“จัดอาหารมา ที่เหลือฉันจัดการเอง!”ฮายิรีบจัดแจงช่วยบรรดาป้าๆ ในครัวจัดอาหารใส่ถาด นิลลนารับแล้วก้าวยาวไปยังห้องของนาเดียทันที ประตูห้องเปิดออก เธอวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะหัวเตียง นาเดียขยับกายหันมองด้วยความตกใจ“เกิดอะไรขึ้นคะ!”“นาเดีย ฉันพยายามขอร้องให้คนในตำหนักช่วยแล้วล่ะแต่ไม่ได้ผล เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ายังไงก็ไม่มีใครเต็มใจยกอาหารมาให้น่ะ”คนฟังแววตาหม่นลง ไม่คิดว่าพระสนมจะลงมือยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง“ทำไมคุณถึงต้องลงทุนยกมาเองด้วยคะ ถ้าฉันพอลุกได้ ไปหาทานในห้องเครื่องเองก็ได้ค่ะ”“พูดแบบนี้อีกแล้วนาเดีย ไม่อยากเถียงด้วยแล้วทานเถอะ”นาเดียรับช้อนแล้วตักอาหารเข้าปากน้ำตาคลอ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงต้องนอนซมในห้องไม่มีคนดูแล พระสนมดีกับเธอเช่นนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว ไม่อยากให้นางจากไปเลยก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างบางรีบสาวเท้ามาเปิดเห็นราชองครักษ์หนุ่มยืนอยู่ ในมือถือบางอย่าง“เอ่อ...”อัสลันอึกอัก“มีอะไรหรือเปล
ร่างบางลุกยืนแล้วหุนหันวิ่งออกนอกห้องโถงทันที กษัตริย์มาซาฮาฟทอดพระเนตรแผ่นหลังบอบบางแล้วหรี่พระเนตรลงครุ่นคิดบางอย่าง นิลลนารีบเปิดประตูห้องข้ารับใช้คนสนิทเห็นร่างอรชรนอนคว่ำหน้าบนเตียงเสียงสะอื้นยังดังแว่ว ร่างบางรีบทรุดกายลงข้างเตียงน้ำตาเอ่อ“นาเดีย...”เธอเรียกชื่อข้ารับใช้เสียงแผ่วครั้นได้ยินเสียงเรียกเธอรีบพลิกกายเพื่อหันมอง แต่ทว่าร่างกายอันบอบช้ำไม่อำนวย“โอ้ย!”“อย่าขยับนาเดีย ไม่เป็นไรไม่ต้องหันมาหรอก”“ฉันขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน ทำให้คุณต้องฝืนใจยอมฝ่าบาท”“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะนาเดีย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้นาเดียเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัว”นิลลนาบอกเสียงเครือ“คุณไม่ผิดหรอกค่ะที่คิดอยากหนี นาเดียเองก็อยากให้คุณได้กลับบ้าน แต่นาเดียไม่มีอำนาจมากพอจะช่วยเหลือคุณ ขอโทษนะคะทั้งที่คุณมองนาเดียเหมือนเพื่อนคนหนึ่งแท้ๆ แต่นาเดียกลับทำให้คุณต้องเสียสละตัวเอง”ยิ่งพูดยิ่งเหมือนตัวเองทำให้เจ้านายต้องทุกข์ทรมาน เธอรู้สึกผิดมากจริงๆ ที่เกิดมาต่ำต้อยไม่อาจช่วยเหลือใครได้นิลลนาโน้มกายโอบกอดเพื่อนสาวด้วยความปวดร้าว เธอไม่เคยคิดเลยว่าข้ารับใช้คนสนิทจะรู้สึกกับเธอเช่นนี้ ถูก
นิลลนาช้อนสายตามองแววตาแค้นเคือง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว“เรื่องนี้หม่อมฉันผิดคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยว ฝ่าบาททรงปล่อยคนอื่นไปได้ไหม!”“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับข้าด้วยเหรอนิลลนา”“หม่อมฉันไม่ได้ต่อรอง เพียงแค่ร้องขอต่อฝ่าบาทเท่านั้น”หญิงสาวตอบกลับน้ำเสียงแข็ง“นี่หรือคือการร้องขอ”ทรงเลิ่กพระขนงเพื่อเปิดศาสน์ท้ารบต่อสตรีตัวเล็กด้านหน้าริมฝีปากบางเม้มสนิทข่มกลั้นความรู้สึกในอกเอาไว้ หากตัวคนเดียวเธอคงโวยวายไม่กลัวตายไปแล้ว แต่ทำไม่ได้เพราะมีหลายชีวิตพ่วงท้ายมาด้วย“ฝ่าบาทต้องการอะไรจากหม่อมฉันหรือเพคะ ในเมื่อพระองค์มีสตรีมากมายคอยปรนนิบัติจะเสียหม่อมฉันไปสักคนจะเป็นไรไป”เธอบอกแล้วกวาดตามองรอบห้องโถงซึ่งล้วนแล้วแต่มีหญิงงามมากมายยืนห้อมล้อมอยู่“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าต้องการอะไร เจ้าก็คือเจ้านิลลนา คนอื่นมาทดแทนไม่ได้ ถ้าหากทดแทนได้ข้าจะกักขังเจ้าไว้ทำไมอีก”คำตรัสทำเอานางสนม และบรรดาหญิงสาวถวายตัวกัดฟัน อารีมากำมือแน่นด้วยความปวดร้าวในอก ทรงยังไม่รู้พระองค์อีกเหรอว่าทำไมถึงได้รั้งหญิงชาวไทยนางนี้ไม่ยอมปล่อย ไม่อยากเชื่อเลยว่าฝ่าบาทจะทรงปันใจให้นาง แล้วเธอเล่าเป็นตัวอะไร
“ไม่เป็นไรหรอกเรายินดี”หญิงสาวหันมองนาเดียแล้วกุมมือไว้แน่น“นาเดียฉันไปก่อนนะ สักวันเราคงได้พบกัน”“รักษาตัวดีๆ นะคะ”นาเดียบอกเสียงเครือ น้ำตาเอ่อ“จ้ะ”รถถูกเปิดประตูออกนิลลนารีบขึ้นนั่ง ทหารทำหน้าที่ขับเคลื่อนออกจากบริเวณนั้นทันที นาเดียสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยผสมความหวาดหวั่นใจ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องราวคงลุกลามใหญ่โต เธออาจต้องโทษประหารก็เป็นได้“กลับเข้าด้านในกันเถอะ เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”อารีมาสั่งเสียงเด็ดขาด“พะยะค่ะพระสนม”“ได้ยินหรือเปล่านาเดีย”นาเดียชะงักหันมองแล้วถอนสายบัว “เพคะพระสนม”ผู้ร่วมแผนการสาวเท้าไปยังวังหลังเตรียมแยกย้ายกัน แต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อแสงไฟสาดส่องทั่วบริเวณตามด้วยทหารจำนวนมากยืนล้อมอยู่ อารีมาปากสั่นใบหน้าซีดเผือด อัสลันก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าทุกคนก่อนลอบชำเลืองนางในดวงใจ“ท่านกำลังทำอะไรอัสลัน นี่พระสนมเอกกล้าดียังไงขวางทาง”ข้ารับใช้คนสนิทรีบประกาศ“ที่กระหม่อมกล้าเพราะมีราชโองการจากฝ่าบาทมาพะยะค่ะพระสนม”อัสลันกางราชโองการทันที สนมเอกแทบทรุดกองกับพื้น“ข้าทำอะไรผิดพวกเจ้าถึงมาจับตัวเช่นนี้”อารีมายังคงหาทางรอด“พระสนมเอกน่าจะรู้อยู่แก่







