LOGINนิลลนาหันมองพี่ชายเพื่อน รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และเธอไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น หากต้องเดินทางด้วยกันขอปลีกไปคนเดียวดีกว่า เธอไม่คิดชอบพอกับเขาเลย
“พี่นัทจะไปเหรอ?”ดาริกาถามพี่ชาย
“ใช่ ก็จะได้ไปเป็นเพื่อนนิลไง”
“แน่ใจแล้วเหรอคะพี่นัท งานพี่เยอะไม่ใช่หรือไงจะลาได้เหรอ”
ฟังบทสนทนาแล้ว นิลลนาอึดอัดหากไม่ไปแค่แสดงละครก็ได้ ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วย เห็นว่าเพื่อนสาวยังว่างไม่ได้หางานทำเลยชวน แต่ดูท่าจะเหลว
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนนิลหรอก” นิลลนารีบบอก “เอาแบบนี้แกแกล้งทำเป็นว่าไปกับฉันหน่อยได้ไหมยัยดา”
“อะไรนะ แกจะบ้าเหรอนิล จะให้หลอกพ่อแม่แกด้วยเหรอ!”
มือสองข้างยกพนมเพื่อขอร้อง ดาริกาเมินมองทางอื่นเพราะไม่อยากโดนผู้ใหญ่ตำหนิ หากร่วมมือแล้วพ่อแม่เพื่อนรู้ความจริงมีหวังโดนถล่มจนเละเทะไม่มีชิ้นดีแน่
“ช่วยฉันหน่อยนะดา ฉันอยากไปจริงๆ พ่ออนุญาตแล้วด้วยขอแค่มีแกไปเป็นเพื่อนเท่านั้น”
“แกอย่ามาโยนขี้ให้ฉันสินิล ถ้าพ่อแม่แกรู้ว่าฉันโกหกมีหวังโดนยำเละแน่”
“ถ้างั้นแกก็ไปกับฉันสิ”นิลลนายื่นข้อเสนออีกครั้ง
“ไม่เอาหรอก มันร้อนแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบอากาศร้อน”
“ร้อนตรงไหน กลางคืนออกจะหนาว อีกอย่างเราพักกันที่โรงแรมในตัวเมืองนะไม่ได้นอนกลางดินกินกลางทรายเสียหน่อย”
“เดี๋ยวพอถึงเวลาแกก็พาฉันตะลอนๆ เที่ยวนอนกลางทะเลทรายอีกน่ะสิ ตอนเข้าค่ายอาสาก็ทีหนึ่งแล้วหลอกฉันได้ว่ามีห้องพักอย่างดี ที่ไหนได้กางเต็นท์นอน ยุ่งก็กัด แถมแมลงเต็มไปหมด อากาศก็ร้อนอีกจนฉันแทบจะกลับบ้านเสียตอนนั้นเลย!”
คนถูกคอนแคะหน้าเจือน ก็ตอนนั้นคนไม่มีเลยต้องลากเพื่อนไปด้วย ถ้าไม่ครบทางมหาวิทยาลัยไม่ให้ออกค่าย ความจริงก็รู้อยู่ว่าผิด แต่เรื่องตอนนี้มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้เหรอดา...”เธอเริ่มส่งเสียงออดอ้อน
“ไม่ไปหรอก ฉันกำลังจะสมัครงานแล้วนิล แกก็ควรทำเหมือนกันนะ”
นิลลนาหน้างอมองเพื่อนแววตาตัดพ้อ
“แค่ช่วยก็ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้!”
“ก็ได้ จำไว้เลยดา”นิลลนาลุกยืนสะพายกระเป๋าสาวเท้าหนีไป
นัทพลมองตามสีหน้าตื่นตระหนกแล้วหันมาทางน้องสาวส่ายหน้าด้วยความงุนงง ตกลงมันยังไงกันแน่ แต่เห็นน้องนั่งเม้มริมฝีปากท่าทางคิดหนัก
“ดาจะเอายังไง นิลโกรธแล้วนะ”
“รู้แล้วน่าพี่ ขอคิดก่อน”ดาริกาตอบเสียงห้วน
สุดท้ายอดรนทนไม่ได้ดาริการีบวิ่งออกนอกร้านติดตามจนกระทั่งจับข้อมือเพื่อนไว้ แล้วระบายลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ก็ได้นิล ฉันจะช่วยแก”
นิลลนาตาโตรีบโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความยินดี ในที่สุดสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานกำลังจะเป็นจริงแล้ว
“ขอบใจมากนะดา”
สนามบินสุวรรณภูมิ
ร่างบางก้าวยาวนำบิดามารดามาถึงด้านในสนามบินพร้อมกระเป๋าใบใหญ่สองใบ ลุงแช่มคนขับเป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวกในการเข็นสัมภาระตามเจ้านายทั้งสามมา เสียงฝีเท้าดังแว่วนิลลนาหันมองเห็นเพื่อนกำลังเดินมาพร้อมพี่ชายที่เข็นกระเป๋าใบใหญ่มา
ดาริกายกมือไหว้บิดามารดาเพื่อนแล้วแสร้งยิ้ม หันมองพี่ชายแล้วส่งสายตาให้ นัทพลรีบกระพุ่มไหว้เช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่สองคนรับไหว้แล้วหันมาทางบุตรสาว
“เครื่องใกล้ออกแล้วเดินทางดีๆ นะลูก”วิชยุทธบอก
“ค่ะพ่อ”
“ยังไงพ่อฝากดูแลนิลด้วยนะดา ไปกันสองคนต้องช่วยดูแลกันและกัน”
“ค่ะพ่อ ดาจะดูแลให้อย่างดีเลยค่ะ”ดาริการับปากแม้ในใจจะรู้สึกผิดมากก็ตาม
“แล้วพี่ชายของดาไม่ไปด้วยเหรอจ๊ะ”นิราพรชำเลืองมองหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐาน ดูเหมาะสมกับลูกสาวพอควร
“ไม่ไปค่ะ พี่ชายติดงานค่ะคุณแม่”
“ได้เวลาแล้ว ไปเถอะ”
ดาริกายืนข้างเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบ ใจเต้นกระหน่ำราวกับกลองศึก ตนเองทำผิดมหันต์พอเห็นหน้าพ่อและแม่เพื่อนจิตสำนึกมันด้านดีดันทำงาน รู้สึกคันปากอยากบอกความจริง แต่ทว่ามือของนิลลนากลับสะกิดขมวดคิ้วยุ่งเพื่อห้าม
“อย่าเชียวนะยัยดา ฉันไม่ยอมด้วย!”
“แกไม่เห็นเหรอพ่อแม่แกเป็นห่วงแค่ไหน”
“เถอะน่าเดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว แกก็เที่ยวที่แคลิฟอร์เนียให้สนุกไปสิ นัดกับหนุ่มที่นั้นไว้ไม่ใช่เหรอ”
“เออ ก็ได้ๆ”
สองร่างเดินทางเข้าช่องทางผู้โดยสารขึ้นสู่ตัวเครื่อง นิลลนาทอดสายตามองปุ๋ยเมฆแล้วยิ้มสดใส อีกไม่นานคงได้พบกันแล้วเมืองแห่งทะเลทรายไฮดริก ที่นั้นคงมีเรื่องสนุกๆ รอเธออยู่อีกมาก
เครื่องบินลงจอด ณ ลอสแอนเจลิสสนามบินนานาชาติ สองสาวสายเลือดชาวไทยออกจากช่องผู้โดยสาร นิลลนาหยุดยืนรอกระเป๋าเดินทางพร้อมเพื่อน ราวยี่สิบนาทีสัมภาระถูกลำเลียงออกมา
“ฉันต้องเดินทางต่อนะดา แล้วแฟนแกจะมารับหรือยังล่ะ”นิลลนาถามเพื่อน แล้วกวาดตามองหาหนุ่มตาน้ำข้าวที่ดาริกานัด
“มาแล้วแหละ ว่าแต่แกไปคนเดียวได้แน่นะ แล้วรู้เหรอว่าขึ้นรถตรงไหน”
มือบางยกโบก เธอศึกษามาดีพอไม่มาหลงทางอยู่ที่นี่หรอก
“ไม่ต้องห่วงหรอกยัยดา ฉันศึกษามาแล้ว แถมเมืองไฮดริกยังใช้ภาษาอังกฤษเสียส่วนใหญ่ นอกจากชนพื้นเมืองที่ยังคงภาษาท้องถิ่น ฉันไม่ได้ออกไปไหนไกลหรอกแก อยู่ในตัวเมืองแล้วก็เดินทางกับทัวร์ของเมืองเท่านั้นแหละ”
ดาริกายังคงกังวล เกรงเพื่อนจะเกิดอันตรายแต่ดูท่าทางนิลลนาไม่ได้รู้สึกหวั่นใจอะไรเลย
“ถ้างั้นฉันไปส่งแกก่อนแล้วกันนิล ยังไงก็เป็นห่วง”
“ไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวแฟนแกมาไม่ใช่เหรอ”
ครู่หนึ่งนิลลนาได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมชายรูปร่างสูงใหญ่โบกมือยิ้มระรื่น ชายคนนั้นมีดวงตาสีฟ้า ผิวขาวจัด ผมสีทอง สวมเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ท่าทางดูสุภาพ เขาเดินตรงมายังเธอและเพื่อน นิลลนาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเคยดูผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อนมาก่อน
โดยปกติดาริกามีคนพูดคุยต่างเพศมากมาย ในมหาวิทยาลัยยังเคยรถไฟชนกันจนเกิดเรื่องวุ่นวายหลายครั้ง แต่เพราะเธอจะคอยไกล่เกลี่ยตลอด มองดูแล้วคงไม่ต้องกังวลอะไรเพราะรถที่มารับเพื่อนค่อนข้างหรูทีเดียว อีกอย่างสองคนนี้คบหากันมาหลายปีแล้วเคยเดินทางมาหากันไม่น้อยกว่าห้าครั้ง
“ไฮอิริค”ดาริกาเอ่ยทัก เจ้าของร่างสูงโปร่งจุมพิตแก้มสองข้างเพื่อทักทายก่อนหันไปทางหญิงสาวอีกคน
“เพื่อนยูหรือลิลลี่”
“ใช่แล้วจ้ะ”
อิริคโน้มกายเข้าหาเพื่อทักทาย แต่ร่างบางถอยห่างยกมือปราบ ขนบธรรมเนียมของเขากับเราไม่เหมือนกัน ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขนาดโอบกอดจุมพิตกันได้
“โนๆ”นิลลนายกมือจับแทน
หนุ่มตาน้ำข้าวมองด้วยความมึนงงแล้วยกมือจับตามความต้องการของอีกฝ่าย
“โทษทีนะอิริค เพื่อนไอเป็นสาวหัวโบราณ”ดาริกาแซว
“ไม่เป็นไรหรอก”ชายหนุ่มตอบ “เพื่อนลิลลี่ไม่ไปกับเราใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ”
“คุณอยากเดินทางไปประเทศซากวัยใช่ไหม ผมให้คนพาไปส่งที่เมืองไฮดริกเอาไหม”
คนถูกถามหูผึ่งหันมาให้ความสนใจทันที
“แน่ใจเหรอคะ”
“ครับ ผมเตรียมรถมาให้แล้วด้วย พอดีลิลลี่บอกผมผมเลยเตรียมการมาพร้อม”
เธอหันมองเพื่อนแววตาทอประกาย แล้วโผเข้ากอดด้วยความซึ้งใจ
“ขอบใจแกมากนะ”
“ไม่เป็นไรเดินทางดีๆ ล่ะยัยนิล”
รถจิ๊บคันใหญ่ถูกจอดเทียบคนขับลงมาขนสัมภาระขึ้นรถ นิลลนาโบกมือลาเพื่อนสาวและแฟนหนุ่มแล้วเปิดประตูขึ้นรถ มันเคลื่อนออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปยังประเทศซากวัย แหล่งอารยธรรมอันงดงาม
เธอถูกวางหน้าฉากแล้วทรงหยิบเสื้อผ้าในตู้ส่งให้ นิลลนารีบเปลี่ยนแล้วเดินออกมา คิ้วบางขมวดด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะทรงทำอะไร ทรงเอื้อมพระหัตถ์กุมมือเธอไว้แล้วรั้งให้เดินตามทหารหน้าตำหนักรีบก้าวติด ทรงหันพระวรกายแล้วตรัสสั่ง“ไม่ต้องตามมา”“แต่ฝ่าบาท”ทหารสองนายไม่อาจละเลยหน้าที่“ได้ยินที่เราสั่งไหม”“พะยะค่ะฝ่าบาท”นิลลนาถูกพามาถึงคอกม้าหญิงสาวยืนมองด้วยความแปลกใจ ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรดึกคื่นป่านนี้ยังจะพาขี่ม้าเที่ยวอีกอย่างนั้นหรือ“ฝ่าบาทจะทรงไปไหนหรือเพคะ ดึกมากแล้ว”หญิงสาวพยายามปราม บทพระองค์จะทรงห่ามก็ทำอะไรไม่ฟังใครเลย“เราจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง เจ้าต้องชอบมากแน่”ม้าสีขาวขนาดใหญ่ถูกรั้งออกมาจากคอก ท่าทางมันดูไม่ค่อยคุ้นชินกับคนสักเท่าไหร่ แต่กับฝ่าบาทดูเชื่องอย่างประหลาด“มันชื่อสปีด เป็นม้าที่วิ่งเร็วและมีพละกำลังมากแต่ค่อนข้างไม่คุ้นกับใคร มีเราขี่มันได้คนเดียว”ทรงขึ้นขี่ม้าแล้วยื่นพระหัตถ์มาให้เธอจับนิลลนาลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็จำยอม เอวบางถูกรวบบังเหียนกระตุกม้าเริ่มวิ่งออกนอกอาณาเขต ทรงเคลื่อนม้ามายังผืนทรายกวางยามค่ำคืนอากาศเริ่มหนาวแต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นภายใต้อ้อมพระกรของพระอง
ทรงทอดพระเนตรนาฬิกาฝาผนัง บ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทรงหยุดพระหัตถ์ซึ่งกำลังทรงพระอักษร บิดพระวรกายเพื่อไล่ความขบเมื่อยแล้วลุกยืน คำพูดของนางยังคงดังก้อง ค่ำคืนนี้จะเสด็จไปเยือนตำหนักบุปผชาติ และนิลลนาจะต้องเป็นของพระองค์เพียงคนเดียว องครักษ์คู่กายในวันนี้ไม่ใช่อัสลัน พระองค์ต้องการให้พักผ่อนเพราะคงเจอเรื่องเครียด ทรงสาวพระบาทตามทางเดินอันมีแสงไฟสีส้มอ่อนสลัวๆ ตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงทอดพระเนตรหิ่งห้อยซึ่งกำลังล่องลอย บางครั้งในพระอุระรู้สึกแน่นขึ้นมาการเกิดเป็นกษัตริย์นั้นทำให้พระองค์ต้องทรงเด็ดขาด เรื่องส่วนตัวมาทีหลัง เคยเหงา เหว่หว้าเปล่าเปลี่ยนแต่กลับทรงคิดเรื่องเหล่านั้นได้ชั่วระยะเดียวเท่านั้น เมื่อต้องหันกลับมาทอดพระเนตรประชาชนอีกมากมาย บางครั้งพระองค์อยากทรงหนีไปให้ไกลให้พ้นสภาวะกดดัน อยากอยู่ในที่สงบเงียบไม่มีผู้ใดรบกวน อยากมีใครสักคนร่วมมองฟ้าดูดาวด้วยกันตลอดจนชั่วชีวิตตำหนักบุบผชาติมีแสงไฟเปิดตลอดเส้นทาง ทรงเสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนักข้ารับใช้รีบเปิดให้ ทหารทำหน้าที่ยืนยามด้านหน้า ร่างบางในชุดนอนสีขาวแนบกายยืนสั่นสะท้านทั้งที่เตรียมตัวเตรียมใจเหตุใดถึงยังหวาดกลัว ทันที่ประ
“ถ้าฉันสั่งให้พวกเธอทำ จะทำหรือเปล่า ถ้าหากต้องโทษฉันจะรับเอง!”เห็นข้ารับใช้ในตำหนัก ชวนให้หงุดหงิด ร่างบางสาวเท้าตรวจอาหาร ไม่มีใครทำเธอจัดการเองก็ได้“จัดอาหารมา ที่เหลือฉันจัดการเอง!”ฮายิรีบจัดแจงช่วยบรรดาป้าๆ ในครัวจัดอาหารใส่ถาด นิลลนารับแล้วก้าวยาวไปยังห้องของนาเดียทันที ประตูห้องเปิดออก เธอวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะหัวเตียง นาเดียขยับกายหันมองด้วยความตกใจ“เกิดอะไรขึ้นคะ!”“นาเดีย ฉันพยายามขอร้องให้คนในตำหนักช่วยแล้วล่ะแต่ไม่ได้ผล เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ายังไงก็ไม่มีใครเต็มใจยกอาหารมาให้น่ะ”คนฟังแววตาหม่นลง ไม่คิดว่าพระสนมจะลงมือยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง“ทำไมคุณถึงต้องลงทุนยกมาเองด้วยคะ ถ้าฉันพอลุกได้ ไปหาทานในห้องเครื่องเองก็ได้ค่ะ”“พูดแบบนี้อีกแล้วนาเดีย ไม่อยากเถียงด้วยแล้วทานเถอะ”นาเดียรับช้อนแล้วตักอาหารเข้าปากน้ำตาคลอ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงต้องนอนซมในห้องไม่มีคนดูแล พระสนมดีกับเธอเช่นนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว ไม่อยากให้นางจากไปเลยก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างบางรีบสาวเท้ามาเปิดเห็นราชองครักษ์หนุ่มยืนอยู่ ในมือถือบางอย่าง“เอ่อ...”อัสลันอึกอัก“มีอะไรหรือเปล
ร่างบางลุกยืนแล้วหุนหันวิ่งออกนอกห้องโถงทันที กษัตริย์มาซาฮาฟทอดพระเนตรแผ่นหลังบอบบางแล้วหรี่พระเนตรลงครุ่นคิดบางอย่าง นิลลนารีบเปิดประตูห้องข้ารับใช้คนสนิทเห็นร่างอรชรนอนคว่ำหน้าบนเตียงเสียงสะอื้นยังดังแว่ว ร่างบางรีบทรุดกายลงข้างเตียงน้ำตาเอ่อ“นาเดีย...”เธอเรียกชื่อข้ารับใช้เสียงแผ่วครั้นได้ยินเสียงเรียกเธอรีบพลิกกายเพื่อหันมอง แต่ทว่าร่างกายอันบอบช้ำไม่อำนวย“โอ้ย!”“อย่าขยับนาเดีย ไม่เป็นไรไม่ต้องหันมาหรอก”“ฉันขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน ทำให้คุณต้องฝืนใจยอมฝ่าบาท”“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะนาเดีย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้นาเดียเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัว”นิลลนาบอกเสียงเครือ“คุณไม่ผิดหรอกค่ะที่คิดอยากหนี นาเดียเองก็อยากให้คุณได้กลับบ้าน แต่นาเดียไม่มีอำนาจมากพอจะช่วยเหลือคุณ ขอโทษนะคะทั้งที่คุณมองนาเดียเหมือนเพื่อนคนหนึ่งแท้ๆ แต่นาเดียกลับทำให้คุณต้องเสียสละตัวเอง”ยิ่งพูดยิ่งเหมือนตัวเองทำให้เจ้านายต้องทุกข์ทรมาน เธอรู้สึกผิดมากจริงๆ ที่เกิดมาต่ำต้อยไม่อาจช่วยเหลือใครได้นิลลนาโน้มกายโอบกอดเพื่อนสาวด้วยความปวดร้าว เธอไม่เคยคิดเลยว่าข้ารับใช้คนสนิทจะรู้สึกกับเธอเช่นนี้ ถูก
นิลลนาช้อนสายตามองแววตาแค้นเคือง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว“เรื่องนี้หม่อมฉันผิดคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยว ฝ่าบาททรงปล่อยคนอื่นไปได้ไหม!”“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับข้าด้วยเหรอนิลลนา”“หม่อมฉันไม่ได้ต่อรอง เพียงแค่ร้องขอต่อฝ่าบาทเท่านั้น”หญิงสาวตอบกลับน้ำเสียงแข็ง“นี่หรือคือการร้องขอ”ทรงเลิ่กพระขนงเพื่อเปิดศาสน์ท้ารบต่อสตรีตัวเล็กด้านหน้าริมฝีปากบางเม้มสนิทข่มกลั้นความรู้สึกในอกเอาไว้ หากตัวคนเดียวเธอคงโวยวายไม่กลัวตายไปแล้ว แต่ทำไม่ได้เพราะมีหลายชีวิตพ่วงท้ายมาด้วย“ฝ่าบาทต้องการอะไรจากหม่อมฉันหรือเพคะ ในเมื่อพระองค์มีสตรีมากมายคอยปรนนิบัติจะเสียหม่อมฉันไปสักคนจะเป็นไรไป”เธอบอกแล้วกวาดตามองรอบห้องโถงซึ่งล้วนแล้วแต่มีหญิงงามมากมายยืนห้อมล้อมอยู่“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าต้องการอะไร เจ้าก็คือเจ้านิลลนา คนอื่นมาทดแทนไม่ได้ ถ้าหากทดแทนได้ข้าจะกักขังเจ้าไว้ทำไมอีก”คำตรัสทำเอานางสนม และบรรดาหญิงสาวถวายตัวกัดฟัน อารีมากำมือแน่นด้วยความปวดร้าวในอก ทรงยังไม่รู้พระองค์อีกเหรอว่าทำไมถึงได้รั้งหญิงชาวไทยนางนี้ไม่ยอมปล่อย ไม่อยากเชื่อเลยว่าฝ่าบาทจะทรงปันใจให้นาง แล้วเธอเล่าเป็นตัวอะไร
“ไม่เป็นไรหรอกเรายินดี”หญิงสาวหันมองนาเดียแล้วกุมมือไว้แน่น“นาเดียฉันไปก่อนนะ สักวันเราคงได้พบกัน”“รักษาตัวดีๆ นะคะ”นาเดียบอกเสียงเครือ น้ำตาเอ่อ“จ้ะ”รถถูกเปิดประตูออกนิลลนารีบขึ้นนั่ง ทหารทำหน้าที่ขับเคลื่อนออกจากบริเวณนั้นทันที นาเดียสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยผสมความหวาดหวั่นใจ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องราวคงลุกลามใหญ่โต เธออาจต้องโทษประหารก็เป็นได้“กลับเข้าด้านในกันเถอะ เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”อารีมาสั่งเสียงเด็ดขาด“พะยะค่ะพระสนม”“ได้ยินหรือเปล่านาเดีย”นาเดียชะงักหันมองแล้วถอนสายบัว “เพคะพระสนม”ผู้ร่วมแผนการสาวเท้าไปยังวังหลังเตรียมแยกย้ายกัน แต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อแสงไฟสาดส่องทั่วบริเวณตามด้วยทหารจำนวนมากยืนล้อมอยู่ อารีมาปากสั่นใบหน้าซีดเผือด อัสลันก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าทุกคนก่อนลอบชำเลืองนางในดวงใจ“ท่านกำลังทำอะไรอัสลัน นี่พระสนมเอกกล้าดียังไงขวางทาง”ข้ารับใช้คนสนิทรีบประกาศ“ที่กระหม่อมกล้าเพราะมีราชโองการจากฝ่าบาทมาพะยะค่ะพระสนม”อัสลันกางราชโองการทันที สนมเอกแทบทรุดกองกับพื้น“ข้าทำอะไรผิดพวกเจ้าถึงมาจับตัวเช่นนี้”อารีมายังคงหาทางรอด“พระสนมเอกน่าจะรู้อยู่แก่







