" ท่าทางดูเหมือนคุณจะเหนื่อย กินขนมปังหน่อยไหมคะ " ฉันที่หยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋านักเรียนและได้ยื่นมันไปให้เขาทันที
เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหันหน้ามาทางฉันเล็กน้อย " ไม่กิน! " เขาตอบกลับฉันแต่มือของเขาดันหยิบขนมปังในมือของฉันออกและโยนมันเอาไปไว้เบาะด้านหลังรถทันทีและก็หันกลับไปนั่งและเอาหัวพิงเบาะและหลับตาลงต่ออย่างไม่ได้สนใจอะไรฉันนัก " ไม่กินก็ไม่ต้องกันซี่ โยนของหนูทิ้งทำไม " ฉันบ่นพึมพำของฉันเบาๆอยู่คนเดียว หลังจากที่รถขับมาได้เกือบหนึ่งชั่วโมง ก็มาจอดที่โรงจอดรถแห่งหนึ่งซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน " ถึงแล้วครับท่าน " ลูกน้องที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าคนขับหันหน้ามาบอกคุณบทร้าย " อืม " เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับตอบกลับไปสั้นๆ หลังจากที่พวกเขาได้ยินคำตอบของผู้เป็นนายแล้วเขาก็ลงจากรถตู้ทันที ฉันที่เดินตามหลังของคุณบทร้ายมาก็พบว่าสถานที่ที่ฉันมาเป็นโรงแรมหรูขนาดใหญ่ พร้อมกับเขาที่เดินเข้ามาที่ห้องห้องหนึ่งซึ่งคล้ายๆเหมือนกับเป็นโต๊ะอาหาร ฉันที่เดินตามเขาเข้าไปพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา ซึ่งเขานั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร " เรามาทำอะไรกันเหรอคะ " ฉันหันหน้าไปถามเขาอย่างสงสัย " กินข้าว " เขาตอบกลับมาสั้นๆ แต่เขาก็ไม่ได้หันหน้ามามองฉันเลยสักนิด " กะ กินข้าวเหรอคะ พาหนูมากินด้วยเหรอ " ฉันที่ไม่ได้เข้าใจในการกระทำของเขานักก็เลยถามเขาไปตรงๆ " ไม่ได้พามา แค่เห็นยืนอยู่ข้างถนนเลยเอาติดรถมาด้วย " เขากดน้ำเสียงลงต่ำตอบฉันแต่ก็ไม่ได้หันหน้ามามองฉันเช่นเดิม " กินสิ " เมื่ออาหารมาเสิร์ฟจนครบเรียบร้อยแล้วแต่เขาก็ยังเห็นเด็กน้อยไร้เดียงสานั่งอยู่นิ่งๆไม่ยอมกินอะไรเลย จนเขาต้องเอ่ยปากชวน " กะ กินได้เหรอคะ " เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมาถามเขาพร้อมกับน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างไม่น่าจะเชื่อคำพูดของเขาว่าอนุญาตให้เธอกินได้ " เออ กินไปเถอะ " เขาที่ไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันกับเขาเลยสักครั้ง แต่ก็ดันชวนเด็กขัดดอกใช้หนี้ร่วมรับประทานที่โต๊ะอาหารด้วย เขาคิดว่าแค่คนติดรถมาด้วยจะให้มานั่งดูเฉยๆก็ไม่ได้ " อื้ม อันนี้อร่อยดีนะคะ คุณบทร้ายลองชิมดูสิคะ " เด็กน้อยที่ตักสปาเกตตี้ขี้เมาไส้กรอกเข้าปาก ก็พบว่ามันอร่อยมาก เธอเลยถือวิสาสะตักสปาเกตตี้ขี้เมาไส้กรอกใส่จานของผม ผมก็มองดูพฤติกรรมของเธอพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันเป็นปม เพราะตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ผมเลยตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของผมเสียไปตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เลยต้องมาดูแลธุรกิจหลายด้านแห่งนี้สืบทอดจากตระกูลของผมยังไงล่ะ และผมก็ตั้งใจจะทำมันด้วย กว่าพ่อแม่ของผมจะสร้างมันมาได้กับมือทั้งเงินทองที่มากมายมหาศาลพร้อมทั้งอำนาจ บารมี ที่ใครๆต่างก็พากันต้องการ พวกท่านทั้งสองได้สร้างมันเอามาไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว เธอยังเด็กที่ยังอายุเพียง 17 ปี และเป็นเด็กที่ยังไร้เดียงสา ผมเลยไม่อะไรกับเธอมาก ขนาดพ่อเลี้ยงของเธอยังส่งเธอมาขัดดอกทั้งๆที่เธอไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ก็ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของเธอแล้วกันที่ได้มาเป็นเด็กของฉัน...เจ้าหญิง ผมมองดูเด็กน้อยที่นั่งข้างๆผมที่ตอนนี้กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับรอยยิ้ม มีความสุขอะไรขนาดนั้นเชียว ผมเผลอยิ้มออกมากับการกระทำของเธอ ผมที่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาก็รีบหุบยิ้มกลับไปทันที ผมกับเธอกินอาหารจนอิ่มก็ต้องรีบเดินกลับขึ้นมาบนรถทันที เพราะผมจำได้ว่าเธอบอกว่าเธอมีการบ้านต้องทำ ถ้ากลับดึกกว่านี้มีหวังได้นอนดึกตื่นเช้าไปโรงเรียนแน่นอน ผมไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรเธอนะ ผมแค่ไม่อยากมีภาระเพิ่มมากขึ้น แค่งานของผมก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว เพนท์เฮ้าส์ หลังจากที่รถตู้ของผมจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังเล็กสีขาวของเธอ เธอก็ลงจากประตูรถทันทีแต่ก็ไม่วายหันหน้ากลับมาหาผม " ขอบคุณนะคะ วันนี้อาหารอร่อยมากค่ะ " เธอหันหน้ามายกมือไหว้ขอบคุณผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผมจนตาหยี เด็กบ้าอะไรวะ! ผมรีบหันหน้าหนีทันทีพร้อมกับประตูรถที่ปิดลง ผมเดินเข้ามาในเพ้นเฮ้าท์หลังใหญ่พร้อมกับขึ้นไปบนห้องนอนของผม พร้อมกับรีบอาบน้ำชำระร่างกายและขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงนุ่มด้วยชุดนอนสีแดงเลือดหมูแบรนด์ดัง " เด็กบ้าอะไรวะ " ผมที่นอนอยู่บนเตียงพึมพำอยู่คนเดียว ก็เพราะภาพรอยยิ้มของเธอตั้งแต่ที่ยังอยู่ในโรงแรมมากระทั่งจนถึงเพ้นเฮ้าท์ยังติดตาผมอยู่เลยน่ะสิ หลอกหลอนซะมัด! ผมรีบสะบัดความคิดของตัวเองออกไปทันทีและยื่นมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงและหลับตาลงไปในที่สุดเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน กริ้งงงง กริ้งงงงง เสียงนาฬิกาปลุกของเจ้าหญิงดังขึ้น ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 06.00 น. เจ้าหญิงรีบดันตัวเองลุกขึ้นนั่งพร้อมกับบิดตัวไปมาและเดินลงจากเตียงเพื่อมาเปิดผ้าม่านสีขาวตรงหน้าต่างออกมาสูดบรรยากาศตอนเช้า หลังจากที่เธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เธอก็จัดกระเป๋านักเรียนและเดินออกมาจากห้องนอน เธอก็พบว่าวันนี้แปลกไปจากวันแรกที่เธอเข้ามา ก็เพราะว่าวันนี้เธอมีโต๊ะอาหารแถมยังมีอาหารเช้าวางไว้อยู่น่ะสิ เธอที่เห็นดังนั้นยกยิ้มดีใจใหญ่และรีบวิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหารทันที " ว้าววว ไข่น้ำ " เธอที่เห็นไข่น้ำก็รีบหยิบช้อนกลางขึ้นมาตักซดน้ำร้อนๆทันที " มีผัดกระเพราเครื่องในไก่ของโปรดเจ้าหญิงด้วย " เธอพูดพลางยิ้มดีอกดีใจอยู่คนเดียว แต่เธอหารู้ไหมว่ามีคนแอบมองดูการกระทำของเธอจากกล้องวงจรปิดที่เขาบอกให้ลูกน้องแอบติดเอาไว้ที่ด้านนอกบ้านและด้านในโถงบ้าน ยกเว้นเสียจากห้องนอนและห้องน้ำก็เท่านั้น เธอนั่งกินอาหารคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับหยิบถ้วยชามไปล้างจนสะอาดและเอามันกลับมาวางไว้บนโต๊ะอาหารเหมือนเดิม เธอเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับยืนรอรถซาฟารีเหมือนเช่นทุกครั้งเพื่อออกไปหน้าประตูเพ้นเฮ้าท์และเดินไปรอรถเมล์ ไม่นานนักรถซาฟารีคันสีขาวที่เธอรอก็มาจอดที่หน้าบ้านหลังเล็กสีขาวของเธอ วันนี้เธอดูสดใสเป็นพิเศษ สงสัยมีอาหารเช้ามาวางไว้ให้เธอกินก่อนไปโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวันที่แม่เธอเคยทำให้กินก่อนไปโรงเรียน " คิดถึงแม่จัง " คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนรถซาฟารีพูดขึ้นมาคนเดียวพร้อมกับหันหน้าไปมองวิวรอบๆโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังถูกจัดไว้สำหรับการคลอดโดยเฉพาะ บทร้ายไม่ยอมห่างจากห้องคลอดแม้แต่ก้าวเดียวเขานั่งกุมมือเจ้าหญิงแน่นตลอดทุกวินาทีของความเจ็บปวด“พี่…มันเจ็บ หนูไม่ไหวแล้ว…” เจ้าหญิงเหงื่อซึม หน้าซีด“ไหวสิเมียพี่ต้องไหว หนูเก่งที่สุดแล้วนะครับ…” บทร้ายแนบริมฝีปากกับหน้าผากเมียน้ำตาคลอ“แค่คลอดลูกของเราออกมา พี่ขอร้อง…”เสียงร้องไห้ของทารกตัวน้อยดังขึ้นในห้อง บทร้ายถึงกับทรุดนั่งร้องไห้เงียบๆข้างเตียงราวกับหัวใจถูกปลดปล่อยจากความกลัวทั้งปวง“ได้ลูกสาวค่ะ แข็งแรงมากเลย”“ลูกพ่อ… หนูของพ่อ… ขอบคุณที่มาเกิดเป็นลูกพ่อแม่นะครับ”...ลูกสาวของบทร้ายและเจ้าหญิงถูกตั้งชื่อว่า “น้องเจ้าขา”เด็กหญิงผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตเหมือนแม่ รอยยิ้มอบอุ่นเหมือนพ่อเมื่ออายุครบ 1 ขวบเธอเริ่มหัดเดิน เริ่มพูดคำว่า “ปะป๊า” และ “หม่ามี๊” ได้บทร้ายนั่งคุกเข่ารอรับลูกที่กำลังเกาะโซฟาแล้วค่อยๆยืนขึ้นเจ้าขาก้าวขาเล็กๆเดินมาหาพ่อก่อนจะโผเข้ากอดอกบึ้กๆของบทร้ายแน่น“เก่งมากลูก… ลูกของพ่อเดินได้แล้ว!” บทร้าย หัวเราะแล้วร้องไห้ในเวลาเดียวกัน“เจ้าขาเก่งที่สุดเลยลูก หนูเก่งเหมือนแม่เลยใช่ไห
มหาวิทยาลัยเจ้าหญิงกำลังนั่งเรียนทุกคนตกใจเมื่อเห็น “เจ้าของมหาวิทยาลัย” เดินตรงมาที่หน้าห้องเรียน ใส่สูทสีดำ ขรึมเยือกเย็น ดวงตาแดงก่ำอาจารย์ถึงกับชะงักบทร้ายเปิดประตูโดยไม่พูดอะไร ก่อนพูดเพียงคำเดียว“ออกมาเดี๋ยวนี้” บทร้ายพูดเสียงเข้มเจ้าหญิงหน้าเสียหยิบของแล้วรีบลุกเสียงซุบซิบในห้องดังกระหึ่ม “บทร้ายดุโหดมาก” “โอ้ย เมียโดนแน่”ในรถพอขึ้นรถเท่านั้นแหละประตูปิดเสียงดัง “ปัง!” ก่อนที่บทร้ายจะพูดด้วยน้ำเสียงกดอารมณ์“ทำไมไม่บอกพี่?” บทร้ายเสียงสั่น“หนูแค่อยากเรียน… หนูไม่อยากเป็นภาระ” เจ้าหญิงก้มหน้าตอบน้ำเสียงเบาๆ“ไม่อยากเป็นภาระจนไม่รักตัวเองรึไง!?! หนูเพิ่งฟื้น รู้ไหมว่าถ้าเป็นอะไรขึ้นมา พี่จะ…” บทร้ายเผลอตะคอกใส่เจ้าหญิงด้วยความโกรธเขากำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธปนเสียใจ เจ้าหญิงน้ำตาซึมพยายามยื่นมือไปแตะแขนบทร้าย“พี่… หนูขอโทษ…”“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับหนู พี่ขอโทษที่ดุ แต่พี่กลัว… พี่กลัวจะเสียหนูไปอีก…” บทร้ายเสียงแผ่วลงเมื่อรู้ตัวว่าเผลอตะคอกเมียเพนท์เฮ้าส์บทร้ายอุ้มเมียขึ้นห้องไม่พูดไม่จาแต่พอวางเมียบนเตียงเท่านั้นก็ซบหน้าลงที่หน้าท้องเธอน้ำตาหยด
มหาวิทยาลัยเช้าวันรุ่งขึ้น: วันพรีเซนต์เจ้าหญิงสวมชุดนักศึกษาสะอาดเรียบ ผูกผม เรียบร้อย แต่หน้าซีดมาก เธอยืนหน้าห้องประชุมพร้อมทีม หัวใจเต้นแรงเพราะความเครียด ตอนที่เดินขึ้นเวที…เธอกลั้นหายใจและเริ่มพูด30 นาทีผ่านไป…...พรีเซนต์เสร็จ...ภาพเริ่มเบลอ เสียงในห้องเบาๆลง มือสั่น หน้าเย็นเฉียบ เจ้าหญิงเซ ทรงตัวไม่อยู่ ร่างบางล้มลงต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนทั้งห้อง“เจ้าหญิง!!”🚑 โรงพยาบาลบทร้ายได้ยินข่าวจากพยาบาลที่ติดต่อมา บทร้ายมาถึงด้วยความเร็วสูงสุดที่รถของเขาจะพาไปได้ เขาเปิดประตูห้องฉุกเฉินด้วยหัวใจที่แทบหลุดออกมามองเห็นเมียนอนบนเตียง ให้น้ำเกลือ ขอบตาแดงเพราะน้ำตา“พี่ขอโทษ…พี่ไม่น่าปล่อยให้หนูทำทุกอย่างคนเดียวแบบนั้นเลย”“พี่ควรอยู่ตรงนั้น พี่ควรกอดหนู พี่ควรห้ามหนูตั้งแต่แรก…”เขาคุกเข่าข้างเตียง จับมือเมียไว้แน่น ริมฝีปากสั่น น้ำตาไหลเงียบๆ ในห้องเงียบสงัดมีแค่เสียงเครื่องวัดชีพจรและเสียงใจเขาเต้นระรัว...เจ้าหญิงลืมตาช้าๆเห็นหน้าผัวฟุบอยู่ข้างเตียงมืออุ่นๆของเขาจับมือเธอไว้ตลอดไม่ปล่อยเลยแม้แต่วินาทีเดียว“พี่…” เจ้าหญิงเรียกบทร้ายเสียงเบาและแหบพร่า“หนู…หนูตื่นแล้วใช่ไหมคะ
ฮันนีมูนสุดหรูหนึ่งวันหลังแต่งงานบทร้ายจองเกาะส่วนตัวที่มัลดีฟส์ มีแค่เขาและเธอ…ในรีสอร์ทกลางทะเลเสียงคลื่นเบาๆ บรรยากาศโรแมนติกจนต้องรักกันทุกเช้า เย็น และกลางคืน“บนเตียงก็ผัว บนเรือก็ผัว ในน้ำก็ผัว…หนูหนีผัวไม่พ้นหรอกเมียพี่”ปี 4เช้าวันเปิดเรียนเช้านั้น…เสียงนาฬิกาปลุกยังไม่ทันดัง บทร้ายก็ตื่นขึ้นมามองใบหน้าหวานของภรรยาสุดที่รัก เจ้าหญิงนอนกอดแขนเขาแน่นเสื้อยืดตัวใหญ่ที่ใส่นอนเมื่อคืนเลิกขึ้นมานิดๆเผยให้เห็นผิวขาวนวลจนคนเป็นผัวอยากจะให้เมียโดดเรียน…เอ้ย ไม่ใช่บทร้ายก้มจูบหน้าผากเจ้าหญิงเบาๆ“เมียพี่จะเป็นนักศึกษาปี 4 ที่สวยที่สุดในโลก”พอเจ้าหญิงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ บทร้ายยืนยันจะขับรถไปส่งเมียเอง ไม่ยอมให้อัคคีขับเหมือนทุกครั้ง“ขอโทษนะคะ ผัวขับรถไปรอหน้าคณะทุกวันแบบนี้ เพื่อนจะไม่สงสัยเหรอคะ?” เจ้าหญิงพูดแซว“ก็ไม่ต้องสนใจสิคะคุณเมีย เขารู้ก็ดี จะได้รู้ว่าเมียใครอย่าแตะ” บทร้ายตอบยียวนกวนประสาทกลับมหาวิทยาลัยคณะนิเทศศาสตร์ทุกสายตาหันมามอง…เจ้าหญิงเปิดประตูลงจากรถสุดหรูพร้อมเสียงกระซิบของเพื่อนๆในคณะ“นั่นผัวเจ้าหญิงเหรอ?”“โอ๊ย ทำไมหล่อโหดขนาดนี้”“มีผัวดีชีวิตดีจริงๆ…”“แล
บทร้ายวางแหวนวงเดิมไว้ในกล่องกำมะหยี่เขาคุกเข่าอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะผิด แต่เพราะรัก“หนู…พี่ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์ไหม แต่ขอพี่ได้ใส่แหวนวงนี้ให้อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในฐานะผัว แต่ในฐานะผู้ชายที่ไม่มีใครรักเท่าหนูอีกแล้ว…”เจ้าหญิงยื่นมือไปทั้งน้ำตาแล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหูเขา“ใส่ให้แน่น ๆ เลยนะคะพี่…เพราะรอบนี้ หนูจะไม่มีวันถอดมันออกอีกแล้ว…”...ห้องสวีทชั้นบนสุดของโรงแรม 7 ดาวในกรุงเทพมหานครคือสถานที่ที่บทร้ายจัดไว้สำหรับการ “เริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่” เขาไม่พูดพร่ำ ไม่อธิบายซ้ำ เขาแค่จ้องเจ้าหญิงด้วยแววตาที่ลึกกว่าทะเล…และเร่าร้อนกว่ากองไฟบทร้ายปิดประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาเจ้าหญิงช้าๆเหมือนนักล่าที่รอคอยเหยื่อของเขากลับมาอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง“คืนนี้…ผัวจะรักเมียให้สมกับที่เกือบเสียเมียไป…” บทร้ายดึงเจ้าหญิงเข้าไปจูบอย่างรุนแรงลิ้นของเขาดุนดันสอดแทรกและตักตวงรสหวานจากริมฝีปากที่เขาโหยหา มือเขากอบกุมเอวบางแน่นจนเจ้าหญิงต้องจับไหล่เขาไว้“พะ-พี่…เดี๋ยวก่อน…”“ไม่รอแล้ว…เมียพี่ทั้งคน ผัวห้ามใจไม่ไหวแล้ว…”บทร้ายยกตัวเข้าหญิงขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวก่อนพาไปวางลงบนเตียงใหญ่ ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล
เพนท์เฮ้าส์ทุกคืน…บทร้ายนอนกอด iPad เปิดรูปคู่ที่ถ่ายตอนขอแต่งงานและวิดีโอที่เขาแอบอัดเอาไว้เองเสียงเจ้าหญิงพูดว่า “รักผัวนะคะ” ยังอยู่ในคลิป แต่ยิ่งฟังยิ่งเจ็บ เพราะรู้ว่า…เขาทำลายมันด้วยมือของตัวเอง“พี่แม่ง…เลวชิบหาย…” บทร้ายกัดปากจนเลือดซึม โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระจกที่แขวนไว้ถูกเขาเขวี้ยงแตกเป็นเสี่ยงๆในไลน์กลุ่มรวมนักศึกษาโดยบทร้ายมีแอ็คอวตารเข้าไปอยู่ด้วยในกลุ่ม...มีคนโพสต์รูประหว่างเจ้าหญิงกับเพื่อนใหม่มีเสียงเชียร์ว่า “เปิดใจเถอะเจ้าหญิง” แต่ทุกข้อความ…เหมือนมีดปักที่กลางอกบทร้าย...โต๊ะกินข้าวที่เคยมีเจ้าหญิงคอยตักให้วันนี้มันว่างเปล่า บทร้ายนั่งมองข้าวเย็นจนแข็ง แล้วเอาไปเททิ้งทั้งน้ำตา“ไม่มีหนู…อะไรมันก็ไม่มีรสชาติอีกเลย…”วันถัดไปธันวามาหาเพื่อนสนิทที่เพนท์เฮ้าส์ ธันวาแอบไปซุ่มดูเจ้าหญิงห่างๆ เขาอัดวิดีโอที่ตอนเจ้าหญิงพูดกับแม่วันดีไว้ เขานำมาเปิดให้บทร้ายดูในวันหนึ่งที่เขาหมดแรงจะลุกขึ้นจากเตียง “แม่…หนูไม่ได้อยากหย่า หนูแค่เสียใจ หนูแค่รู้สึกว่าพี่เขาไม่รักหนูจริง…”คำว่า “ไม่ได้อยากหย่า” กลายเป็นไฟสุดท้ายที่ยังจุดในหัวใจบทร้ายบทร้ายเงยหน้าขึ้น…น้ำตาไหลพร