แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำงาน กระทบลงบนเส้นผมสีดำสนิทซึ่งตอนนี้มันยังไม่ทันแห้งดี เจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกันนั้น กำลังกวาดสายตาอ่านเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยท่าทางสุขุม
"คุณเหนือคะ..กาแฟมาแล้วค่ะ" เสียงหวานของสาวรับใช้วัยยี่สิบหกดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง เธอมีชื่อว่าชะเอม เป็นคนที่ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก และเป็นหลานสาวของป้าลำดวน แม่บ้านคนเก่าแก่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาทำงานให้วายุได้เพียงสามปี
ชะเอมแอบมีใจให้เขา ชายหนุ่มนั้นรู้ดี แต่ทว่าสมภารไม่กินไก่วัดนั่นคือคติประจำใจของวายุ เขาไม่คิดที่จะทำเรื่องพรรค์นั้นในบ้านของตัวเอง และไม่คิดพาใครมาทำเรื่องอย่างว่าภายในบ้านของเขา
ยกเว้นเรื่องเมื่อคืนไว้ก็แล้วกัน
"เข้ามาได้" น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไป
ชะเอมเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เธอพยายามเอาใจคุณเหนือมาตลอดแต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเธอเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะแตะต้องเธอเลยสักนิด แต่เมื่อคืนเขากลับพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มานอนค้างที่บ้านเป็นครั้งแรก..
"เสร็จธุระก็ออกไปได้แล้ว ผมจะทำงาน"
"ค่ะคุณเหนือ" ร่างบอบบางค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เธอเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง และคงเป็นเด็กกะโปโลในชีวิตของคุณเหนือ
ผู้สมัครตำแหน่งผู้จัดการมีประมาณสามสิบกว่าคนได้ วายุอ่านประวัติของแต่ละคนอย่างละเอียด อ่านจนคร้านที่จะอ่านแล้ว เขาอยากจะโยนเอกสารกองนี้ให้กับสิงห์ แล้วให้สิงห์หลับตาเลือกมาสักหนึ่งคน
ฝ่ามือหนาหยิบเอกสารแผ่นสุดท้ายขึ้นมา ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความเหนื่อยหน่าย ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นรูปของผู้ที่มาสมัคร สิ่งนี้เรียกความสนใจจากเขาได้อยากชะงัดนัก
อภิชญา ธาดาวรวงศ์ ชื่อเล่น นับสอง..
เธอจบจากมหาวิทยาลัยอะไร คณะและสาขาอะไรเขานั้นย่อมรู้ดีอยู่แล้ว บ้านเกิด รวมถึงวันเกิดและราศีเขาก็ยังจำได้ วายุกวาดสายตาอ่านไปเรื่อย ๆ กระทั่งไปหยุดอยู่ที่สถานภาพของผู้สมัคร
สถานภาพ : โสด
บนใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเช่นเดิม เขากวาดกองเอกสารทั้งหมดไว้ด้านข้างโต๊ะอย่างไม่ไยดี เหลือเพียงแค่ใบสมัครของอภิชญาเท่านั้น
"สิงห์ เข้ามาหาผมหน่อย" หลังจากที่โทรเรียกมือขวาคนสนิท ไม่นานนักสิงห์ในชุดสูทสีดำก็เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างรวดเร็ว
"ครับบอส"
"ผมเลือกคนได้แล้ว.. เอ่อไม่สิ สิงห์นายฟังนะ เธอคนนี้จะมาเป็นเลขาของผม ส่วนเงินเดือนสามารถเรียกมาได้เลยผมไม่เกี่ยง ที่สำคัญอย่าให้เธอรู้ว่าผมจะกลายเป็นบอสของเธอ เว้นเสียจากเธอเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว เข้าใจใช่ไหม"
"บอสครับ แต่เรากำลังหาตำแหน่งผู้จัดการนะครับ อีกอย่างบอสเคยบอกว่าไม่อยากมีเลขา.."
"งั้นนายก็เลือกมาสักคนก็แล้วกัน หมายถึงผู้จัดการน่ะ ส่วนเลขาผมจะเอาเธอคนนี้เท่านั้น" เรียวนิ้วยาวเคาะลงบนเอกสารของอภิชญาอย่างอารมณ์ดี สิงห์ที่เห็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายต่อไป
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นบอสตั้งใจเลือกพนักงานขนาดนี้ แถมยังเป็นตำแหน่งที่ปกติไม่เคยมีเสียด้วย..
"แล้วเรื่องสัญญาล่ะครับ บอสจะให้ผมจัดการยังไง"
"ให้เงินเดือนเธอล่วงหน้าไปเลยสามเดือน แต่มีกฎว่าห้ามลาออกจนกว่าจะทำงานครบตามสัญญา"
"ครับบอส"
"เอ้อแล้วก็ ก่อนที่เธอจะตกลงเซ็นสัญญา นายอย่าโผล่ไปให้ผู้หญิงคนเมื่อคืนเห็นหน้าเข้าล่ะ เข้าใจใช่มั้ย" เขากระชับเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะถ้าหากหญิงสาวรู้ว่าสิงห์เป็นมือขวาคนสนิทของเขา เธออาจจะปฏิเสธงานนี้ก็ได้ ซึ่งมันต้องไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น นับสองจะต้องไม่รู้ว่าเจ้านายในอนาคตของเธอคือใคร จนกว่าเธอจะตกลงยอมเซ็นสัญญาทำงานกับเขา!!
"ครับ เข้าใจครับ"
"ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายก็ไปพักผ่อนเถอะ อะนี่ค่าจ้างหยุดงาน อย่าลืมล่ะโน้มน้าวเธอมาเป็นเลขาผมให้ได้" วายุหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์หน้าจอไม่กี่ครั้ง เสียงข้อความที่โทรศัพท์ของสิงห์ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
หนึ่งหมื่นบาท สำหรับการจ้างให้หยุดงานหนึ่งวัน!!!
"ขอบคุณครับบอส ผมจะไม่ให้บอสผิดหวัง คุณอภิชญาต้องมาเป็นเลขาบอสเท่านั้น ผมจะโน้มน้าวเธอให้ได้!!"
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย เธอลุกขึ้นมานั่งกุมขมับด้วยความปวดหัวราวกับมีคนเอาของแข็งมาทุบเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรง เรียวนิ้วเสยผมขึ้นและจิกกำเอาไว้แน่น นัยน์ตาคู่งามกวาดมองไปรอบห้อง ทั้งเพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งแปลกตา ตอนนี้อภิชญารู้สึกตัวได้ในทันทีว่าห้องที่เธอนอนอยู่นั้น มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง
คนตัวเล็กก้มหน้าลงสำรวจร่างกายของตนเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ร่างกายของเธอเปลือยเปล่า หน้าอกของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยรอยแดง อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บที่ตรงนั้นเหมือนว่ามันเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมา นั่นเป็นสิ่งที่ตบหน้าเรียกสติของเธอได้อย่างดี
ฉิบหายแล้ว เมื่อคืนกูนอนกับใครวะ!!
เธอเองก็ไม่ใช่สาวเวอร์จิ้นหรือบริสุทธิ์อะไรหรอก แต่อย่างน้อยคนที่เธอจะนอนด้วยก็มีแค่แฟนหรือคนที่เธอรักเท่านั้น ไม่ใช่กับคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่ออย่างนี้..
อภิชญารีบคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างรวดเร็ว เธอต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอไม่คิดถามหาความรับผิดชอบจากเขาหรอก เพราะเมื่อคืนเธอเองก็จำได้รางๆ เหมือนกันว่าตัวเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเขาเลยสักนิด
กำปั้นเล็กยีลงบนหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ถึงจะไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนเมื่อคืน แต่เธอก็ยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขาอยู่ และมันก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเสียด้วย
เรือนร่างระหงเดินเข้าไปล้างหน้าเรียกสติตัวเองในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะทำใจเดินออกมาจากห้องนอน เพื่อตามหาผู้ชายที่เธอเผลอตัวไปนอนด้วยเมื่อคืนนี้
"ตื่นแล้วเหรอคะคุณนับสอง" เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องได้เพียงสามก้าว อภิชญาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คุณป้าคนนี้เป็นใคร แล้วรู้ชื่อเล่นของเธอได้ยังไง
"เอ่อ..ที่นี่คือ..ที่ไหนคะ แล้วคุณป้าคือใครเหรอคะ ทำไมถึงรู้จักชื่อหนู"
"ป้าชื่อลำดวนเป็นแม่บ้านของที่นี่ค่ะ คุณนับสองตามป้ามานี่ซิคะ" เมื่อพูดจบป้าแม่บ้านก็หันหลังเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง อภิชญาในชุดมินิเดรสสีชมพูตัวเมื่อคืนก็เดินมาหยุดด้านหลังป้าอีกทีเช่นกัน เธอกวาดสายตามองไปรอบตัวจึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้นั้นใหญ่โตเพียงใด
แต่เดี๋ยวนะ.. บ้าน? บ้านเหรอวะ!!
มีใครบ้างพาสาวที่กะจะนอนด้วยแค่คืนเดียวมานอนที่บ้าน มันไม่ลงทุนเกินไปเหรอ เพราะถ้าดูจากบ้านแล้ว เธอเดาได้เลยว่าเขาต้องเป็นคนรวยมีอันจะกินแน่นอน ทำไมถึงไม่เปิดโรงแรมนอน จะหอบเอาเธอกลับมานอนที่บ้านทำไม
"นายน้อยคะ คุณนับสองมาแล้วค่ะ"
"ให้เธอเข้ามาได้เลยครับ"
"เชิญเลยค่ะ" ป้าแม่บ้านคนนั้นหันมาพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ซึ่งอภิชญาทำได้เพียงยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ฝ่ามือเล็กตบแก้มทั้งสองข้างของตนเองเพื่อเรียกสติ เมื่อทำใจได้แล้วเธอจังผลักประตูบานนั้นเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ