"อะ...เอ่อ...สวัสดีจ้ะ" ฉันทำอะไรไม่ถูก"สวัสดี" พี่ไทตอบด้วยเสียงเรียบเย็นใจเย็น ๆ นะคะคุณสามีฉันจับชายเสื้อของพี่ไทเป็นเชิงห้าม เนื่องจากเขาเป็นคนที่หวงลูกสาวเป็นอย่างมาก"เออ! ไนท์! วันนี้แม่กับเราขับรถผ่านร้านน้ำปั่นดูน่าอร่อยดี อยากลองไปกันดีมั้ย?"น้องไนท์หันมามองฉันด้วยสายตาที่ลังเลอย่างเห็นได้ชัด"เดี๋ยวพ่อขอคุยกับเบนแปปนึงนะ" พี่ไทยิ้มแล้วพาไปคุยห่างจากฉันประมาณห้าเมตรส่วนฉันกับน้องไนท์ที่กำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่เพราะว่าสีหน้าดูไม่ดีเลย ฉันพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบา ๆ ก่อนจะล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือมันคือถุงยางอนามัยน้องไนท์มองไปยังมันแล้วก็หน้าแดง ราวกับว่ารู้จักมันมาก่อนอ๋า... แม่เข้าใจแล้ว ไวเหมือนกันนะเนี่ยลูกเรา ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ"แม่ไม่ว่าหรอกนะที่จะมีอะไรกับเขา แต่แม่ขออย่างเดียวว่าต้องป้องกันไว้ก่อน" ฉันพูดเป็นเชิงสั่งสอนในฐานะที่ตัวเองผ่านเรื่องเหล่านี้มามากมายนับไม่ถ้วน "ไนท์โตแล้ว บางอย่างไนท์สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวไนท์เองแล้วนะ วันนี้แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก"น้องไนท์ตะลึงกับคำพูดของฉันเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเข้ามากอดฉันแล้วพูดขอบคุณพร้อมบอกรักฉ
ระยะเวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน นี่ก็ผ่านไปตั้งสิบห้าปีแล้วสินะที่ฉันกับพี่ไทได้สร้างอาหารเป็นธุรกิจหลักด้วยกัน ซึ่งทุกวันนี้มันก็ยังขายดีไม่เปลี่ยนแปลง ร้านของเราขยายไปอีกสองสาขาโดยที่พี่ไทยังคงทำอยู่ที่สาขาหลัก ส่วนที่เหลือนั้นล้วนเป็นอดีตลูกศิษย์มวยของพี่ไททั้งนั้น เขาจึงถ่ายทอดทักษะการทำอาหารเหมือนกับถ่ายทอดวิชามวยให้ ส่วนพี่ต้อมนั้นก็ให้จัดการคุมสาขาที่สองด้วยกันกับพี่ผึ้ง ส่วนสาขาที่สามนั้นฉันเป็นคนคุมและจ้างคนมาช่วยบริหารเนื่องจากตำแหน่งหลักของฉันก็คือการไปตรวจคุณภาพร้านแต่ละสาขาแล้วตำแหน่งแคชเชียร์ที่ฉันเคยทำที่สาขาแรกล่ะก็ยกตำแหน่งนี้ให้ 'ไนท์' ลูกสาวของฉันเองด้วยความที่เป็นเด็กน่ารักแถมยังสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด และยังมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเกินเด็กจึงทำให้ทางโรงเรียนไม่จำเป็นต้องให้ลูกสาวเข้าเรียนทุกวัน อีกทั้งยังหน้าตาน่ารักจึงสามารถดึงลูกค้าหนุ่ม ๆ เข้ามาได้ตลอด แถมยังมีวาทศิลป์เป็นเลิศทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างเอ็นดูในความน่ารักด้วยความที่เมื่อหลายปีก่อนนั้นทั้งประเทศได้ถูกไวรัสชนิดหนึ่งระบาดไปทั่ว จึงทำให้ทุกอย่างต้องหยุด นั่นก็รวมถึงกิจการร้านอาหารของเราด้วย แต่ก็ยังโชคดีท
"พี่ไม่อยากกลับไปเป็นลูกน้องของนายลีอีกต่อไปแล้ว" พี่ไทบอกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ภายในดวงตาของเขาว่างเปล่าจนไม่สามารถเดาออกว่าคิดอะไรอยู่"ทำไมล่ะพี่?" ฉันถามพลางเม้มปาก"งานที่นายลีมอบหมายให้พี่แต่ละงานนั้นเป็นงานที่ไม่มีใครสามารถทำได้ทั้งนั้น กว่าพี่จะผ่านงานแต่ละงานมาได้นั้นก็แทบลากเลือด" เขาตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิด"แต่นี่มันไม่ใช่งานนักฆ่าแล้วนะ" ฉันแย้ง "หนูเชื่อว่างานพ่อครัวน่าจะไม่น่าทำงานหนักมาก เท่าที่หนูดูมาก็ไม่ได้หนักขนาดนั้น""จริง ๆ พี่อยากจะเปิดร้านตอนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้" พี่ไทพูดอย่างเศร้าสร้อย "มันเป็นความฝันของพี่สมัยที่พี่ทำงานให้นายลีแล้ว""ความฝันอะไรเหรอคะ?" ฉันถามพี่ไทยื่นมือของเขามาลูบที่ท้องของฉันที่กำลังป่องอยู่อย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล"การได้สร้างครอบครัว แต่งงานกับคนดี ๆ และมีลูกด้วยกัน ได้สร้างอะไรที่พวกเราบริหารจัดการกันเอง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "พี่มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหารแต่คงเลือดร้อนเกินไปด้วยแหละ"ฉันลูบศีรษะของสามีด้วยความเอ็นดู"แต่มาเฟียเขามีสัจจะตรงที่ ถ้าออกไปแล้วจะไม่มีวันกลับเข้าแก๊งอีกเด็ดขาด""แต่พี่ไม่ได้กลับไปทำงานในฐานะนักฆ่าแล้วนี่" ฉันพู
"อุ๊กก!! " ฉันรู้สึกคลื่นไส้ในช่วงกลางดึกจนต้องรีบลุกไปสำรอกในห้องน้ำ พี่ไทที่กำลังหลับอยู่ก็ตกใจตื่นลุกขึ้นตามมาดูอาการฉันหอบเมื่อสำรอกทุกอย่างออกมาหมดลงในอ่างชักโครก พี่ไทก็กำลังลูบหลังฉันอย่างเบามือ"เป็นอะไรมากมั้ยนิด?" พี่ไทถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังคงมีความสะลึมสะลือผสมอยู่ครึ่งหนึ่ง"ไม่เป็นไรหรอกพี่" ฉันหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน "แต่ก็รู้สึกมึนหัวนิดหน่อยอะ""ไปหาหมอก่อนมั้ย?""ไม่เป็นไรหรอก" ฉันปฏิเสธทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นแน่นอน"เอางี้ เดี๋ยวตอนนี้ไปดื่มน้ำนอนก่อน แล้วถ้าตื่นมาไม่ดีขึ้น พี่จะพาไปหาหมอ" พี่ไทบอกด้วยเสียงที่จริงจังฉันพยักหน้าด้วยความยินยอมก่อนพี่ไทจะช่วยพยุงร่างของฉันไปนอน.................."เบอร์ยี่สิบเอ็ดเข้าตรวจพบคุณหมอที่ห้องตรวจหมายเลขสามค่ะ" นางพยาบาลชุดขาวนวลใบหน้าสะสวยขอบตาคล้ำ ๆ เรียกหมายเลขที่ตรงกับที่เขียนอยู่ในบัตรคิวซึ่งนางพยาบาลอีกคนให้ฉันไว้ฉันกับพี่ไทลุกเดินเข้าไปในห้องตรวจคุณหมอที่นั่งตรวจเช็คประวัติเมื่อรู้ว่าฉันเดินเข้ามาก็เชิญให้มานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม ส่วนพี่ไทก็ยืนอยู่ด้านหลัง"คุณนิดนะคะ" คุณหมอหญิงวัยกลางคนท่าทางดูใจดีพูดด้วยน้ำเสีย
บรรยากาศในห้องแตกต่างจากที่เราเคยใช้ชีวิตอยู่ก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย เพียงแค่พวกจินดาซื้อไฟสีแดงอมม่วงมาติดและปรับระดับความสว่างให้สลัวเพื่อให้ได้มีบรรยากาศที่จะพร้อมผสมพันธุ์ได้ทุกเมื่อนัยน์ตาของสองเราจ้องกันราวกับว่าจะหลอมรวมกับเป็นหนึ่ง ไม่มีใครกระพริบตาให้กัน อย่างกับว่าต่างคนต่างสะกดใจกันจนไม่มีใครคิดที่จะตื่นจากภวังค์พี่ไทโน้มตัวลงมาจุมพิตริมฝีปากของฉันอย่างนุ่มนวล อารมณ์ของฉันก็พลุ่งพล่านทันทีฉันหลับตาและปล่อยให้อารมณ์มันพลุ่งพล่านออกไปแบบที่ไม่มีวันกลับ ฉันเอื้อมแขนทั้งสองข้างเข้าไปกอดสามีอย่างรักใคร่ ลิ้นของฉันเลื้อยเข้าไปทักทาย"อื้อ~" ฉันหลุดครางไปเล็กน้อยประสานกับเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะพี่ไทผละจากฉันพร้อมกับเปลือยบน ส่วนที่ยากที่สุดก็คงจะเป็นเนคไทที่ต้องแก้ปมให้ถูก ไม่งั้นก็จะกลายเป็นรัดคอเอา ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยกล้ามเนื้อที่เป็นมัดสวย สะท้อนแสงจนแทบจะกลายเป็นกล้ามเนื้ออัญมณี นั่นยิ่งทำให้ช่วงกลางของฉันแฉะไปหมดเมื่อนั้น ฉันลุกขึ้นมารูดซิปเกาะอกของชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ลงเผยให้เห็นหน้าอกอันเต่งตึงแบบที่เขาเคยเห็นอยู่ทุก ๆ วันเขาเอาปากเข้ามาประกบหัวนมที่ตั้งชูก่อน
เสี่ยลีลืมจ่ายเงินค่าบริการแฟนเช่า เขาจึงจัดการจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อเป็นการขอโทษนั่นคือได้มาอีกห้าหมื่น ด้วยเงินทั้งหมดที่มีนั้นทำให้สามารถจัดงานแต่งในวันที่กำหนดได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ด้วยความที่ฉันไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องแล้ว ตามประเพณี ฝ่ายชายจะต้องไปสู่ขอ ซึ่งฉันให้เสี่ยลีเป็นพ่อและแม่เบียร์เป็นแม่ให้แทนแต่สองคนนั้นกลับปฏิเสธ แต่จะเป็นพ่องานแม่งานให้ ฉันจึงต้องขอคนอื่นมาแทนฉันที่แต่งตัวด้วยชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์แบบเกาะอกชายกระโปรงยาวปิดขานั่งอยู่ที่พื้นเวทีที่ประดับไปด้วยดอกไม้หลากสีและนานาชนิด มีการจัดที่นั่งสำหรับพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งพี่ต้อมเป็นพ่อเจ้าบ่าวและพี่ผึ้งเป็นแม่เจ้าบ่าวส่วนพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวก็เป็นเสี่ยลีและแม่เบียร์ซึ่งเสี่ยลีก็รับหน้าที่เป็นประธานในพิธีเช่นกัน ในช่วงแรกนั้นที่ต้องมีพิธีแห่ขันหมากและเจ้าบ่าวจะต้องแจกซองให้ประตูที่จะเข้าไปสู่เจ้าสาว ซึ่งพี่ต้อมเป็นออกเงินให้ก่อนแล้วให้พี่ไทมาใช้คืนทีหลังคนที่มาร่วมงานแต่งส่วนมากจะเป็นเพื่อน ๆ ในพาราไดซ์อาบอบนวดโดยเสี่ยลีเป็นประธานในพิธี นัยน์ตาของเขายังคงมีความเศร้าโศกเก็บซ่อนอยู่และไม่อยากที่จะให้