๗ ปี ก่อนหน้า
บัวบูชา สินธปกรณ์ (ดอกบัวที่นำขึ้นบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์) คือชื่อของผู้หญิง อายุ ๒๑ ปี นักศึกษาชั้นปีที่สี่ สาขาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เจ้าของร่างบางผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ที่มีส่วนสูงประมาณ ๑๖๙ เซนติเมตร ใบหน้าเรียวยาวขาวนวลน่ารักสมวัย ผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวปรกหน้าผากมนทำให้ใบหน้าหวานดูน่ารักขึ้นเป็นเท่าตัว
อีกทั้งจุดไฝสีดำเม็ดเล็กที่แต่งแต้มอยู่ข้างริมฝีปากล่างซ้ายนั้น ทำให้เวลายิ้มใบหน้าดูมีเสน่ห์ไม่น้อย เจ้าตัวในชุดนักศึกษาแขนสั้นสีขาว กระโปรงสีดำ สวมใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเก่ง กำลังช่วยแม่ตักแกงใส่ถุงให้กับลูกค้ามากหน้าหลายตาที่มาต่อแถวรอซื้อกับข้าว
ตึกแถวสองชั้นที่เช่าอยู่ ใช้ชั้นล่างของห้องเปิดเป็นร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ในทุก ๆ เช้าก่อนไปเรียน บัวบูชาจะลงมาช่วยแม่ขายข้าวแกงทุกวัน ร้านข้าวแกงอาหารเหนือร้านนี้ไม่มีวันหยุด เพราะถ้าหยุดนั้นก็หมายถึงรายได้ที่หายไป ตั้งแต่ที่พ่อเสียชีวิตไปด้วยโรคร้าย สองแม่ลูกที่ขาดเสาหลักของบ้านก็แทบล้มทั้งยืน ไหนจะหนี้สินที่ไปกู้ยืมนอกระบบมาเพื่อรักษาผู้เป็นพ่อ ภาระหนักจึงตกเป็นของแม่อุบล หญิงสาวชาวเหนือที่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเข้ามาทำมาหากินในเมืองหลวงพร้อมกับสามีคู่ทุกข์คู่ยาก
ชีวิตก่อนหน้านั้นถึงจะไม่ได้สุขสบายมากนัก แต่ก็ไม่ได้ลำบากเท่าตอนที่สามีคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบยี่สิบปี ล้มหายตายจากไปเพราะโรคร้าย ตอนนั้นบัวบูชาที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก จึงต้องทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในตอนนั้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่ ชีวิตในวัยรุ่นไม่เคยได้เที่ยวเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ต้องตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อมาช่วยแม่เตรียมของเตรียมวัสดุ จากนั้นก็ช่วยแม่ขายจนถึงหกโมงเช้า ก่อนจะรีบกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัวไปโรงเรียน
ส่วนตอนเย็นก็ไปช่วยแม่ขายผัดไทย ในตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่ง จนถึงห้าทุ่มถึงจะได้พากันกลับบ้าน กว่าจะผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ กว่าที่หนี้สินที่หยิบยืมมาจะใช้คืนเจ้าหนี้หมด สองคนแม่ลูกก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดสี่ปีเต็ม จากเด็กหญิงมัธยมปลายในวันนั้น กลายมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่สี่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนั่นก็คือการดิ้นรนทำมาหากินของสองแม่ลูกคู่นี้ จนเป็นภาพที่ชินตาของบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนั้น
จากที่ขายทุกวันแทบไม่มีวันหยุด บัวบูชาก็บังคับให้แม่หยุดขายในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยที่เธอจะออกไปทำงานที่ร้านกาแฟแทน เนื่องจากเป็นห่วงสุขภาพของผู้เป็นแม่ ด้วยวัยที่ย่างเข้าปีที่ห้าสิบหกแล้ว ยืนขายของนาน ๆ ก็ไม่ค่อยไหว เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่า ทำให้ปวดขาเวลายืนนาน ๆ
“บัว ตักถุงนี้เสร็จก็ไปเรียนได้แล้วนะลูก จะเจ็ดโมงแล้ว วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอลูก รีบไปนะช่วงเช้ารถเยอะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
“ได้จ้ะแม่ ขออีกเจ้าหนึ่งนะ”
“พี่สาวเอาอะไรจ๊ะ?” ใบหน้าน่ารักหันไปตอบแม่ก่อนจะหันมาถามลูกค้าสาวที่ยืนรอคิวอยู่ตรงหน้า
“พี่เอาแกงหน่อไม้ ตำขนุน แล้วก็ลาบคั่วแล้วกันจ้ะ”
“ได้จ้ะ” มือเรียวสวยสาละวนกับการตักแกงใส่ถุงตามรายการที่ลูกค้าสั่ง ก่อนจะยื่นถุงพร้อมแจ้งราคา
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะ” เจ้าของรอยยิ้มหวาน เอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับเงินมาแล้วยื่นให้ผู้เป็นแม่
“เอาไว้ไปเรียนเถอะลูก”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ หนูพอมีอยู่ ไม่ค่อยได้ซื้ออะไร แม่เก็บไว้เถอะ”
“ประหยัดได้นะลูก แต่ต้องไม่อดมากจนเกินไป”
“คร้าบบบบบผม หนูไปก่อนนะแม่ เจอกันเย็นนี้นะ”
“จ้าลูก”
บัวบูชานั่งรถเมล์มาลงป้ายหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองหลวง สถานที่ที่เจ้าตัวได้รับทุนเรียนฟรีมาตั้งแต่ปีหนึ่ง กว่าจะคว้าทุนเรียนฟรีมาได้ก็เรียกได้ว่าเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่ผิดนัก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่พ่อป่วย ครอบครัวประสบปัญหาหลาย ๆ ด้าน เธอต้องช่วยแม่ทำงาน และต้องแบ่งเวลามาอ่านหนังสือเพื่อสอบแข่งขันชิงทุนกับคนจำนวนมาก
แต่ก็นับว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างที่เธอเป็นคนหัวเร็ว และเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอสอบติดหนึ่งในนั้น แต่หลังเข้าเรียนแล้วก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาระดับผลการเรียนให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามหลักเกณฑ์ของทุนที่ได้กำหนดไว้ เพราะหากว่าเรียนไม่จบเธอต้องชดใช้เงินพร้อมค่าปรับตามจำนวนของเงินทุนที่ได้รับมาทั้งหมด
ร่างบอบบาง ผิวขาว ปากนิดจมูกหน่อย เดินเข้าห้องเรียนตามปกติ ดวงตาคู่สวยสอดส่องสายตามองหาเพื่อนสนิทที่ไลน์มาบอกก่อนหน้านี้ว่าได้จองที่นั่งให้เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งเห็นเพื่อนสาวโบกไม้โบกมือมาให้ บัวบูชาเลยรีบเดินตรงไปหาเพื่อนทันที
“มาช้านะแก” ณฤดี เอ่ยทัก
“รถติดอะ คนก็เยอะมากด้วย รอรถตั้งนาน” พูดจบก็หย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ
“แกกินข้าวมาหรือยังอะ?”
“อืม กินจากที่บ้านมาแล้ว”
“ทำงานหนักมากนะแก ช่วงนี้ก็ใกล้สอบแล้วด้วย แกมีเวลาอ่านหนังสือบ้างไหมเนี่ย?”
“ไม่มีก็ต้องมีอะแก อาศัยอ่านช่วงเสาร์-อาทิตย์ หลังเลิกงานเอา”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ เอ่อ... ว่าแต่ช่วงนี้แกรับงานจากเจ้กร อยู่ปะ?”
“ไม่อะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเลย เจ้กรบอกว่าส่วนมากตอนนี้จะเป็นงานถ่ายแบบพวกชุดว่ายน้ำซะส่วนใหญ่”
“แกไม่ลองรับถ่ายดูอะ หุ่นแกก็ดีอยู่นะ”
“ไม่เอาอะ เราไม่ได้เป็นมืออาชีพ อีกอย่างเราก็ไม่ได้มั่นใจในหุ่นของตัวเองขนาดนั้น”
และก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยอาจารย์ผู้สอนเสียก่อน สองสาวจึงต้องหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น และหันมาตั้งใจเรียนแทน
บ่ายวันเสาร์ ในร้านคาเฟ่ขนาดกลางบรรยากาศเป็นกันเอง ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีน้ำตาลสไตล์มินิมอล มีทั้งไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งอยู่โดยรอบ ทำให้ร้านคาเฟ่แห่งนี้สะดุดตาผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่มาก บวกกับรสชาติที่อร่อยของเครื่องดื่มและเบเกอรี่ทำให้ร้านคาเฟ่แห่งนี้มีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย บัวบูชาที่กำลังขะมักเขม้นชงเครื่องดื่มตามรายการที่ลูกค้าสั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าผู้มาใหม่ทันทีที่เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น
“อ้าว! พี่เนย เจ้กร สวัสดีค่ะ” บัวบูชายกมือไหว้ เนยสาวสวยเจ้าของร้านแห่งนี้ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเพื่อนสาวประเภทสองชื่อกรกัณฑ์ เจ้าของโมเดลลิงที่เธอเรียกติดปากว่าเจ้กร
“สวัสดีจ้าคนสวย” เจ้กรรับไหว้ พร้อมเอ่ยทักทาย
“สวัสดีจ้าน้องบัว วันนี้ลูกค้าเยอะไหมจ๊ะ?” เจ้าของร้านสาวเอ่ยถาม
“เยอะค่ะพี่เนย เห็นว่ามีคนเอาไปลงเพจ มีคนตามมาทานเพียบเลยค่ะ”
“จริงเหรอ? เพจไหน ๆ พี่ต้องไปขอบคุณเจ้าของเพจแล้วสิ ทำให้คนรู้จักร้านเราเยอะขึ้น ทั้ง ๆ ที่ร้านเราเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ”
“สวัสดีค่ะ พี่เนย เจ้กร เดี๋ยวน้ำเอาให้ดูค่ะ พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ร้านเราดังใหญ่แล้วนะ คนอวยกันใหญ่ว่าบาริสต้าร้านเราเป็นสาวสวยแสนน่ารัก แถมกาแฟและเบเกอรี่ร้านเราก็อร่อยมาก” น้ำ สาวน้อยลูกจ้างอีกคนของร้านเอ่ยกับผู้มาใหม่ทั้งสอง
“สวัสดีจ้า น้องน้ำ จริงเหรอ! ดังใหญ่แล้วนะเรา” เนยหันมากระซิบกับบัวบูชา ซึ่งเจ้าตัวได้แต่ยิ้มรับอ่อน ๆ กับคำกล่าวชมของเจ้าของร้าน
“พี่เนยก็ชมเกินไปค่ะ”
“ก็น้องบัวน่ารักจริง ๆ นี่น่า ว่าแต่รู้จักกับน้องบัวมาก็ตั้งนาน พี่ยังไม่เคยเห็นแฟนน้องบัวเลยเนี่ย” เจ้าของร้านเอ่ยถาม
“บัวยังไม่มีแฟนค่ะ”
“เรื่องจริง?” เนยทำตาโต อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่บัวบูชาบอก
“จริงค่ะ บัวไม่สนใจเรื่องความรักหรอก ทุกวันนี้แค่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็เหนื่อยจะแย่แล้วค่ะ” คนตัวเล็กพูดยิ้ม ๆ
“โธ่! เด็กดีจริง ๆ ลูกสาวของเจ้”
“งั้นก็หางานให้น้องเยอะ ๆ สิแกอะ” เจ้าของร้านสาวหันมาพูดกับเพื่อน
“กูก็ป้อนงานให้น้องมันตลอดแหละ แต่ช่วงนี้มันไม่ค่อยมีงาน แกก็รู้” กรกัณฑ์อธิบาย
“แต่ไม่ต้องห่วงนะหนูบัว ถ้ามีงานเจ้จะรีบบอกหนูทันทีเลย เด็กดี นิสัยน่ารัก ๆ รู้จักกตัญญูอย่างหนู เจ้ไม่ทิ้งแน่นอนจ้ะ”
“ขอบคุณเจ้กร กับพี่เนยมาก ๆ เลยนะคะ พี่ทั้งสองคนช่วยเหลือบัวมาตลอดเลย” บัวบูชา ยกมือไหว้ด้วยความซึ้งใจในน้ำใจของพี่ทั้งสอง
“ไม่เป็นไรจ้ะ พวกพี่ ๆ ก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยได้ เด็กกตัญญูแบบหนูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้แน่นอน เชื่อพี่” กรกัณฑ์ ชายร่างใหญ่แต่ใจสาวโบกไม้โบกมือทำท่าทางบอกว่าไม่เป็นไร
“ใช่จ้ะ มีอะไรก็บอกกัน ปรึกษากันได้ พวกพี่สองคนพร้อมช่วยเสมอ”
“ขอบคุณค่ะ”
บัวบูชาเคารพพี่ทั้งสองคนนี้มาก คนแรกที่ช่วยเหลือเธอก็คือพี่เนยเจ้าของคาเฟ่ที่รับเธอเข้าทำงาน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นทางร้านก็ไม่ขาดพนักงานด้วยซ้ำ ในวันที่เดินเตะฝุ่นหางานทำ เธอสะดุดตาเข้ากับร้านคาเฟ่แห่งนี้ เลยเดินเข้ามาซื้อน้ำหวานดื่มแก้กระหาย จากนั้นลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามพนักงานในร้านว่ารับสมัครพนักงานหรือเปล่า ประจวบเหมาะกับเจอเจ้าของร้านพอดี
พี่เนยเจ้าของร้านเห็นแล้วคงสงสารเลยรับเธอเข้ามาทำงาน เดือนแรกก็ช่วยเสิร์ฟ ล้างจาน และช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน หลังจากนั้นพี่เนยก็ให้ไปเรียนชงกาแฟ และเครื่องดื่มโดยมีพี่เกรซบาริสต้าคนเก่งของร้านเป็นคนสอน หลังจากนั้นสองเดือนพี่เกรซก็ลาออก เธอเลยได้มาเป็นบาริสต้าจำเป็นของร้านแทน
ด้วยความที่เป็นคนหัวเร็ว เรียนรู้จดจำได้ดี และผลจากการที่ช่วยแม่ขายของมาตั้งแต่เด็กทำให้บัวบูชามีทักษะในด้านนี้ ส่งผลให้เจ้าตัวทำมันออกมาได้ค่อนข้างดี เลยได้รับความไว้วางใจจากพี่เนยเจ้าของร้าน
ส่วนเจ้กร เพื่อนพี่เนย พึ่งมารู้จักทีหลัง วันนั้นเจ้กรแวะมาทานกาแฟที่ร้าน พอเห็นหน้าค่าตาเจ้กรก็ชักชวนมาเข้าโมเดลลิงของตัวเองทันที เริ่มแรกก็ป้อนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ เช่น ถ่ายโฆษณาเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ จนมาถึงถ่ายแบบงานบ้าง พอให้เธอมีรายได้ช่วยแม่อีกทางหนึ่ง สองคนนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณของบัวบูชาเลยก็ว่าได้
“ปะป๊าขา วันนี้คุณครูใบเตย ฝากความคิดถึงให้ปะป๊าด้วยค่ะ” สาวน้อยบัวงามพูดขึ้นทันทีหลังจากที่ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น“คุณครูใบเตยไหนคะ?” เสียงหวานหันมาถามลูก แต่สายตาพิฆาตกลับถูกส่งมาให้ศิราซวยแล้วสิ นี่คือเสียงในหัวของศิรา ชายหนุ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก เหงื่อแตกพลั่ก“คุณครูที่โรงเรียนค่ะ” บัวงามตอบคำถามของผู้เป็นแม่“อ๋อ...แล้วทำไมต้องฝากความคิดถึงมาให้เหรอคะ แล้วไปรู้จักกันตอนไหน” รับคำลูกสาวเสร็จก็หันมาถามสามีที่นั่งยิ้มแห้งอยู่ที่โซฟา“รู้จักตอนที่พี่ไปรับลูก นานแล้วจ้ะ”“มิน่า ถึงอยากไปรับลูกที่โรงเรียนบ่อย ๆ”“โธ่...ไม่ใช่นะครับ คุณแม่อย่าอารมณ์เสียสิครับ เดี๋ยวตัวเล็กในท้องจะเครียดเอาได้นะครับ”“...”“ปะป๊าก็แค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของหม่าม้านะครับ ตอนนี้หม่าม้ากำลังท้องอยู่นะครับ”“อย่าให้รู้นะ” บัวบูชาพูดเสียงเรียบ จ้องหน้าศิราเขม็ง“ไม่ให้รู้แน่นอนครับ”“ยังไงนะคะ!” บัวบูชาขมวดคิ้ว“เฮ้ย! ไม่ใช่ครับ ปะป๊าพูดผิด ปะป๊าจะพูดว่ามันจะไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ ปะป๊ารักหม่าม้า รักบัวงาม
เวลาเที่ยงตรงในวันศุกร์ ศิราที่เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกเดินทางไปที่สนามบินทันทีหลังทานข้าวเสร็จ ชายหนุ่มเลือกเที่ยวบินในช่วงเวลาบ่ายโมง ไปถึงเชียงใหม่ก็บ่ายสองโมงครึ่งพอดี มีเวลาเหลือเฟือในการไปรอรับบัวงามลูกสาวเขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ บัวงามเคยบ่นอยู่บ้างเหมือนกันว่าอยากให้ปะป๊าไปรับที่โรงเรียนบ่อย ๆ โดยปกติเขาจะเลือกเดินทางในช่วงเย็นซะส่วนใหญ่ เพราะกว่าจะเคลียร์งานแล้วเสร็จก็ปาไปเกือบ ๕-๖ โมงเย็นแล้วยิ่งวันศุกร์ยิ่งแล้วใหญ่งานเยอะมาก หากศุกร์ไหนมีประชุม หรือมีงานด่วนเขาก็ต้องเลื่อนการเดินทางไปเป็นวันเสาร์ช่วงเช้าแทนถามว่าทำแบบนี้เหนื่อยไหม ตอบเลยว่าเหนื่อยมาก และถ้าถามว่าให้เลิกทำแบบนี้ไหมเขาก็ตอบเลยว่า ‘ไม่มีทาง’ ถึงจะเหนื่อยแต่เมื่อได้เห็นหน้าคนที่รัก คนเป็นพ่ออย่างศิราก็รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วหลังจากลงจากเครื่อง และโทรบอกแม่ของลูกเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นคนไปรับลูกสาวเอง ศิราก็เลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไปรับ เพราะไม่อยากเสียเวลาวนไปเอารถของบัวบูชาที่บริษัท และอีกอย่างมันค่อนข้างที่จะเสียเวลาด้วย เขาไม่อยาก
วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ ศิราเดินทางขึ้นมาเชียงใหม่พร้อมกับผู้เป็นมารดา เพื่อมาหาเรื่องหาฤกษ์งามยามดีงานแต่งให้“วันนี้พวกแม่สองคน ว่าจะไปหาหลวงพ่อที่วัดสักหน่อยนะลูก” จันทรรัตน์พูดขึ้นกลางโต๊ะอาหารขณะทุกคนกำลังทานข้าวกันอยู่“ครับ ขอฤกษ์แบบเร็วที่สุดเลยนะครับ คุณแม่” ศิรายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับบัวบูชาที่ตอนนี้นั่งหน้าแดงหูแดงเถือก“...”“บัวงามอยากเล่นกับน้องแล้ว ใช่ไหมครับลูก?”“ใช่ค่ะ เมื่อไหร่น้องจะมาเล่นกับน้องงามคะ น้องงามรอนานแล้วนะ” เด็กน้อยทำหน้างอใส่ผู้เป็นพ่อ เพราะว่าผ่านมาหลายวันแล้วบัวงามยังไม่เห็นน้องเลย“ใจเย็นลูก ให้พ่อกับแม่เขาแต่งงานกันก่อนนะจ๊ะ” อุบลพูดขึ้นอย่างเอ็นดูหลานสาว“แม่จ๊ะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ หนูกับคุณศิราว่าจะไปเยี่ยมคุณน้ำเพชรสักหน่อยนะจ๊ะ”“อืม ก็ดีเหมือนกันลูก นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว หวังว่าความแค้นของเธอจะเบาบางลงไปบ้างนะ” อุบล กล่าวพร้อมพยักหน้า“หนูก็หวังว่าอย่างนั้นจ้ะ แม่”“แล้วบัวงามจะไปวัดกับคุณย่าคุณยายไหมลูก” จันทรรัตน์หันไปถามหลานสาวตัวน้อย“ไปค่ะ”เวล
ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่ บัวบูชากำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของบัวงาม พร้อมกับกุมมือลูกน้อยไว้ตลอดเวลา ใบหน้าเล็กน่ารักหลับตาพริ้ม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากยาสลบ คุณหมอบอกว่าปริมาณเท่านี้ไม่มีผลข้างเคียงอะไร แต่เพราะบัวงามยังเป็นเด็ก บวกกับความอ่อนเพลียแถมยังไม่ได้กินข้าว เลยทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะหลับลึกตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแค่รอให้หนูน้อยตื่นขึ้นมาเองเท่านั้น ถึงกระนั้นคนเป็นแม่ที่ห่วงลูกมากอย่างบัวบูชาก็ไม่ยอมหลับยอมนอน แม้เวลาจะผ่านไปจนเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตามตอนนี้ในห้องพักพิเศษของทางโรงพยาบาลมีณฤดีนั่งอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพวกคนสูงวัยทั้งสามคนนั้นกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วเรียบร้อยในส่วนของศิรานั้นต้องไปที่สถานีตำรวจ เพื่อจัดการเรื่องคดีความ เพราะก่อนหน้านั้นเธอได้ไปแจ้งความเอาไว้ เมื่อสักครู่ชายหนุ่มได้โทรมาบอกว่าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะขับรถมาที่นี่“แกนอนพักก่อนไหม? เดี๋ยวฉันดูบัวงามให้เอง”“ไม่เป็นไรฤดี ฉันยังไหว” บัวบูชาส่ายหน้า“แกควรพักเอาแรงก่อนนะ ดูสิ ตาก็บวม จมูกก็แดง ไม่สบายไป
ในมุมมุมหนึ่งของไนต์คลับ ร่างของหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเสื้อผ้า และกระเป๋าแบรนด์ดัง กำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอยู่คนเดียว ใบหน้าที่สวยงามในตอนนี้ไม่ได้ดูน่ามองสักเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าของใบหน้ากำลังทำหน้าตาเหมือนกำลังโมโหอะไรอยู่สักอย่างปากก็บ่นพึมพำคนเดียวตลอดเวลา ในมือมีโทรศัพท์เครื่องหรู ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ด้วย“มีความสุขกันจริง ๆ เลยนะ ช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาซะจริงเลย มีความสุขกันเข้าไปเยอะ ๆ เวลาสูญเสียมันจะได้เจ็บเจียนตาย”“พวกมึงสองคนแม่ลูก แย่งพี่ศิราไปจากกู”“บัวบูชากูเกลียดมึง กูอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้ามึงต้องสูญเสียของรักไปอย่างกูบ้างมึงจะยังยิ้มได้แบบนี้ไหม”น้ำเพชรยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้วแล้วเก่าเล่าลงคอราวกับว่ามันเป็นน้ำเปล่า ตั้งแต่เกิดเรื่องในงานแถลงข่าววันนั้น ครอบครัวก็ส่งหญิงสาวไปพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษทันที และพอเห็นว่าสภาพจิตใจของลูกสาวดีขึ้นมากแล้ว สองสามีภรรยาก็ไปรับตัวลูกสาวกลับบ้านเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองแต่ใครจะรู้ว่าสี
เย็นวันหนึ่งขณะศิรากลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่เจอผู้เป็นพ่อนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น และตอนนี้เขาก็มาอยู่ภายในห้องทำงานของผู้เป็นบิดาเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในห้องตอนนี้แตกต่างออกไปจากทุกที มันไม่ได้อึดอัดและมีแรงกดดันเหมือนเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อในตอนนี้ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก จนตัวเขาเองก็แทบไม่เชื่อ“คุณพ่อ มีอะไรครับ?”“เห็นแม่เขาบอกว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดบัวงาม” ชายสูงวัยเอ่ยถาม มือเหี่ยวย่นขยับแว่นตาที่ใส่เล็กน้อย“ครับ”“วันที่เท่าไหร่?”“วันที่ ๖ ครับ ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ ผมว่าจะลางานแล้วไปก่อนสักหนึ่งวัน” ศิราตอบเสียงเรียบ“ช่วงนี้งานก็ไม่ได้เยอะอะไร”“ครับ?” ศิราทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าผู้เป็นพ่อต้องการที่จะสื่อถึงอะไร“งานไม่เยอะก็ลาสักสามสี่วัน”“…”“เดี๋ยวฉันกับแม่แกจะตามไปทีหลัง อาจจะเป็นวันศุกร์ตอนเช้า ยังไงฉันจะเข้าไปช่วยดูที่บริษัทให้ ในช่วงที่แกไ