ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่
“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย
“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”
“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”
“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง
“จ้ะ”
ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที
“แม่ ว่าไงจ๊ะ”
“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับผู้ป่วย นางอุบล สินธปกรณ์ ครับ”
“หนูเป็นลูกสาวค่ะ มะ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” บัวบูชาตกใจจนพูดจาตะกุกตะกัก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังได้ยินประโยคคำพูดจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย
“ญาติผู้ป่วย ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เมื่อสักครู่ทางเราได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าเจอคุณแม่ท่านเป็นลมอยู่ที่หน้าร้าน เลยโทรแจ้งทางเรามาครับ ตอนนี้เรากำลังนำตัวคนป่วยไปส่งที่โรงพยาบาลXX นะครับ”
“ค่ะ ๆ เดี๋ยวหนูรีบไปนะคะ ขอบคุณพี่มากนะคะ ที่ช่วยแม่หนู”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ” ปลายสายเอ่ย
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริง ๆ”
“แกเป็นอะไร ใครโทรมา?” ณฤดีเอ่ยถามเพื่อนสนิท หลังเห็นเพื่อนมีสีท่าไม่ดีหลังจากที่รับโทรศัพท์
“พี่กู้ภัยโทรมา แม่เป็นลม ตอนนี้เขากำลังไปส่งที่โรงพยาบาล” บัวบูชาอธิบายเสียงสั่น เพราะยังไม่หายตกใจ
“หา! แล้ว... แล้วแกจะไปยังไง ให้ฉันไปด้วยไหม?” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปเอง ถ้าแกไปกับฉันใครจะจดเลคเชอร์ ยังไงวิชาต่อไปฝากแกลาอาจารย์ให้ด้วยนะ”
“อืม ว่าแต่แกจะไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ต้อง ๆ แกไม่ต้องห่วงนะ เขาบอกว่าแม่แค่เป็นลม ฉันไปเอง มีอะไรจะโทรหานะ”
“เอางั้นก็ได้ มีอะไรโทรมานะ”
“อืม มีงานอะไรก็โทรบอกด้วย ฝากด้วยล่ะ”
“อืม ๆ รีบไปเถอะ เดินทางปลอดภัย เลิกเรียนแล้วจะตามไปนะ” ณฤดีรับคำ
“โอเค ๆ”
บัวบูชารีบเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะรีบขออนุญาตอาจารย์ออกจากห้อง ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยใจที่ร้อนรุ่มเป็นห่วงมารดาใจแทบขาด หากเช้านี้เธอดึงดันที่จะขายของเอง แม่คงไม่ต้องมาเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้ ได้แต่นึกโทษตัวเองอยู่ภายในใจ พานให้ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
หลังลงจากแท็กซี่บัวบูชาก็รีบเดินแกมวิ่งไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลXXทันที พอแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เสร็จ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าตอนนี้ผู้เป็นแม่ได้ย้ายไปอยู่ที่ห้องพักฟื้นแล้ว ร่างบางไม่รอช้ารีบเดินไปยังห้องดังกล่าวตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกทันที
ร่างบางเคาะประตูสองครั้ง ก่อนที่เสียงจากคนด้านในจะเอ่ยอนุญาตให้เข้าไป ภาพที่บัวบูชาเห็นเป็นสิ่งแรกหลังก้าวเข้ามาในห้องก็คือร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง มีคุณหมอ และพยาบาลกำลังยืนตรวจอาการยืนอยู่ข้าง ๆ
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีค่ะ” บัวบูชารีบยกมือขึ้นไหว้คุณหมอ และคุณพยาบาลทันที
“สวัสดีครับ คุณคงเป็นญาติคนไข้ ใช่ไหมครับ?” คุณหมอวัยกลางคนเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกสาว”
“ครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หมอได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอคนไข้ฟื้น”
“คุณหมอ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” ร่างบางเอ่ยถามบุรุษชุดขาวตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลชัดเจน
“ยังไงหมอขอเชิญญาติคุยรายละเอียดข้างนอกก่อนนะครับ จะได้ไม่รบกวนคนไข้ด้วย”
“ค่ะ”
บัวบูชาหันมามองร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินตามหมอและพยาบาลออกไปด้านนอก
“หมอขอสอบถามหน่อยนะครับ ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยมีอาการอะไรที่บ่งบอกว่ามันผิดปกติหรือว่าผิดวิสัยไปจากเดิมไหมครับ?” หลังนั่งเก้าอี้เรียบร้อยคุณหมอก็ยิงคำถามทันที
“เอ่อ...มีค่ะ แม่ชอบบ่นว่าช่วงนี้รู้สึกว่าเหนื่อยง่าย หายใจติดขัด หายใจลำบาก” บัวบูชาเคยคิดจะพาแม่ไปหาหมออยู่เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันเป็นอาการปกติของคนอายุเยอะทั่ว ๆ ไป เธอเลยเลือกที่จะปล่อยผ่าน
“อืม แล้วมีอาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน หรือว่ายกแขนยกขาไม่ขึ้นมีไหมครับ?” คุณหมอถามต่อ
“อาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน ไม่มีนะคะ แต่ยกแขนยกขาไม่ขึ้น แขนขาไม่มีแรงก็มีบ้างค่ะ เพราะแม่หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ทุกวันต้องยืนขายของนาน ๆ”
“อืม ครับ ตอนนี้หมอก็ยังให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้นะครับ เดี๋ยวต้องรอคนไข้ฟื้นแล้วตรวจดูอาการอีกที”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน บัวบูชาก็ได้ยินข่าวร้ายอีกครั้งในรอบสี่ปี หลังจากที่แม่อุบลฟื้นขึ้นมาในคราวนั้น สภาพร่างกายของแม่ก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น อีกทั้งอาการต่าง ๆ ที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทวีอาการมากยิ่งขึ้น จนตอนนี้ไม่สามารถเดินได้แล้ว หมอระบุว่าแม่ป่วยเป็นโรค ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุของโรคอาจจะเป็นมาจากกรรมพันธุ์ หรือว่าเป็นเพราะแม่เธอทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้วไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง ร่างกายเลยแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา
ช่วงนี้บัวบูชาร้องไห้จนตาบวมเป่งแทบทุกคืน เพราะสงสารผู้เป็นแม่ ปัญหาทุกอย่างในตอนนี้มันรุมเร้าเข้ามามากมายเหลือเกิน ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องเงินค่ารักษาที่ตอนนี้ร่อยหรอไปทุกที ร้านข้าวแกงก็ต้องปิดทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาเหมือนแต่ก่อน
อาศัยแค่เงินจากการไปขายผัดไทยในช่วงเย็นจนถึงดึกแทบทุกวันในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดก็ไปทำงานที่ร้านคาเฟ่ ซึ่งมันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่มันเพิ่มมากขึ้น
ตอนนี้ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลแม่ในช่วงที่เธอไปเรียนหรือออกไปทำงาน เพราะว่าแม่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำกิจวัตรประจำวันก็ลำบาก บัวบูชากลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไประหว่างที่เธอไม่อยู่บ้าน
แรก ๆ แม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว เพราะไม่อยากเสียเงิน แต่บัวบูชาก็ยืนยันว่าต้องจ้างพยาบาลเพราะเจ้าตัวจะได้มีเวลาออกไปทำงานหาเงินข้างนอกบ้าน โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร จนในที่สุดผู้เป็นแม่ก็ยอม
“บัว แม่เป็นยังไงบ้าง?” พี่เนยเจ้าของคาเฟ่ เอ่ยถามขณะที่บัวบูชากำลังเก็บกวาดร้านอยู่หลังร้านปิด
“ตอนนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ อาการทรงตัว ไปหาหมอครั้งล่าสุด หมอบอกว่าอาจจะหายได้ แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย”
“อืม ญาติห่าง ๆ ของพี่ก็เคยเป็นโรคนี้นะ รักษาตัวอยู่เป็นปีสองปี แต่ตอนนี้หายแล้วนะ แล้วแม่เราได้ทำประกันอะไรไว้ไหม?” เจ้าของร้านถามต่อ
“มีแค่ประกันสังคมค่ะ แต่เบิกได้ไม่เต็มจำนวนนะคะ ส่วนต่างค่ายาแต่ละครั้งก็เยอะอยู่ค่ะ”
“แย่เลยสิ ร้านข้าวแกงก็ไม่ได้เปิดเลยใช่ไหม?”
“ค่ะ แต่ผัดไทยบัวก็ยังไปขายเหมือนเดิมนะคะ ช่วงเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์” บัวบูชาพยักหน้า
“โธ่! เหนื่อยแย่เลย ไหนจะต้องเรียนด้วย เสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องมาทำงานร้านพี่อีก”
“บัวยังไหวค่ะ เรื่องเรียนก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอก ยังไงเดี๋ยวพี่ถามอิเจ้ให้อีกทาง ว่ามีงานอะไรให้เราทำบ้างหรือเปล่า?”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่เนย”
สองอาทิตย์หลังจากนั้น บัวบูชาก็มายืนอยู่ที่หน้าร้านบาร์สไตล์โพชาในยุค ๖๐s แห่งหนึ่ง ร้านที่เจ้กรแนะนำให้เธอลองมาสมัครดู เนื่องจากเห็นว่ารายได้ของพนักงานที่นี่ดีมาก ถ้าเทียบกับการไปขายผัดไทย
บัวบูชายืนมองร้านที่เน้นตกแต่งด้วยไฟแสงสีส้มแดงสวยงาม หน้าร้านมีป้ายชื่อร้านเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ประดับด้วยไฟกะพริบระยิบระยับ ก่อนที่จะกระชับกระเป๋าผ้าใบเก่งขึ้นคล้องไหล่ และเดินเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจ
“สวัสดีค่ะ มาขอพบคุณมาวินค่ะ” บัวบูชาเอ่ยแจ้งจุดประสงค์แก่พนักงานต้อนรับหน้าร้าน
“ชื่ออะไรคะ? ได้นัดไว้ไหม?” หญิงสาวหน้าตาน่ารัก อายุน่าจะพอ ๆ กับเธอ เอ่ยถาม
“บัวบูชาค่ะ นัดไว้ค่ะ”
“เชิญนั่งรอด้านในก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูไปแจ้ง คุณมาวินให้ค่ะ” ก่อนจะเดินนำบัวบูชาไปนั่งรอตรงที่นั่งด้านในหลังร้าน
“ขอบคุณค่ะ”
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที มาวิน หรือ วิน ชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาออกไปทางทรงโอป้าเกาหลี เจ้าของร้านบาร์แห่งนี้ก็เดินออกมาพบบัวบูชา ตามที่พนักงานในร้านมาแจ้งก่อนหน้า
“สวัสดีค่ะ” บัวบูชายกมือไหว้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้อง ในหัวคิดว่านี่คงเป็นคุณมาวิน เจ้าของร้าน ตามที่เจ้กรได้บอกไว้
“สวัสดีครับ น้องบัวบูชาใช่ไหม?” เจ้าของร้านขาวตี๋เอ่ยถาม หลังจากรับไหว้คนที่อายุน้อยกว่า เมื่อสองวันก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จาก กรกัณฑ์ ลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าเขาสองปี เอ่ยปากขอฝากเด็กในสังกัดให้มาทำงานที่บาร์ของเขา เห็นว่าเด็กคนนั้นมีภาระต้องใช้เงินเยอะ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และยังต้องรับภาระดูแลแม่ที่ล้มป่วยอีก
“ใช่ค่ะ เรียกบัวเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” บัวบูชาตอบ มือเรียวกุมกันแน่นวางบนตัก ทำตัวประหม่าเล็กน้อย ยามที่สายตาเจ้าของร้านมองมาอย่างพินิจ
“บัว อายุเท่าไหร่แล้วปีนี้”
“ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ เรียนอยู่ปีสี่”
“อืม มันจะกระทบกับการเรียนของเราไหม ตอนนี้งานที่นี่มาแต่งานเสิร์ฟนะ เราทำได้หรือเปล่า?”
“ไม่กระทบค่ะ บัวทำได้ ก่อนหน้านี้บัวเคยขายของมาก่อนค่ะ เรื่องเสิร์ฟสบายมาก”
“อืม ดี ร้านหยุดวันจันทร์วันเดียว เปิดหนึ่งทุ่มจนถึงเที่ยงคืน เข้างานก่อนร้านเปิดประมาณสามสิบนาทีนะ”
“ค่ะ”
“เงินเดือนได้เดือนละหนึ่งหมื่นบาท ทุกสิ้นเดือนมีค่าคอมให้มามากน้อยขึ้นอยู่กับกำไรของร้านในแต่ละเดือน เงินเดือนออกทุกวันที่หนึ่ง ส่วนทิปได้ต่างหาก เป็นทิปแยกของใครของมัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้า มากน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน”
“ค่ะ” บัวบูชานั่งฟังตาแป๋ว อย่างตั้งใจ ใบหน้าน่ารักฉายแววยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้มาวินเผลอมองอย่างลืมตัว
“สามเดือนแรกจะได้แค่เงินเดือนกับทิปนะ ส่วนค่าคอมจะได้หลังจากผ่านงานสามเดือนแล้ว โอเคไหม”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวเรากรอกใบสมัคร พร้อมเอาเอกสารให้พี่ด้วยนะ สะดวกเริ่มงานเลยไหม?”
“ค่ะ สะดวกค่ะ”
“งั้น วันอังคารนี้ เริ่มงานเลยนะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณมาวินมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรน้องชายพี่มันอุตส่าห์ออกปากขอให้ช่วย ทางร้านก็กำลังขาดคนอยู่พอดี กรมันบอกว่าเราเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง แต่เราก็ต้องช่วยพี่ด้วยนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่าทำให้พี่ผิดหวัง” ชายหนุ่มเจ้าของร้านเอ่ย
“ค่ะ บัวจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้คุณมาวินและเจ้กร ผิดหวังแน่นอนค่ะ”
ตี๊ดดเสียงสัญญาณประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนมีเสน่ห์ ศิราในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กับกางเกงสแล็กส์สีกรม มันช่างดูเข้ากันเป็นอย่างมากในสายตาของบัวบูชาคนร่างสูงยื่นเสื้อสูทสีเดียวกันกับกางเกงให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขานิ่งราวกับรูปปั้น“หนู เป็นอะไรคะ?”“เปล่าค่ะ” บัวบูชาตอบพร้อมกับส่ายหัวรัว ทำให้ศิรายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“พี่ศิรา จะทานข้าวหรือว่าอาบน้ำก่อนดีคะ?”“พี่ว่ากินข้าวก่อนดีกว่า ถ้าอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าวเอา”“…”ร่างบางอึกอัก ทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเย้าหยอกของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกจนลามไปถึงใบหู“หน้าแดงใหญ่แล้ว หนูเขินเหรอคะ?” ร่างสูงเอ่ยแซว“พี่ศิรา ไม่แกล้งหนูสิ”“โอเคค่ะ พี่ยังไม่แกล้งตอนนี้ เรามากินข้าวกันก่อนดีกว่าเนอะ ตอนนี้พี่หิวมากเลย”“โห น่ากินจังเลยครับ” ศ
มือเรียวสวยหยิบนามบัตรใบเล็กสีดำขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนนี้แล้วก็ไม่อาจนับได้ “ศิรา กิจธนะวรกุล” ชื่อเจ้าของนามบัตรเด่นชัดอยู่ตรงหน้า พร้อมเบอร์โทรติดต่อ“เฮ้ออออ” เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นจากร่างบาง ทำให้ใบตองที่นั่งข้าง ๆ หันมามองด้วยความสงสัย“พี่บัว เป็นอะไรไปตองเห็นพี่ทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ” หญิงสาวอดไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป“พี่มีเรื่องให้ตัดสินใจนิดหน่อยน่ะ”“ปรึกษา ตอง ได้นะพี่” ใบตองสาวสวยเด็กนั่งดริ๊งก์ประจำร้านเอ่ย“ขอบใจจ้ะ”“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นคุณศิราเลยเนอะ ปกติเขาจะมาหาพี่เกือบทุกคืน” หญิงสาวชวนคุย“บ้า มาหาพี่ที่ไหนกัน” บัวบูชา ก้มหน้าพูดกลบเกลื่อน“แหม พี่บัว ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น ดูก็รู้ว่าคุณเขาชอบพี่มาก ๆ เลยนะ”“…”“เป็นตองนะ ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก ถึงไม่ได้เป็นแฟน เป็นกิ๊กก็ยังดี”“เดี๋ยวเหอะ แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา
“แหมมมม มึง วาสนาคนเรานี่มันไม่เท่ากันซะจริงจริ้ง มึงว่าไหม?”“นั่นนะสิ บางคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทิปไม่ได้สักบาท” บัวบูชาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เนื่องจากได้ยินเสียงพูดคุยของพนักงานหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงทางเดินแว่วมาเข้าหู“ส่วนคนบางคนเดินชม้อยชม้ายส่งสายตายั่วแขกก็ได้ทิปเป็นปึก ๆ สบายไปเลย ตอนนี้เดือน ๆ ได้หลายหมื่นแล้วมั้ง”“ก็วาสนามึงมีไม่เท่าเขาอะเนาะ ก็ต้องทำใจ”“แล้วก็ชอบทำเป็นเล่นตัวนะ อ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำ”บัวบูชาหยุดฟังจนบทสนทนาดังกล่าวจบไป ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ทำได้แค่ก้มหน้าเดินผ่านไป เลี่ยงทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนากระแหนะกระแหนเมื่อสักครู่หญิงสาวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ที่มาทำงานก็เพื่อหาเงิน ใครจะคิดยังไง จะว่ายังไงเธอไม่สน ร่างบางรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนยังไง ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่พวกขี้อิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้น“คุณศิรา รอนานไหมคะ” หลังเลิกงานบัวบูชารีบเดินออกมาจากร้านทันทีเพราะกลัวว่าอีก
บัวบูชาหลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะนั้น หญิงสาวก็เข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ จากตอนแรกที่ใจเต้นแรงเพราะใบหน้าหล่อเหลานั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นอารมณ์โกรธมากกว่า นึกว่าจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ที่แท้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แกหวังอะไรอยู่เนี่ย บัวบูชา ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ขณะกำลังจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ ร่างบางก็ต้องสะดุดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนแทบจะสิงกันอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องน้ำบัวบูชาตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ตอนนี้จะออกไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาที่ดังแว่วมาเบา ๆ“คืนนี้ คุณศิรา มีนัดที่ไหนต่อไหมคะ?” สองแขนเรียวถือวิสาสะยกขึ้นคล้องคอหนาของศิราเอาไว้“ไม่มีครับ” ศิราตอบกลับ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของเจ้าหล่อน ใครมันจะยอมให้ผู้หญิงยั่วอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็เสือผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องโปรยเสน่ห์เขาถนัดนัก“งั้น คืนนี้ไปดื่มต่อที่ห้องดาวไหมคะ?”“ชวนผู้ชายไปที่ห้อง คุณดาว ไม่กลัวเหรอครับ?” ศิราเอียงคอมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย อย่างล
หลังจากวันนั้นก็เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว ที่บัวบูชาทำงานที่บาร์แห่งนี้ ตอนนี้เรียกได้ว่าเธอรู้จักพนักงานในร้านทุกคนแล้ว โดยเฉพาะรุ่นน้องที่ชื่อใบตอง อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีใบตองคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอตลอดทั้งเรื่องงานหรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเวลาเจอกับพวกลูกค้าผู้ชายที่มือไวใจเร็ว ชอบแตะนิดแตะหน่อย หรือพวกที่ชอบพูดจาสองแง่สองง่าม แทะโลมต่าง ๆ นานาแรก ๆ บัวบูชาก็ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่พอปรับตัวได้หญิงสาวก็เริ่มเอาตัวรอดเป็น อยู่ต่อหน้าลูกค้าก็พูดจาคะขา เอาอกเอาใจเก่ง ทำให้ตอนนี้รายได้จากทิปคืนหนึ่งก็ปาไปเกือบสี่พันบาทแล้วแต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าทุกคนในร้านจะดีกับเธอทุกคน มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด โดยเฉพาะกับพวกสาว ๆ ที่ทำงานที่ร้านมาก่อน พอเธอเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ทำให้คนพวกนั้นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่บัวบูชาตัดความฟุ้งซ่านทิ้งไป ทุกวันนี้เธอพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอ ตอนนี้เธอต้องรีบกอบโกยเงินให้ได้มากที่สุด เพราะปลายเทอมหน้าก็เป็นเทอมสุดท้ายของภาคเรียนแล้วซึ่งเป็นเวลา
ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง“จ้ะ”ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที“แม่ ว่าไงจ๊ะ”“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป