Home / วาย / บัวเหนือศิรา / ท้อนะ แต่ถอยไม่ได้

Share

ท้อนะ แต่ถอยไม่ได้

last update Last Updated: 2025-06-02 20:00:46

ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา

“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่

“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย

“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”

“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”

“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง

“จ้ะ”

ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที

“แม่ ว่าไงจ๊ะ”

“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับผู้ป่วย นางอุบล สินธปกรณ์ ครับ”

“หนูเป็นลูกสาวค่ะ มะ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” บัวบูชาตกใจจนพูดจาตะกุกตะกัก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังได้ยินประโยคคำพูดจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย

“ญาติผู้ป่วย ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เมื่อสักครู่ทางเราได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าเจอคุณแม่ท่านเป็นลมอยู่ที่หน้าร้าน เลยโทรแจ้งทางเรามาครับ ตอนนี้เรากำลังนำตัวคนป่วยไปส่งที่โรงพยาบาลXX นะครับ”

“ค่ะ ๆ เดี๋ยวหนูรีบไปนะคะ ขอบคุณพี่มากนะคะ ที่ช่วยแม่หนู”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ” ปลายสายเอ่ย

“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริง ๆ”

“แกเป็นอะไร ใครโทรมา?” ณฤดีเอ่ยถามเพื่อนสนิท หลังเห็นเพื่อนมีสีท่าไม่ดีหลังจากที่รับโทรศัพท์

“พี่กู้ภัยโทรมา แม่เป็นลม ตอนนี้เขากำลังไปส่งที่โรงพยาบาล” บัวบูชาอธิบายเสียงสั่น เพราะยังไม่หายตกใจ

“หา! แล้ว... แล้วแกจะไปยังไง ให้ฉันไปด้วยไหม?” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปเอง ถ้าแกไปกับฉันใครจะจดเลคเชอร์ ยังไงวิชาต่อไปฝากแกลาอาจารย์ให้ด้วยนะ”

“อืม ว่าแต่แกจะไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนจริง ๆ เหรอ?”

“ไม่ต้อง ๆ แกไม่ต้องห่วงนะ เขาบอกว่าแม่แค่เป็นลม ฉันไปเอง มีอะไรจะโทรหานะ”

“เอางั้นก็ได้ มีอะไรโทรมานะ”

“อืม มีงานอะไรก็โทรบอกด้วย ฝากด้วยล่ะ”

“อืม ๆ รีบไปเถอะ เดินทางปลอดภัย เลิกเรียนแล้วจะตามไปนะ” ณฤดีรับคำ

“โอเค ๆ”

บัวบูชารีบเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะรีบขออนุญาตอาจารย์ออกจากห้อง ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยใจที่ร้อนรุ่มเป็นห่วงมารดาใจแทบขาด หากเช้านี้เธอดึงดันที่จะขายของเอง แม่คงไม่ต้องมาเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้ ได้แต่นึกโทษตัวเองอยู่ภายในใจ พานให้ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

หลังลงจากแท็กซี่บัวบูชาก็รีบเดินแกมวิ่งไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลXXทันที พอแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เสร็จ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าตอนนี้ผู้เป็นแม่ได้ย้ายไปอยู่ที่ห้องพักฟื้นแล้ว ร่างบางไม่รอช้ารีบเดินไปยังห้องดังกล่าวตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกทันที

ร่างบางเคาะประตูสองครั้ง ก่อนที่เสียงจากคนด้านในจะเอ่ยอนุญาตให้เข้าไป ภาพที่บัวบูชาเห็นเป็นสิ่งแรกหลังก้าวเข้ามาในห้องก็คือร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง มีคุณหมอ และพยาบาลกำลังยืนตรวจอาการยืนอยู่ข้าง ๆ

“สวัสดีค่ะ / สวัสดีค่ะ” บัวบูชารีบยกมือขึ้นไหว้คุณหมอ และคุณพยาบาลทันที

“สวัสดีครับ คุณคงเป็นญาติคนไข้ ใช่ไหมครับ?” คุณหมอวัยกลางคนเอ่ยถาม

“ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกสาว”

“ครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หมอได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอคนไข้ฟื้น”

“คุณหมอ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” ร่างบางเอ่ยถามบุรุษชุดขาวตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลชัดเจน

“ยังไงหมอขอเชิญญาติคุยรายละเอียดข้างนอกก่อนนะครับ จะได้ไม่รบกวนคนไข้ด้วย”

“ค่ะ”

บัวบูชาหันมามองร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินตามหมอและพยาบาลออกไปด้านนอก

“หมอขอสอบถามหน่อยนะครับ ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยมีอาการอะไรที่บ่งบอกว่ามันผิดปกติหรือว่าผิดวิสัยไปจากเดิมไหมครับ?” หลังนั่งเก้าอี้เรียบร้อยคุณหมอก็ยิงคำถามทันที

“เอ่อ...มีค่ะ แม่ชอบบ่นว่าช่วงนี้รู้สึกว่าเหนื่อยง่าย หายใจติดขัด หายใจลำบาก” บัวบูชาเคยคิดจะพาแม่ไปหาหมออยู่เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันเป็นอาการปกติของคนอายุเยอะทั่ว ๆ ไป เธอเลยเลือกที่จะปล่อยผ่าน

“อืม แล้วมีอาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน หรือว่ายกแขนยกขาไม่ขึ้นมีไหมครับ?” คุณหมอถามต่อ

“อาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน ไม่มีนะคะ แต่ยกแขนยกขาไม่ขึ้น แขนขาไม่มีแรงก็มีบ้างค่ะ เพราะแม่หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ทุกวันต้องยืนขายของนาน ๆ”

“อืม ครับ ตอนนี้หมอก็ยังให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้นะครับ เดี๋ยวต้องรอคนไข้ฟื้นแล้วตรวจดูอาการอีกที”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน บัวบูชาก็ได้ยินข่าวร้ายอีกครั้งในรอบสี่ปี หลังจากที่แม่อุบลฟื้นขึ้นมาในคราวนั้น สภาพร่างกายของแม่ก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น อีกทั้งอาการต่าง ๆ ที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทวีอาการมากยิ่งขึ้น จนตอนนี้ไม่สามารถเดินได้แล้ว หมอระบุว่าแม่ป่วยเป็นโรค ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุของโรคอาจจะเป็นมาจากกรรมพันธุ์ หรือว่าเป็นเพราะแม่เธอทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้วไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง ร่างกายเลยแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา

ช่วงนี้บัวบูชาร้องไห้จนตาบวมเป่งแทบทุกคืน เพราะสงสารผู้เป็นแม่ ปัญหาทุกอย่างในตอนนี้มันรุมเร้าเข้ามามากมายเหลือเกิน ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องเงินค่ารักษาที่ตอนนี้ร่อยหรอไปทุกที ร้านข้าวแกงก็ต้องปิดทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาเหมือนแต่ก่อน

อาศัยแค่เงินจากการไปขายผัดไทยในช่วงเย็นจนถึงดึกแทบทุกวันในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดก็ไปทำงานที่ร้านคาเฟ่ ซึ่งมันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่มันเพิ่มมากขึ้น

ตอนนี้ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลแม่ในช่วงที่เธอไปเรียนหรือออกไปทำงาน เพราะว่าแม่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำกิจวัตรประจำวันก็ลำบาก บัวบูชากลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไประหว่างที่เธอไม่อยู่บ้าน

แรก ๆ แม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว เพราะไม่อยากเสียเงิน แต่บัวบูชาก็ยืนยันว่าต้องจ้างพยาบาลเพราะเจ้าตัวจะได้มีเวลาออกไปทำงานหาเงินข้างนอกบ้าน โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร จนในที่สุดผู้เป็นแม่ก็ยอม

“บัว แม่เป็นยังไงบ้าง?” พี่เนยเจ้าของคาเฟ่ เอ่ยถามขณะที่บัวบูชากำลังเก็บกวาดร้านอยู่หลังร้านปิด

“ตอนนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ อาการทรงตัว ไปหาหมอครั้งล่าสุด หมอบอกว่าอาจจะหายได้ แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย”

“อืม ญาติห่าง ๆ ของพี่ก็เคยเป็นโรคนี้นะ รักษาตัวอยู่เป็นปีสองปี แต่ตอนนี้หายแล้วนะ แล้วแม่เราได้ทำประกันอะไรไว้ไหม?” เจ้าของร้านถามต่อ

“มีแค่ประกันสังคมค่ะ แต่เบิกได้ไม่เต็มจำนวนนะคะ ส่วนต่างค่ายาแต่ละครั้งก็เยอะอยู่ค่ะ”

“แย่เลยสิ ร้านข้าวแกงก็ไม่ได้เปิดเลยใช่ไหม?”

“ค่ะ แต่ผัดไทยบัวก็ยังไปขายเหมือนเดิมนะคะ ช่วงเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์” บัวบูชาพยักหน้า

“โธ่! เหนื่อยแย่เลย ไหนจะต้องเรียนด้วย เสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องมาทำงานร้านพี่อีก”

“บัวยังไหวค่ะ เรื่องเรียนก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอก ยังไงเดี๋ยวพี่ถามอิเจ้ให้อีกทาง ว่ามีงานอะไรให้เราทำบ้างหรือเปล่า?”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่เนย”

สองอาทิตย์หลังจากนั้น บัวบูชาก็มายืนอยู่ที่หน้าร้านบาร์สไตล์โพชาในยุค ๖๐s แห่งหนึ่ง ร้านที่เจ้กรแนะนำให้เธอลองมาสมัครดู เนื่องจากเห็นว่ารายได้ของพนักงานที่นี่ดีมาก ถ้าเทียบกับการไปขายผัดไทย

บัวบูชายืนมองร้านที่เน้นตกแต่งด้วยไฟแสงสีส้มแดงสวยงาม หน้าร้านมีป้ายชื่อร้านเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ประดับด้วยไฟกะพริบระยิบระยับ ก่อนที่จะกระชับกระเป๋าผ้าใบเก่งขึ้นคล้องไหล่ และเดินเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจ

“สวัสดีค่ะ มาขอพบคุณมาวินค่ะ” บัวบูชาเอ่ยแจ้งจุดประสงค์แก่พนักงานต้อนรับหน้าร้าน

“ชื่ออะไรคะ? ได้นัดไว้ไหม?” หญิงสาวหน้าตาน่ารัก อายุน่าจะพอ ๆ กับเธอ เอ่ยถาม

“บัวบูชาค่ะ นัดไว้ค่ะ”

“เชิญนั่งรอด้านในก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูไปแจ้ง คุณมาวินให้ค่ะ” ก่อนจะเดินนำบัวบูชาไปนั่งรอตรงที่นั่งด้านในหลังร้าน

“ขอบคุณค่ะ”

เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที มาวิน หรือ วิน ชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาออกไปทางทรงโอป้าเกาหลี เจ้าของร้านบาร์แห่งนี้ก็เดินออกมาพบบัวบูชา ตามที่พนักงานในร้านมาแจ้งก่อนหน้า

“สวัสดีค่ะ” บัวบูชายกมือไหว้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้อง ในหัวคิดว่านี่คงเป็นคุณมาวิน เจ้าของร้าน ตามที่เจ้กรได้บอกไว้

“สวัสดีครับ น้องบัวบูชาใช่ไหม?” เจ้าของร้านขาวตี๋เอ่ยถาม หลังจากรับไหว้คนที่อายุน้อยกว่า เมื่อสองวันก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จาก กรกัณฑ์ ลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าเขาสองปี เอ่ยปากขอฝากเด็กในสังกัดให้มาทำงานที่บาร์ของเขา เห็นว่าเด็กคนนั้นมีภาระต้องใช้เงินเยอะ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และยังต้องรับภาระดูแลแม่ที่ล้มป่วยอีก

“ใช่ค่ะ เรียกบัวเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” บัวบูชาตอบ มือเรียวกุมกันแน่นวางบนตัก ทำตัวประหม่าเล็กน้อย ยามที่สายตาเจ้าของร้านมองมาอย่างพินิจ

“บัว อายุเท่าไหร่แล้วปีนี้”

“ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ เรียนอยู่ปีสี่”

“อืม มันจะกระทบกับการเรียนของเราไหม ตอนนี้งานที่นี่มาแต่งานเสิร์ฟนะ เราทำได้หรือเปล่า?”

“ไม่กระทบค่ะ บัวทำได้ ก่อนหน้านี้บัวเคยขายของมาก่อนค่ะ เรื่องเสิร์ฟสบายมาก”

“อืม ดี ร้านหยุดวันจันทร์วันเดียว เปิดหนึ่งทุ่มจนถึงเที่ยงคืน เข้างานก่อนร้านเปิดประมาณสามสิบนาทีนะ”

“ค่ะ”

“เงินเดือนได้เดือนละหนึ่งหมื่นบาท ทุกสิ้นเดือนมีค่าคอมให้มามากน้อยขึ้นอยู่กับกำไรของร้านในแต่ละเดือน เงินเดือนออกทุกวันที่หนึ่ง ส่วนทิปได้ต่างหาก เป็นทิปแยกของใครของมัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้า มากน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน”

“ค่ะ” บัวบูชานั่งฟังตาแป๋ว อย่างตั้งใจ ใบหน้าน่ารักฉายแววยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้มาวินเผลอมองอย่างลืมตัว

“สามเดือนแรกจะได้แค่เงินเดือนกับทิปนะ ส่วนค่าคอมจะได้หลังจากผ่านงานสามเดือนแล้ว โอเคไหม”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวเรากรอกใบสมัคร พร้อมเอาเอกสารให้พี่ด้วยนะ สะดวกเริ่มงานเลยไหม?”

“ค่ะ สะดวกค่ะ”

“งั้น วันอังคารนี้ เริ่มงานเลยนะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณมาวินมากค่ะ”

“ไม่เป็นไรน้องชายพี่มันอุตส่าห์ออกปากขอให้ช่วย ทางร้านก็กำลังขาดคนอยู่พอดี กรมันบอกว่าเราเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง แต่เราก็ต้องช่วยพี่ด้วยนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่าทำให้พี่ผิดหวัง” ชายหนุ่มเจ้าของร้านเอ่ย

“ค่ะ บัวจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้คุณมาวินและเจ้กร ผิดหวังแน่นอนค่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บัวเหนือศิรา   แม่มดใจร้ายกลับมาแล้ว

    ในมุมมุมหนึ่งของไนต์คลับ ร่างของหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเสื้อผ้า และกระเป๋าแบรนด์ดัง กำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอยู่คนเดียว ใบหน้าที่สวยงามในตอนนี้ไม่ได้ดูน่ามองสักเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าของใบหน้ากำลังทำหน้าตาเหมือนกำลังโมโหอะไรอยู่สักอย่างปากก็บ่นพึมพำคนเดียวตลอดเวลา ในมือมีโทรศัพท์เครื่องหรู ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ด้วย“มีความสุขกันจริง ๆ เลยนะ ช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาซะจริงเลย มีความสุขกันเข้าไปเยอะ ๆ เวลาสูญเสียมันจะได้เจ็บเจียนตาย”“พวกมึงสองคนแม่ลูก แย่งพี่ศิราไปจากกู”“บัวบูชากูเกลียดมึง กูอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้ามึงต้องสูญเสียของรักไปอย่างกูบ้างมึงจะยังยิ้มได้แบบนี้ไหม”น้ำเพชรยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้วแล้วเก่าเล่าลงคอราวกับว่ามันเป็นน้ำเปล่า ตั้งแต่เกิดเรื่องในงานแถลงข่าววันนั้น ครอบครัวก็ส่งหญิงสาวไปพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษทันที และพอเห็นว่าสภาพจิตใจของลูกสาวดีขึ้นมากแล้ว สองสามีภรรยาก็ไปรับตัวลูกสาวกลับบ้านเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองแต่ใครจะรู้ว่าสี

  • บัวเหนือศิรา   ลูกสาวของปะป๊าศิรา

    เย็นวันหนึ่งขณะศิรากลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่เจอผู้เป็นพ่อนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น และตอนนี้เขาก็มาอยู่ภายในห้องทำงานของผู้เป็นบิดาเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในห้องตอนนี้แตกต่างออกไปจากทุกที มันไม่ได้อึดอัดและมีแรงกดดันเหมือนเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อในตอนนี้ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก จนตัวเขาเองก็แทบไม่เชื่อ“คุณพ่อ มีอะไรครับ?”“เห็นแม่เขาบอกว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดบัวงาม” ชายสูงวัยเอ่ยถาม มือเหี่ยวย่นขยับแว่นตาที่ใส่เล็กน้อย“ครับ”“วันที่เท่าไหร่?”“วันที่ ๖ ครับ ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ ผมว่าจะลางานแล้วไปก่อนสักหนึ่งวัน” ศิราตอบเสียงเรียบ“ช่วงนี้งานก็ไม่ได้เยอะอะไร”“ครับ?” ศิราทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าผู้เป็นพ่อต้องการที่จะสื่อถึงอะไร“งานไม่เยอะก็ลาสักสามสี่วัน”“…”“เดี๋ยวฉันกับแม่แกจะตามไปทีหลัง อาจจะเป็นวันศุกร์ตอนเช้า ยังไงฉันจะเข้าไปช่วยดูที่บริษัทให้ ในช่วงที่แกไ

  • บัวเหนือศิรา   หลานสาวคุณย่า

    วันนี้บ้านสินธปกรณ์ได้ต้อนรับแขกคนสำคัญสองคนในช่วงเช้าของวันจันทร์ นั่นก็คือศิราและจันทรรัตน์“สวัสดีครับคุณป้า นี่คุณแม่ผมเองครับ แม่ครับ นี่ป้าอุบลแม่ของบัวบูชา” ศิรากล่าวสวัสดี หลังจากที่ทุกคนนั่งลงกันหมดแล้ว“สวัสดีค่ะ คุณอุบล”“สวัสดีค่ะ จันทรรัตน์ เรียกอุบลเฉย ๆ เถอะค่ะ”“ค่ะ ถ้างั้นก็เรียกจันทร์เฉย ๆ ก็พอนะคะ ที่เราสองคนมาในวันนี้ เพราะมีเรื่องจะมาคุยด้วยค่ะ เรื่องหนูบัวและน้องบัวงาม”“ค่ะ ดิฉันก็พอทราบมาบ้างแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ก็มีการคุยกันไปบ้างแล้ว”“ที่ดิฉันมาในวันนี้ คืออยากจะมากราบขอโทษคุณอุบลแล้วก็หนูบัว ทางฝั่งดิฉันทำผิดต่อพวกคุณจริง ๆ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาพวกคุณต้องเจอกับอะไรมาบ้าง แต่นับตั้งแต่นี้ไปฉันจะทำทุกอย่างเพื่อชดเชยให้นะคะ” จันทรรัตน์ มีสีหน้าสำนึกผิด“ดิฉันไม่ต้องการเงินทองของนอกกายหรอกค่ะ ขอแค่ให้ลูกกับหลานมีความสุขเท่านั้นก็พอ ส่วนเรื่องอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไป อย่าไปยึดติดคิดแค้นว่าใครผิดใครถูกเลยค่ะ ทุกคนมีเรื่องที่ตัดสินใจผิดพลา

  • บัวเหนือศิรา   น้ำเพชรเกลียดทุกคน

    บ้านกิจธนะวรกุลเพียะ!ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบของผู้เป็นพ่อ ร่างสูงของศิรายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขายอมให้ผู้เป็นพ่อตบเขาได้ตามใจต้องการ จะทุบจะตบตียังไงเขาก็ไม่สนใจแล้ว“พอหรือยังครับ? ถ้ายังไม่พอตบอีกสิครับ”“นี่! แกอย่ามาท้าฉันนะ”“ผมไม่ได้ท้าครับ ผมพูดจริง ผมยอมให้พ่อตบตีได้เท่าที่พอใจเลยครับ เพราะมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะได้ตบผมอีก”“...”“และหลังจากนี้ผมจะได้ไปใช้ชีวิตของผมเองสักที ชีวิตที่ไม่มีพ่อคอยควบคุม”“แกจะไปไหน?”“ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ยังทำงานให้พ่อต่อเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่เพื่อพ่อนะครับ แต่เพื่อลูกเพื่อเมียของผม”“หึ หายไปตั้งห้าปี แกดูมั่นใจนะว่าเป็นลูกแก”ศิราไม่พูดอะไร ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลในกระเป๋าแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อแทน เขาเห็นผู้เป็นพ่อเหลือบตามามองดูเล็กน้อย“ผมจะเข้าไปกราบขอโทษคุณลุงคุณป้ารวมถึงน้ำเพชรด้วย ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอ

  • บัวเหนือศิรา   แถลงข่าว

    ภายในงานเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ในพื้นที่เขตบางนา เช้านี้ศิราเดินทางมาแต่เช้า พร้อมกับจารวีเลขาคนรู้ใจ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม บวกกับบุคลิกภายนอกที่นิ่งขรึม ส่งผลให้ศิราดูมีภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามงานนี้สื่อมวลชน และนักข่าวต่างมากันอย่างล้นหลาม สมกับเป็นงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะงานนี้บริษัททุ่มทุนไม่อั้นในการประชาสัมพันธ์เหล่าบรรดาผู้บริหารน้อยใหญ่ หุ้นส่วนทั้งหลาย รวมถึงคู่ค้าทางธุรกิจมากมาย ต่างตบเท้าเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับท่านประธานใหญ่ศัจกรกิจไพศาล กันอย่างท่วมท้นนอกจากงานหลักอย่างงานเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแล้ว สิ่งที่นักข่าวทั้งหลายต่างพากันสนใจก็คงจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของศิรา เพราะเจ้าตัวดูขยันเป็นข่าวกับคนโน้นคนนี้บ่อยเหลือเกินอย่างช่วงเดือนก่อนก็มีข่าวกับนักธุรกิจสาวหน้าหวานคนเชียงใหม่ ที่ชาวเน็ตต่างให้ความสนใจ จนเกิดการเปรียบเทียบกับว่าที่คู่หมั้นสาวสวยลูกเจ้าของห้างดัง ในเรื่องของความเก่ง และความสามารถ หากต้องการคู่ครองที่เกื้อหนุนกันในเชิงธุรกิจทั้งสองฝ่ายก็ดูมีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันไป

  • บัวเหนือศิรา   ทำหน้าที่พ่อ

    ร่างบางรับคำผู้เป็นแม่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำศิราไปที่ห้องนั่งเล่น บัวงามตอนนี้กำลังนั่งระบายสีอยู่กับป้าน้อย พอเห็นคนที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่มาเท่านั้นแหละ มือน้อยทิ้งสีเทียนลง และวิ่งไปกอดหาคุณลุงทันทีด้วยความคิดถึง“คุณลุงคนหล่อเท่”“สวัสดีคุณลุง ก่อนสิลูก”“สวัสดีค่ะคุณลุง วันนี้มารับน้องงามไปเที่ยวใช่ไหมคะ?” เพราะศิราเคยสัญญาไว้ก่อนจะกลับไปกรุงเทพครั้งก่อน ซึ่งบัวงามจำได้ดี“น้องงามอยากไปเที่ยวเหรอครับ?” ศิราก้มตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอก ดีใจจนน้ำตารื้น อยากจะหอม อยากจะกอดอย่างนี้นาน ๆ อยากได้ยินเสียงเล็กเรียกเขาว่าปะป๊าสักครั้งจะรู้สึกดีแค่ไหนกันนะ“อยากมาก ๆ เลยค่ะ หม่าม้าก็ไปทำงาน น้องงามเหง้าเหงา” เด็กน้อยฟ้อง“งั้นวันนี้ไปเที่ยวที่ทำงานกับหม่าม้าดีไหมคะ?” บัวบูชาเอ่ยชวน“น้องงามเบื่อที่ทำงานหม่าม้าแล้วเหมือนกัน” พูดเสียงเล็กเสียงน้อย ท่าทางกระเง้ากระงอด น่าเอ็นดูเป็นที่สุด“อ้าว เป็นงั้นไป ถ้าป้าฤดีมาได้ยินคงร้องไห้แล้วป่านนี้&rdqu

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status