Home / อื่น ๆ / บุปผาพันธนาการ / ตอนที่ 8 กลิ่นบุปผาในคืนฝนตก

Share

ตอนที่ 8 กลิ่นบุปผาในคืนฝนตก

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-09-08 21:24:46

ฟ้าเหนือเมืองมืดครึ้มตั้งแต่ยามบ่าย เมฆหนาหนักปกคลุมจนตะวันแทบไม่อาจแทรกผ่านได้ ลมเย็นพัดโบกเป็นสัญญาณว่าฝนแรกแห่งปลายฤดูร้อนกำลังมาเยือน

เรือนจำเงาหยกซึ่งอยู่ใต้พื้นดินเย็นยะเยือกอยู่แล้ว เมื่อฝนพรำก็ยิ่งชื้นและอับ เสียงหยดน้ำซึมผ่านรอยแตกร้าวบนเพดานตกกระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะผสมกับเสียงสายฝนที่สาดซัดด้านนอก บรรยากาศคล้ายกำลังเล่นบทเพลงเศร้าที่ไม่มีผู้ใดอยากฟัง

ซูฮวาอิ๋นนั่งพิงผนังห้องขังอย่างสงบ ดวงตาสะท้อนเปลวตะเกียงที่สั่นไหว ริมฝีปากนางค่อย ๆ ขยับเปล่งเสียงทำนองเก่าแก่ เพลงที่เคยขับกล่อมให้เด็กน้อยหลับไหลในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ

เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่ามีเสน่ห์อ่อนหวานราวกลีบเหมยที่โปรยกลางหิมะ ทำนองพลิ้วไหวไม่รีบร้อน คล้ายสายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านซอกหินและหญ้า แม้เป็นเพียงเสียงเบา ๆ แต่กลับดังชัดในยามเงียบเช่นนี้

เจิ้งหลินอวี่ที่เพิ่งกลับมาจากตรวจพื้นที่กองคลังหยุดเท้าทันทีเมื่อเสียงเพลงนั้นลอดออกมาจากห้องขัง เขายืนนิ่งอยู่ในเงามืด ปล่อยให้สายฝนด้านนอกประสานกับเสียงร้องในเรือนจำ จนเกิดเป็นภาพที่พาเขาย้อนกลับไปสู่คืนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน

คืนที่หิมะโปรยปราย เด็กชายวัยสิบขวบถูกโจรป่าล้อมกลางป่า หัวแตกเลือดไหลจนดวงตาพร่ามัว ร่างเล็กสั่นเทิ้มอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ท่ามกลางเสียงฝนหิมะที่ตกผสมกันไม่หยุด

ในวินาทีนั้น เขาได้ยินเสียงทำนองหนึ่ง เสียงสตรีที่ฮัมเพลงโบราณ เสียงนั้นอบอุ่นยิ่งกว่ากองไฟ เสียงนั้นทำให้ความหวาดกลัวค่อย ๆ จางลงไป และในเงาหิมะขาว เขาจำได้เพียงเงาร่างบางในชุดแพรสีอ่อน ที่ยื่นมือมาปัดเลือดที่ขมับของเขา

เสียงเพลงปัจจุบันดึงเขากลับมา เจิ้งหลินอวี่หายใจแรงขึ้นเล็กน้อย สายตาคมกริบวูบหนึ่งกลับแฝงความสั่นไหว เสียงนี้ คือเสียงเดียวกัน

เขาก้าวเข้ามาใกล้ราวเหล็ก ซูฮวาอิ๋นยังคงร้องเพลงต่อโดยไม่หยุด ราวกับตั้งใจจะปล่อยให้ทำนองนั้นชำระความอับชื้นและโซ่ตรวนให้จางหาย

เมื่อเพลงจบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยังแตะแนวรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่สวยสบกับเขาโดยไม่หลบเลี่ยง ในคืนฝน เสียงเพลงจะทำให้ใจคนยังคงมีที่พึ่ง

เจิ้งหลินอวี่ยืนนิ่ง มองนางไม่วางตา เสียงฝนที่ซัดอยู่เบื้องนอกกลับเบาลงเมื่อเทียบกับเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นแรง

“เพลงนี้…” เขาพูดช้า ๆ “เจ้าเคยร้องให้เด็กคนหนึ่งฟัง ใช่หรือไม่”

ซูฮวาอิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนล่วงรู้ว่าเขากำลังนึกถึงสิ่งใด

“บางที ข้าอาจร้องให้ใครหลายคนฟัง แต่ท่านแน่ใจหรือ ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น”

สายตาทั้งสองสบกันในยามที่เปลวตะเกียงไหวแรงที่สุด ฝนตกหนักขึ้นราวกับจะซ่อนความจริงและหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่แพ้กัน

เสียงฝนกระหน่ำบนพื้นดินเหนือศีรษะดังดุจเสียงกลองทัพ ก้องสะท้อนเข้ามาในเรือนจำเงาหยก เสียงน้ำรินไหลจากเพดานหินรวมเป็นสายเล็ก ๆ รินตามร่องกำแพงลงสู่พื้น ความเย็นชื้นกัดกินกระดูก แต่บรรยากาศกลับอุ่นขึ้นด้วยทำนองที่ยังหลงเหลือในอากาศ เจิ้งหลินอวี่ยืนนิ่งมองซูฮวาอิ๋นอยู่ครู่ยาว ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพลงที่เจ้าร้อง มันเหมือนเพลงที่ข้าเคยได้ยินเมื่อสิบปีก่อน”

ซูฮวาอิ๋นไม่ตอบในทันที นางเพียงเอื้อมมือเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงข้างแก้ม ลมหายใจนุ่มเบา

“บางทีบทเพลงก็เดินทางไกลกว่าที่เราคิด ข้าเพียงร้องสิ่งที่เคยจำจากมารดา ใครจะรู้ว่ามันเคยปลอบโยนใครมาก่อน”

คำตอบเรียบง่าย แต่กลับกระแทกใจชายหนุ่ม เขาหลุบตาลงชั่วครู่ ความทรงจำวันนั้นยังแจ่มชัด เสียงฝน เสียงเพลง และดวงตาคู่นั้นที่แม้ในความมืดก็ยังส่องสว่าง

“หากเป็นเจ้า…” เขากระซิบแผ่ว ราวกับไม่ต้องการให้แม้แต่โซ่ตรวนได้ยิน “ก็แปลว่า ข้าเคยเป็นหนี้ชีวิตเจ้ามาก่อน”

ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นมิได้เย้ยหยัน แต่มีแววอ่อนโยนบางเบา

“หนี้หรือบุญคุณไม่เคยมีความหมายกับข้า สิ่งเดียวที่สำคัญคือ วันนั้น ข้าเลือกช่วย เพราะไม่อยากเห็นใครต้องตาย”

สายตาเจิ้งหลินอวี่สั่นไหว เขากำหมัดแน่นในแขนเสื้อยาวเพื่อซ่อนความรู้สึก สตรีตรงหน้านี้ มิได้เป็นเพียงนักโทษ แต่เป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยหยิบยื่นชีวิตให้ข้า...

หลังจากเงียบครู่หนึ่ง เขาจึงเปลี่ยนเสียงให้มั่นคงดังเดิม

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถามเจ้าอีก ในคืนงานเลี้ยง เจ้ารู้หรือไม่ ว่าใครเป็นผู้ส่งกล่องผ้าขาวให้เจ้าถือไปใกล้โต๊ะเสวย”

ซูฮวาอิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ความทรงจำวาบกลับมา

“ข้า ได้รับกล่องจากขันทีในเงามืด ข้าไม่ทันได้เห็นหน้า เพราะเขาสวมผ้าคลุมครึ่งใบ” นางหลับตาชั่ววูบพยายามนึก “แต่มีกลิ่น…”

“กลิ่นหรือ?” เจิ้งหลินอวี่ถามทันควัน

“ใช่” นางลืมตาขึ้น “กลิ่นน้ำมันหอมระเหย ไม่ใช่กลิ่นของขันทีธรรมดา หากเป็นกลิ่นที่สตรีในตำหนักชั้นสูงนิยมใช้”

คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของเจิ้งหลินอวี่เข้มขึ้นราวกับเปลวไฟกะทันหัน เขารู้ดีว่าเฉินกุ้ยเฟย ผู้เป็นที่โปรดปรานใช้กลิ่นหอมชนิดเดียวกัน หลักฐานบางอย่างเริ่มร้อยเรียงเข้าหากันแล้ว

เขาสบตาซูฮวาอิ๋นอีกครั้ง ความเงียบที่คล้ายเป็นคำสัญญาเกิดขึ้นในอากาศ ข้าจะหาความจริงให้เจอ แม้จะต้องสู้กับคนทั้งวังหลวงก็ตาม

เสียงฝนยังคงกระหน่ำไม่หยุด ราวกับสวรรค์เองก็อยากล้างคราบสกปรกที่เกาะกุมอยู่ในวังหลวง แต่คราบที่ฝังลึกในใจคน กลับไม่อาจชะล้างได้ด้วยน้ำฟ้าทั้งหมด

เจิ้งหลินอวี่เงยหน้ามองเพดานหินชื้น ก่อนหันกลับไปสบตาซูฮวาอิ๋นอีกครั้ง

“กลิ่นหอมเช่นนั้น หากเจ้าไม่บอก ข้าก็คงคิดว่าเป็นเพียงกลิ่นฝนซึม แต่นี่มันคือร่องรอย”

ซูฮวาอิ๋นยกริมฝีปากขึ้นเพียงน้อย “แล้วท่านจะทำอย่างไร หากร่องรอยนั้นชี้ไปยังผู้ที่สูงศักดิ์เกินกว่าจะเอื้อมแตะต้อง”

“ยิ่งสูงศักดิ์ ก็ยิ่งทิ้งเงายาว” เจิ้งหลินอวี่ตอบเรียบ แต่ดวงตาคมเข้มวาวขึ้น

“และเงายาวนั้นเองที่จะเผยร่างเจ้าของออกมา”

คำพูดนั้นทำให้หัวใจซูฮวาอิ๋นสั่นวูบ นางเม้มริมฝีปากแน่น รู้ว่าชายตรงหน้านี้ไม่ใช่เพียงขุนนางสอบสวน แต่คือผู้ที่กำลังเลือกเดินบนเส้นทางอันตราย ที่อาจแลกด้วยชีวิตของเขาเอง

นางเบือนสายตาไปทางตะเกียงเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างอย่างอ่อนแรง

“บางครั้ง ข้าอยากให้ท่านวางปากกา วางดาบ แล้วหันหลังหนีไปเสีย จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของคนพวกนั้น”

“และปล่อยให้เจ้าตายอยู่ในกรงนี้หรือ” น้ำเสียงเจิ้งหลินอวี่แข็งขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ ข้าจะไม่ทำ”

ความเงียบแผ่วผ่านราวเหล็ก คล้ายสายฟ้าฟาดที่ไม่เกิดเสียง แต่กลับสั่นสะเทือนถึงขั้วหัวใจ ซูฮวาอิ๋นก้มหน้าซ่อนแววตา กลัวว่าหากเงยขึ้น เขาจะเห็นประกายบางอย่างที่นางเองไม่อาจควบคุม

ยามดึกผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ทหารเร่งฝีเท้ามาแจ้ง

“ใต้เท้า! เราพบเบาะแสใหม่ ในกองคลัง มีเศษผ้าขาวที่ถูกตัดออกเป็นริ้วเล็ก ๆ ตกอยู่ และบนผ้านั้น มีกลิ่นน้ำหอมเดียวกันกับที่ท่านบอก”

เจิ้งหลินอวี่รับผ้านั้นมา สูดดมแผ่วเบาแล้วหลับตาเพียงครู่ กลิ่นหวานคุ้นเคยชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ มันคือกลิ่นที่เขาเคยได้กลิ่นยามพระสนมเดินผ่านห้องท้องพระโรง

“ให้เก็บผ้านี้ไว้ในห้องหลักฐาน ห้ามผู้ใดแตะต้องจนกว่าข้าจะสั่ง” เขาออกคำสั่งทันที

“ขอรับ!” ทหารรับคำแล้วถอยไป

เมื่อทุกอย่างเงียบอีกครั้ง เจิ้งหลินอวี่หันกลับมาหาซูฮวาอิ๋น นางยังนั่งสงบอยู่หลังราวเหล็ก ทว่าดวงตาสุกสว่างในเงาไฟยิ่งกว่าก่อนหน้า

“เจ้าได้ยินหรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ฝนข้างนอกหนักเพียงใด แต่ก็ยังไม่อาจดับกลิ่นหอมนี้ได้”

ซูฮวาอิ๋นพยักหน้าแผ่ว รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า

“เช่นเดียวกับความจริง ต่อให้ถูกซ่อนในพายุ ก็ย่อมมีวันฟุ้งออกมา”

คำพูดนั้นคล้ายบทกวี แต่ในหูของเจิ้งหลินอวี่ มันคือคำสาบานที่มิได้เอ่ยเสียง เขามองนางเนิ่นนาน ราวกับกำลังย้ำกับตนเองว่า สตรีผู้นี้ มิใช่เพียงนักโทษ แต่คือกุญแจของคดีทั้งหมด และกุญแจของหัวใจข้า

คืนฝนตกนั้นผ่านไปท่ามกลางเสียงสายฝนและทำนองที่ยังหลงเหลือในห้องขัง กลิ่นบุปผาในคืนฝนตกจะกลายเป็นบทเพลงที่เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน และจะเป็นสะพานนำพาให้หัวใจทั้งสองใกล้กันมากยิ่งขึ้น

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 37 เช้าวันใหม่หลังพายุ

    กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 36 คำมั่นกลางลานเหมย

    ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 35 งานแต่งเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน

    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 34 แขกจากวังหลวง

    เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 33 ชายทุ่งในยามพระจันทร์เต็มดวง

    คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 32 อาจารย์กับศิษย์ตัวน้อย

    แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status