Home / อื่น ๆ / บุปผาพันธนาการ / ตอนที่ 7 ในห้องขังอันเงียบงัน

Share

ตอนที่ 7 ในห้องขังอันเงียบงัน

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-09-08 21:24:28

เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทหารพาตัวเจียงเต๋อออกไป ความเงียบที่ทิ้งค้างไว้ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่หนักแน่น เหมือนศิลาที่วางลงในกระดานหมาก

เจิ้งหลินอวี่หันกลับมาหาซูฮวาอิ๋น ดวงตาเย็นจัดกลับอุ่นแผ่วเพียงเส้นด้าย

“เจ้าทำได้ดี”

ซูฮวาอิ๋นยิ้มช้า ๆ “ข้าเพียงถามในสิ่งที่บันทึกไม่เคยตอบ คนโกหกมักจำโครงได้แต่จะพลาดกลิ่นของเรื่องเล่า”

“ใช่” เขาพึมพำ ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่านาง

“และกลิ่นของเรื่องนี้ ไม่ใช่กลิ่นผงซักล้าง”

เขาขยับจะไป แต่หยุดเมื่อเห็นผ้าคลุมของตนพาดอยู่กับตักนาง

“หนาวหรือไม่”

“ไม่หนาวแล้ว” ซูฮวาอิ๋นเอ่ยเบา ๆ “ข้าคิดว่า ในยามเงียบงัน คนเราไม่จำเป็นต้องมีคำพูดมากนัก แค่รู้ว่าความจริงยังเดินเข้าหาเราอยู่ก็อุ่นพอแล้ว”

เจิ้งหลินอวี่นิ่งไปวารหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “คืนนี้พอแล้ว พักผ่อนเสีย พรุ่งนี้ยามอวิ๋น ข้าจะกลับมา”

เขาผละกายไป เงาที่ทอดยาวของเขาซ้อนทับกับเงาราวเหล็ก บิดเบี้ยวเป็นรูปทรงที่ดูเหมือนกรง และในชั่วครู่ ซูฮวาอิ๋นเพิ่งสังเกตว่ากรงนั้นมี ช่องเล็ก ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ช่องที่อาจพอให้ลมหายใจของคนสองคนเดินทางไปถึงกันได้

นางก้มลงคลี่กระดาษในมืออีกครั้ง ลมหายใจค่อย ๆ ช้าลงตามเสียงหยดน้ำ

“ยามเงียบงัน ไม่ได้ว่างเปล่า” นางพึมพำ “มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่ยอมพูด”

และในความไม่พูดนั้น ทำนองหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจของนางเอง ทำนองที่ยังไม่ใช่บทเพลงคืนฝน แต่คือท่อนรับที่เตรียมไว้สำหรับคนฟังเพียงคนเดียว

ยามอวิ๋นของวันรุ่งขึ้น แสงแดดแรกของวันลอดผ่านช่องอิฐแคบ ๆ ตกกระทบพื้นเรือนจำเป็นเส้นบาง ราวกับเส้นด้ายทองที่ทอขึ้นในที่ซึ่งไม่ควรมีแสงสว่างใด ๆ ซูฮวาอิ๋นมองเส้นแสงนั้นเงียบ ๆ แววตาคล้ายกำลังทอฝันอยู่เพียงในใจ

เสียงเกราะเหล็กกระทบกันเบา ๆ ดังมาจากปากโถงทางเข้า เจิ้งหลินอวี่ก้าวเข้ามา คราวนี้ไม่เพียงลำพัง แต่มีขันทีชราร่างผอมแกร็นผู้หนึ่งถูกทหารพามาด้วย ซิ่นกงกงผู้ดูแลป้ายตรา

ใบหน้าเหี่ยวย่นของซิ่นกงกงปรากฏความตื่นกลัวปนระแวง เหงื่อผุดแม้ยามเช้าอากาศยังเย็นเฉียบ เจิ้งหลินอวี่หันมองซูฮวาอิ๋นที่นั่งอยู่ในห้องขัง

“วันนี้ เจ้าจะเป็นเพียงผู้ฟัง”

ซูฮวาอิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนก้มหน้าเงียบ แววตาแม้สงบนิ่ง แต่แฝงรอยอยากรู้ชัดเจน

เจิ้งหลินอวี่ลากเก้าอี้ไม้มาวางห่างจากห้องขังเพียงครึ่งก้าว แล้วกดเสียงต่ำ

“ซิ่นกงกง บันทึกป้ายตราที่ท่านเขียน มีหมึกสองสี สองเวลา ข้าขอถามเพียงตรง ๆ ใครสั่งให้ท่านแก้ไข”

ซิ่นกงกงสั่นน้อย ๆ ดวงตาเลี่ยงไปมา “ขะ...ข้าน้อยเพียงตรวจทวนซ้ำ แล้วพลาดลืมลงชื่อแต่แรก จึงเติมในภายหลัง”

“หมึกใหม่กว่าหนึ่งวันเต็ม” เจิ้งหลินอวี่เอื้อมมือเปิดบันทึกตรงหน้าให้ชายชราเห็น “อย่าคิดว่าแก่จนพ้นสายตาข้าได้”

เสียงทหารสองนายกระทบหอกเบา ๆ ราวบีบให้คำตอบออกมา ซิ่นกงกงกัดฟันสั่น เสียงพร่า

“เป็นเจียงเต๋อขอรับ เขานำป้ายตรามาให้ ข้าเพียงลงชื่อรับรอง”

เจิ้งหลินอวี่จ้องชายชราไม่กะพริบ “แล้วใครอยู่เบื้องหลังเจียงเต๋อ”

คำถามนั้นเงียบก้อง ซิ่นกงกงก้มหน้าสั่นเทิ้ม น้ำเสียงแทบหลุดเป็นลมหายใจ

“ข้าน้อยมิกล้ากล่าว หากปากพูดไป ข้าน้อยคงตายแน่ ”

บรรยากาศในโถงตรึงแน่นราวอากาศถูกสูบหาย ทุกคนรอฟังคำตอบที่ไม่มาถึง

เจิ้งหลินอวี่ค่อย ๆ ยืนขึ้น น้ำเสียงนิ่งแต่เฉียบขาด “เช่นนั้น ข้าจะหามันเอง”

เขาส่งสัญญาณให้ทหารพาตัวซิ่นกงกงออกไป เมื่อโถงกลับมาเงียบ เจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาใกล้ห้องขัง สายตาสบกับซูฮวาอิ๋นผ่านราวเหล็ก เงาไฟสะท้อนในดวงตาของทั้งคู่ ดวงตาหนึ่งเย็นเยียบ ดวงตาหนึ่งสุกใส

“ท่านรู้ใช่หรือไม่” ซูฮวาอิ๋นเอ่ยเบา ๆ “ซิ่นกงกงไม่ใช่หัวหมาก เขาเป็นเพียงเบี้ยที่ถูกบังคับให้เดิน”

“ข้ารู้” เจิ้งหลินอวี่ตอบเรียบ “แต่ทุกหมากที่เดิน ย่อมชี้ไปยังมือผู้วาง”

ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ คล้ายเยาะตัวเอง “ในกระดานนี้ ข้ากลายเป็นหมากที่ทุกคนอยากให้ถูกสังเวย”

“ไม่ใช่ทุกคน” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยแผ่ว สายตาคมทว่ามีประกายบางสิ่งที่ไม่ใช่ความเย็น

“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้า”

คำพูดนั้นเงียบไปในอากาศ แต่กลับดังชัดเจนในหัวใจซูฮวาอิ๋นจนแทบสะท้าน นางเบือนสายตาหนีเพียงเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเบาราวกระซิบกับตนเอง

“บางที เรือนจำอาจไม่ใช่กำแพงหิน แต่เป็นใจที่ไม่ยอมเปิดออก”

เจิ้งหลินอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงมั่นคง “คืนนี้ข้าจะนำกล่องผ้าขาวที่เจ้าเคยเห็นมาให้ดู เจ้าจะต้องบอกข้าว่าสิ่งที่เจ้าเห็นวันนั้นเหมือนหรือไม่เหมือนกัน”

ซูฮวาอิ๋นยกสายตากลับมา “ข้าจะบอก หากท่านถามด้วยหัวใจ มิใช่เพียงด้วยกฎหมาย”

เจิ้งหลินอวี่สบตานางตรง ๆ ความเงียบหนาวเหน็บในห้องขังกลับอบอุ่นขึ้นน้อยหนึ่ง

ยามโหย่ว ค่ำคืนทอดตัวปกคลุมเหนือเมือง เงาโคมแดงไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาทางช่องระบายอากาศ เสียงกุญแจเหล็กหมุนดังครืดคราดก่อนที่ประตูโถงใหญ่ของเรือนจำเงาหยกจะเปิดออก

เจิ้งหลินอวี่ก้าวเข้ามาพร้อมกล่องไม้เล็กห่อผ้าขาวแน่นหนาในมือ ทุกฝีเท้าที่ก้าวคือความมั่นใจของขุนนางสอบสวนผู้ไม่เคยปล่อยให้คดีใดเลือนหาย ทว่าภายในดวงตาลึกคู่นั้น กลับซ่อนความลังเลบางเบาที่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับ

เขาวางกล่องลงบนโต๊ะไม้หน้าห้องขัง แสงตะเกียงทาบกล่องนั้นให้เด่นชัด กล่องไม้เรียบง่าย ทว่าเส้นสายของด้ายผูกกลับบ่งบอกว่าเคยถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน

“นี่คือกล่องที่ถูกเก็บไว้ในกองคลัง ข้าตรวจตราด้วยตนเอง” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตาจับจ้องไปที่ซูฮวาอิ๋นไม่วาง

นางก้าวเข้ามาใกล้ราวเหล็ก ดวงตาแน่วแน่จ้องมองกล่องตรงหน้า นานพอจนความเงียบแผ่ขยายทั่วห้องขัง ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอื้อนเบา ๆ

“ไม่เหมือน ”

เจิ้งหลินอวี่ขมวดคิ้ว “ตรงไหน”

“กล่องที่ข้าเห็นวันงานเลี้ยง มีรอยขีดบางเฉียบตรงมุมขวา ราวกับมีดบาดเล็ก ๆ” นางพูดช้า ๆ ชัดทุกถ้อยคำ “แต่กล่องนี้เรียบสนิท เหมือนเพิ่งทำขึ้นใหม่ หรือถูกสับเปลี่ยน”

สายตาเจิ้งหลินอวี่แข็งขึ้นในฉับพลัน เขาล้วงมือเข้าไปในกล่อง ตรวจเส้นผ้า ด้านในยังคงมีกลิ่นสมุนไพรบาง ๆ แฝงอยู่ กลิ่นเดียวกับที่เขาพบในถ้วยสุราที่แตกกระจาย

“กล่องถูกสับเปลี่ยนจริง ” เขาพึมพำราวกับพูดกับตนเอง

ซูฮวาอิ๋นก้าวถอยหนึ่งก้าวพิงผนังห้องขัง แววตาเงียบงันแต่เต็มไปด้วยไฟ

“นี่ต่างหากคือหลักฐาน ว่ามีใครบางคนจัดการทุกอย่างเพื่อตัดหัวข้า”

เจิ้งหลินอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “เจ้าคิดว่าเป็นใคร”

ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นขมจนเหมือนกลีบเหมยร่วงในลมหนาว

“ข้าถูกขังอยู่ในกรงนี้ ไร้ปีกที่จะโผบิน ท่านคิดหรือว่า ข้าจะรู้ได้ว่าใครคือผู้กางกับดัก”

เงียบไปชั่วครู่ แล้วนางก็เอ่ยต่อ “แต่ข้ารู้สิ่งหนึ่ง ผู้ที่กล้าสับเปลี่ยนของในกองคลัง และยังบังคับให้ขันทีอย่างเจียงเต๋อออกหน้าได้ ต้องมีอำนาจพอจะบงการกรมพิธีการได้โดยไม่สะดุด”

คำว่าอำนาจ ทำให้สายตาของเจิ้งหลินอวี่เข้มขึ้น เขารู้ดีว่าในวังหลวง มีไม่กี่คนที่สามารถยื่นมือเข้ากรมพิธีการโดยไม่ทิ้งร่องรอยได้ และหนึ่งในนั้นคือเฉินกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน

“เจ้าจะบอกว่า...” เขาหยุดเสียง เหมือนไม่อยากให้ชื่อผู้มีอำนาจหลุดออกมาในเรือนจำเงานี้

ซูฮวาอิ๋นยกสายตาขึ้นสบเขา แววตาท้าทายแต่ก็วาบไหว

“สิ่งที่ข้าพูด ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ แต่ข้ารู้ว่าความจริงไม่เคยอยู่ในกำมือข้าเลย มันอยู่ในมือท่านต่างหาก”

เจิ้งหลินอวี่เงียบไปนาน แสงไฟสะท้อนเงาของเขาใหญ่อยู่บนผนังหิน เงาที่เหมือนนักโทษเช่นเดียวกับนาง ร่างสูงนั้นยืนนิ่ง ก่อนค่อย ๆ เอ่ยช้า ๆ

“หากข้าคือมือที่จะเปิดกรง เจ้าจะกล้าโผบินหรือไม่”

หัวใจซูฮวาอิ๋นสะท้านไปในเสี้ยววินาที แต่นางเพียงหัวเราะแผ่ว ริมฝีปากยกขึ้นน้อย ๆ

“ข้าถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน แต่ใจข้าโบยบินตั้งแต่คืนแรกที่ถูกจับแล้ว”

บรรยากาศในห้องแคบเงียบลงอีกครั้ง ทว่าความเงียบนั้นหาได้ว่างเปล่า หากเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ทั้งคู่ยังไม่เอ่ย เสียงฝีเท้าทหารดังเร่งเร้ามาจากระเบียง

“ใต้เท้า! พบศพอีกแล้วขอรับ เป็นขันทีที่เฝ้ากองคลังเมื่อคืน พบร่องรอยถูกรัดคอตาย!”

ดวงตาของเจิ้งหลินอวี่เย็นเฉียบขึ้นในพริบตา เขาหันขวับไปทางโถง เสียงตอบเพียงสั้นหนักแน่น

“ปิดกองคลังทั้งหมด ตรวจสอบทุกคน! ต้องจับตัวคนทำที่กำลังซ่อนอยู่ในวังหลวงออกมาให้ได้”

ค่ำคืนนั้น เรือนจำเงาหยกยังคงกลืนทุกเสียง แต่ในความเงียบนี้ มีทั้งเสียงลมหายใจของชายผู้เริ่มลังเลต่อคำสั่ง และเสียงหัวใจของสตรีผู้ยังคงยืนหยัดด้วยศักดิ์ศรี และเมื่อเปลวตะเกียงสั่นวูบ ซูฮวาอิ๋นก็รู้แน่ว่า คืนนี้กรงเหล็กที่ล้อมหัวใจเจิ้งหลินอวี่ เริ่มมีรอยร้าวแล้ว

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 37 เช้าวันใหม่หลังพายุ

    กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 36 คำมั่นกลางลานเหมย

    ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 35 งานแต่งเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน

    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 34 แขกจากวังหลวง

    เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 33 ชายทุ่งในยามพระจันทร์เต็มดวง

    คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 32 อาจารย์กับศิษย์ตัวน้อย

    แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status