“พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย
“คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ
“เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”
เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”
พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา
หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผู้มีพระคุณของเขา
เมื่อได้พบและพูดคุยกับบิดาของนาง เขาลองเอ่ยปากชวนให้มาทำงานรับใช้แม่ทัพจ้าวซึ่งกำลังขาดคนที่รู้และเชี่ยวชาญเรื่องการแกะรอย เงื่อนไขเดียวของเคอตงตงคือที่ใดที่เขาอยู่ที่นั้นต้องมีลูกสาวของเขาอยู่ด้วย เมื่อความสามารถของเคอตงตงเป็นที่ต้องการ ท่านแม่ทัพจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขนั้น ทว่าการมีลิงน้อยแสนซนในค่ายทหารไม่ได้ทำให้เสียการปกครองแต่อย่างใด หลายครั้งที่อาศัยความคล่องแคล่วว่องไวของเคอหลิ่งหลินแอบลอบเข้าไปสืบดูเสบียงอาหารของอีกฝ่ายเพื่อประเมินการศึกได้
แม้ผู้หญิงมิควรอยู่ในกองทัพ แต่ความสามารถของเคอ หลิ่งหลินเป็นที่ยอมรับ กฏเกณฑ์จึงถูกผ่อนปรน ให้ยึดความสามารถของคนเป็นหลัก หญิงสาวจึงอยู่ในกองทัพเป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากเหล่าทหาร ยามออกรบนางดูเคร่งขรึม แม้เพียงสบตาก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ ทว่าเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว นางกลับกลายเป็นเพียงหญิงสาวร่าเริงที่ออกจะอ่อนความเป็นกุลสตรีสักนิด บางครั้งนางก็เจ้าเล่ห์เหลือจะกล่าวที่ใช้ความอ่อนหวานทำให้ผู้อื่นใจอ่อนได้ นางจึงดูมีหลายบุคลิกยากเกินคาดเดาได้
“อ้อ! กลับบ้านครั้งนี้ข้าน้อยได้ขลุ่ยผิวที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟย (ลายด่าง) มาฝากคุณหนูหลิ่งหลินด้วย ไม่ทราบว่าจะถูกใจคุณหนูหรือไม่”
“จริงรึ” นางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นในห่อผ้าของพ่อบ้านมีถุงผ้าอยู่ใบหนึ่งที่เดาได้ไม่ยากว่าใส่ขลุ่ยที่นางปรารถนาไว้เป็นแน่ เพราะนางย้ำหนักหนาให้พ่อบ้านตู้หาขลุ่ยดีๆ ให้นางสักเลา
“ขลุ่ย?” จ้าวจิ่นสือเอ่ยขึ้นอย่างฉงน แต่เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านตู้ส่งถุงผ้าให้เคอหลิ่งหลินแล้ว นางรีบเปิดถุงออกแล้วหยิบขลุ่ยผิวลักษณะงามออกมาหนึ่งเลา
“นี่เจ้ายังไม่ถอดใจเรื่องขลุ่ยนี่อีกรึ” เป็นจ้าวจิ่นสืออีกนั้นแหละที่กล้าเอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจนางได้ แต่กระนั้นเคอหลิ่งหลินเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปากให้
“เรื่องของข้า” นางไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเพราะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วหันไปหาท่านแม่ทัพที่ทำหน้ายุ่งไม่แพ้บุตรชาย “ท่านพ่อ ข้าฝึกเพลงกระบี่เสร็จแล้ว ขอตัวไปฝึกเพลงขลุ่ยนะเจ้าค่ะ”
“เอ่อ...เอาซิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มระรื่นประคองขลุ่ยเลาใหม่ในมือแล้วเดินยิ้มร่าออกไป
“นางไปฝึกเป่าขลุ่ยที่ใดกัน” บิดาเอ่ยถามทั้งยังนึกขยาดหวาดกลัวอยู่ในใจ
“คงเข้าป่าเหมือนเคย”
จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา ถ้าเรื่องความพยายามแล้วนางเป็นเลิศแต่เสียงขลุ่ยที่นางพยายามฝึกฝนช่างแสนร้ายกาจนัก เรียกว่าปวดหูหรือปลุกผีให้ตื่นได้ทั้งป่าช้าเลยทีเดียว และอีกนั้นแหละไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสองปีก่อนนางก็ลุกขึ้นอยากจะเป็น ‘คุณหนูผู้สูงศักด์’ ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเอาดีด้านนี้ไม่ได้เลยสักอย่าง กาพย์กลอนหรือร่ายรำอ่อนด้อยเสียจนบรรดาอาจารย์ที่ท่านแม่เชิญมาสอนต้องขอลาขาด บางรายถึงขั้นไม่ขอรับเงินค่าสอนด้วยซ้ำ ความพยายามนะมี แต่ความสามารถไม่เกิดและพรสวรรค์ก็ไม่ได้ติดปลายเล็บนางมาสักนิด
แต่สองปีก่อนนางกลับขุดทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาฝึกปรืออีกครั้ง บางสิ่งเขาช่วยสอนนางได้บ้าง แต่เรื่องเพลงขลุ่ยของนางนั้น เสียงบาดหูทะลุทะลวงไปถึงเครื่องใน ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้านาง มีแต่เขาที่อดรนทนไม่ไหวพูดความจริงกับนางออกไป แทนที่นางจะถอดใจไม่ฝึกเพลงขลุ่ยแต่นางกลับถือขลุ่ยเดินเข้าป่าไปเสียนี่
“เจ้าก็น่าจะติดตามไปดูนางเสียหน่อย” แม่ทัพจ้าวเป็นห่วงลูกสาวบุญธรรม
“ข้าว่าให้นางไปฝึกเพลงขลุ่ยให้ต้นไม้ในป่าฟังนะดีแล้ว” เพราะอย่างน้อยคงไม่มีใครล้มตายเพราะเสียงขลุ่ยของนาง
แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะเขาเองก็เคยฟังเสียงขลุ่ยทะลวงจิตของลูกสาวบุญธรรมาแล้ว ยังเคยคิดอยู่ว่า หากต้องจับเชลยศึกมาล้วงความลับให้คายความจริง ปล่อยให้พวกมันฟังเสียงขลุ่ยของเคอหลิ่งหลิน พวกมันคงวิงวอนขอชีวิตเลยทีเดียว คิดได้แบบนี้แล้วทั้งสามก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่มีใครกล้าติดตามหญิงสาวที่เดินออกไปพร้อมขลุ่ยเลาใหม่ของนาง
ขณะที่เดินออกมาพร้อมหัวใจที่เบิกบาน จ้าวหลิ่นหลิงพลันเห็นกลุ่มคนที่กำลังเตรียมตัวจะเดินทาง นางจำได้ว่าบางคนเป็นคนที่มาพร้อมกับหัวหน้าโจรที่กวาดต้อนกลับมาที่จวนด้วย หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปก็พบใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคน
“พวกท่านจะไปกลับแล้วหรือ”
“ขอรับคุณหนู” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต้องขอบคุณคุณหนูที่ทำให้ท่านแม่ทัพไม่ส่งพวกเราไปอยู่ในคุก”
“ไม่ใช่ข้าหรอก เป็นเพราะท่านแม่ทัพกับคุณชายจิ่นสือต่างหาก” นางหวังให้คนอื่นมองนางเป็นเคอหลิ่งหลินมากกว่าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว
“หากผ่านไปแถวนั้น ข้าจะแวะไปเยี่ยมพวกเจ้า”
“ขอรับคุณหนู พวกเราหวังใจว่าจะได้ต้อนรับคุณหนู”
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย