“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน
“ถ้าจิ่นสือยังไม่แต่งงาน ข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อน แสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น
“แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ”
เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนัก เขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้
“พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ”
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไป เคอหลิ่งหลินถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินออกมาด้านนอก
“ที่หลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวจิ่นสือส่งเสียงถามเจือความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ข้าแค่กลิ้งล้มไปหลายตลบและตกหลังม้าไปครั้งสองครั้งเท่านั้น”
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็เลิกเอาตัวเองมาบังข้าเสียที ข้าดูแลตัวเองได้” เขารู้ดีว่าที่นางบาดเจ็บเพราะค่อยปกป้องเขาเสมอ
เคอหลิ่งหลินหมุนตัวกลับมาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มแบบที่จ้าวจิ่นสือรู้ดีว่า นางมักตีหน้าซื่อให้คนอื่นหลงกลอยู่เสมอ นางยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเขาราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย
“หลิ่งหลิน!” จ้าวจิ่นสือปัดมือของนางออก เขาอุตส่าห์เป็นกังวล แต่นางกลับทำเหมือนเขาเป็นน้องชายที่นางต้องดูแล
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ ยังไงต้องมีชีวิตอยู่ดื่มเหล้ามงคลของเจ้า” เคอหลิ่งหลินหัวเราะคิกคักไม่ได้มีกิริยาอ่อนหวานอย่างหญิงสาวทั่วไปสักนิด
“เจ้าอย่ามาผลักภาระให้ข้า”
“อย่างไรกัน เจ้ามีหญิงที่หมายปองในใจแล้วหรือไม่”
จะว่าไปก็อย่างที่ท่านแม่พูด อายุขนาดพวกเขาควรแต่งงานออกเรือนกันได้แล้ว แต่ด้วยติดภารกิจชายแดนซึ่งเหมือนข้ออ้างเสียมากกว่าทำให้ทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงาน สำหรับเคอหลิ่งหลินไม่มีคำว่า ‘แต่งงาน’ อยู่ในหัวน้อยๆ ของนางเลย หากไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีชายในดวงใจนี่นะ
“แล้วเจ้าเล่าไปถูกตาต้องใจบุรุษบ้านไหนเข้า ถึงขนาดฝึกเป่าขลุ่ย เขียนภาพแถมยังอ่านตำราโคลงกลอนต่างๆ อีก”
“จ้าวจิ่นสือ!” นางถลึงตาใส่แถมยกหมัดขึ้นข่มขู่
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าด้วยความสะใจ เพราะเขารู้ความลับของนาง อย่างเคอหลิ่งหลินนะหรือจะอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นกุลสตรี ท่วงท่าการเดินหรือรับประทานอาหาร ตลอดจนฝึกดนตรีหรือเขียนภาพ ทั้งที่ก่อนหน้านี่ท่านแม่เคยหาอาจารย์มาฝึกสอนแต่นางก็แทบไม่สนใจเลยสักนิด จนท่านแม่อ่อนใจยอมตามใจนางไม่ส่งใครมาอบรมนางอีก
“เอาน่าพี่สาว อยากให้ข้าส่งเกี้ยวขนาดแปดคนหามไปรับเจ้าบ่าวบ้านไหน ข้าก็ยินดีช่วยเหลือให้พี่สาวได้แต่งงานออกเรือน”
“นี่เจ้าอยากเห็นออกจากบ้านเจ้าไปเร็วๆ ละซิ” เคอหลิ่งหลินแสร้งก้มหน้ายกหลังมือขึ้นเช็ดที่ขอบตา
จ้าวจิ่นสือปรายตามองแล้วส่งเสีย เหอะ! ในลำคอ “เจ้าใช้ลูกไม้นี่กับข้าไม่ได้หรอก”
มือที่แสร้งเช็ดน้ำตาชะงักไปแล้วเงยหน้าขึ้นกัดฟันฉีกยิ้มให้ “เรียกข้าว่าพี่สาว แต่จิกกัดข้าได้ทุกคำ”
“ก็ใครอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าน้องชายล่ะ” เขากอดอกยืนตัวตรง แน่นอนว่าเวลานี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้นอีกแล้ว ไม่หลงมารยาของนางอีกแน่ๆ
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว” ที่ไม่อยากคุยเพราะถูกจับผิดได้นะซิ เคอหลิ่งหลินหมุนตัวจะเดินกลับห้อง แต่ได้ยินเสียงจ้าวจินสือเรียกไว้ก่อน
“กลับห้องไปพักผ่อนเสีย ไม่ใช่ไปแอบเป่าขลุ่ยให้ต้นไม้
ในป่าฟัง”
หญิงสาวกำมือแน่นข่มความโกรธ เขาเป็นพยาธิในท้องนางหรือไรกันถึงได้รู้ว่านางจะทำอะไร เคอหลิ่งหลินหันมาแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานอย่างฝืนใจ เดินตรงกลับห้องพักของตัวเอง
จ้าวจิ่นสือคลี่ยิ้มอ่อนโยนแบบที่เคอหลิ่งหลินไม่มีวันได้เห็นบนใบหน้าของเขา เขาเป็นห่วงนางเช่นพี่น้องห่วงใยกัน หลายปีมานี่เขาคอยเฝ้ามองดูนางเสมอ แม้คนอื่นไม่กล้ามองนางเต็มสองตา เพราะหวาดกลัวชื่อเสียงของเคอหลิ่งหลิน
แต่กระนั้นนางเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและขี้สงสารคนเป็นที่สุด นางยอมเจ็บตัวเองเสียดีกว่าต้องลงมือฆ่าใคร หากแต่เมื่อใดที่ต้องพรากลมหายใจของมันผู้นั้น นางกลับสงบนิ่งและดูเหี้ยมโหดอย่างที่ใครต่อใครลื่อกันไป เพราะเช่นนี้นางจึงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอแต่งงาน ดูว่านางเองไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนัก แต่ในบางครั้งเขารู้สึกว่า นางคงมีชายในดวงใจที่ทำให้นางอยากเป็นหญิงสาวในหัวใจของคนผู้นั้น นางถึงได้พยายามทำอะไรที่ไม่เคยทำแม้ดูขัดเขินพิกลนัก
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ นางจะปิดเขาได้นานแค่ไหน เขาแค่ไม่อยากสืบเท่านั้นหรอกนะ ใครกันหนอที่ทำให้พี่สาวของเขาหวั่นไหวได้เพียงนี้.
เคอหลิ่งหลินอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มซ้อมเพลงกระบี่กับจ้าวจิ่นสือ แม้จะเป็นหญิงแต่เพลงกระบี่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าชาย ยิ่งรูปร่างแบบบางการเคลื่อนไหวดุจวิหคร่อนลมยิ่งทำให้การท่วงท่าเคอหลิ่งหลินดูงดงามนัก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือก็สง่าสมกับบุตรชายแม่ทัพจ้าว
แววตาของผู้เป็นบิดามองดูทั้งสองฝึกซ้อมเพลงกระบี่ด้วยความพึ่งพอใจ เสียดายที่เลี้ยงดูเคอหลิ่งหลินมานานแม้นางจะยอมเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ แต่ลึกๆ แล้ว นางทำเพื่อให้เขาสบายใจ คงยากนักที่จะลบบาดแผลในใจของนางได้
หางตาของหญิงสาวเห็นเงาร่างของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ มือเรียวชะงักไปและเผลอลดกระบี่ลงทำให้จ้าวจิ่นสือปัดกระบี่ในมือนางตกลงพื้นได้อย่างง่ายดาย
“หลิ่งหลิน” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ แต่คนถูกเรียกกลับยิ้มทะเล้นก่อนเก็บกระบี่แล้วหมุนตัวมองคนที่เดินเข้ามาเต็มตา
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย