ณ หอมู่ตาน
รื่อหง ผู้คุมอำนาจแห่ง หอมู่ตาน เดินนวยนาดมาที่ห้องกุหลาบแดงอย่างอารมณ์ดี
เมื่อมาถึงที่หมายนางหยุดฟังเสียงพิณอันแสนไพเราะที่ผู้เป็นเจ้าของห้องมักจะบรรเลงอยู่เสมอ นางรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่น้อยที่ได้ครอบครองเพชรเม็ดงามเม็ดนี้
“เหมยกุ้ย” เพชรเม็ดงามที่สร้างชื่อเสียงให้กับหอมู่ตาน จนกลายเป็นหอสวรรค์อันดับหนึ่ง
“เหมยกุ้ย” เพชรเม็ดงามที่สร้างเงินทองให้กับแม่เล้าอย่างรื่อหงให้มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ
“เหมยกุ้ย” เพชรเม็ดงามที่รื่อหงเก็บมาจากซากโคลนตมท่ามกลางความแร้นแค้นหลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อ 6 ปีก่อน
เมื่อ 6 ปีก่อน รื่อหง ได้สร้างหอมู่ตานขึ้นมาในปีแรก มีนางคณิกาในหอแห่งนี้แค่ไม่กี่คน ในช่วงนั้นผู้คนยังไม่นิยมใช้บริการสถานเริงรมย์เท่าใดนัก เนื่องด้วยเป็นยุคข้าวยากหมากแพงส่งผลให้เกิดโจรชุกชุม นอกจากชาวบ้านจะอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ แล้วยังอยู่ด้วยความหวาดกลัว
หอมู่ตานรอดพ้นจากการปล้นก็เพราะนางต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับกลุ่มโจรที่ทรงอิทธิพลที่สุด รายได้เพียงน้อยนิดของหอมู่ตานจึงถูกจ่ายให้กับค่าโจรเสียมากกว่า รื่อหงจึงพยายามคิดหาทางที่จะเพิ่มรายได้ให้กับหอมู่ตานให้ได้มากที่สุดเพื่อความอยู่รอด
ในระหว่างทางที่รื่อหงกำลังเดินกลับหอมู่ตานหลังจากจับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็นจากตลาดแล้ว นางบังเอิญเหลือบเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นั่งร้องไห้ตัวสั่นงันงกที่ซอกตึกแถว เสื้อผ้าของเด็กสาวคนนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและโคลน
รื่อหงขยับเดินเข้าไปใกล้เด็กสาว เด็กคนนั้นขยับตัวเข้าชิดกำแพงมากขึ้น แววตาสั่นระริกเหลือบมองรื่อหงอย่างหวาดระแวง
“สาวน้อยทำไมเจ้ามานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่นี่ พ่อ แม่พี่น้องเจ้าไปอยู่ที่ไหนเสียหล่ะ?”
รื่อหงถามขณะนั่งลงข้าง ๆ เด็กสาว ใกล้พอที่จะพินิจใบหน้าที่งดงามภายใต้คราบฝุ่น ผสมกับคราบน้ำตาจนเห็นเป็นดวง ๆ เมื่อพิเคราะห์อาภรณ์ที่นางสวมใส่ก่อนที่จะเต็มไปด้วยดินโคลนคงจะเป็นเสื้อผ้าที่แพงมาก ดังนั้น เด็กสาวคนนี้หากไม่ใช่ลูกเศรษฐีก็คงจะเป็นลูกขุนนางที่ถูกโจรดักปล้นแน่ ๆ
“ทะ ท่านพ่อ ท่านแม่ข้า ถูกพวกโจรใจร้ายฆ่าตายหมดแล้ว ฮือ ๆ ฮือ ๆ”
เด็กสาวตอบร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แล้วบ้านเจ้าอยู่แห่งใด?”
“ยะ อยู่ทางเหนือ พ่อข้าเป็นเจ้าเมืองทางเหนือ ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มาดูแลเมืองหาน* ตะ แต่ อึก ฮือ ไม่นึกเลยว่า พอถึงแนวป่าหัวเมืองฉีซาน แล้วถูกพวกโจรใจชั่วมันดักปล้น ฆ่าคนในครอบครัว ฆ่าไม่เหลือเลยสักคน ฮือ ๆ ฮือ ๆ ท่านแม่ ท่านพ่อ ฮือ ๆ”
รื่อหงยกสาบแขนเสื้อที่ยาวกรุยกรายขึ้นซับน้ำตา นางรู้สึกเวทนาเด็กน้อยผู้นี้ที่ต้องกลายเป็นเด็กสาวกำพร้าใครเล่าจะดูแล แต่นางก็ไม่ใช่ผู้มีอันจะกินเท่าใดนัก การรับเลี้ยงคนหนึ่งคนต้องใช้จ่ายทรัพย์มหาศาล แต่หากเด็กสาวผู้นี้ยอมแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อช่วยนางสร้างรายได้ นางก็พร้อมที่จะรับอุปถัมภ์ รื่อหงจึงเอ่ยกับเด็กสาวว่า
“ถ้าเจ้าไม่มีที่ไป ไปอยู่กับข้าไหม? แต่เจ้าต้องทำงานเพื่อแลกกับที่อยู่ที่กิน เจ้าจะยินดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำเชิญชวนของรื่อหง เด็กสาวมองนางด้วยแววตาซาบซึ้ง น้ำใส ๆ ยิ่งไหลรินออกมาเป็นสาย ดวงหน้าน้อย ๆ พยักหน้าตอบรับแทนคำเอื้อนเอ่ย
เมื่อเห็นเด็กสาวตอบรับข้อเสนอรื่อหงจึงเอื้อมมือเข้าไปประคองเด็กสาวผู้นั้นให้ลุกขึ้น พลางถาม
“เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ เหมยกุ้ย”
“อ่อ เหมยกุ้ย ที่แปลว่า ดอกกุหลาบ อืม ช่างเข้ากันกับหอหมู่ตานดีนัก”
ประโยคท้ายรื่อหงรำพึงกับตนเอง พลางชำเลืองมองเด็กสาวที่ยังคงตัวสั่นระริก เดินตามหล่อนไปยังหอหมู่ตาน
เด็กสาวเนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนปนคราบเลือดแดงฉานเมื่อ 6 ปีก่อน เติบโตกลายเป็นสาวสวยงามหยด ความงามของนางบานสะพรั่งราวกับกุหลาบแรกแย้ม ราชินีแห่งมวลดอกไม้ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ ความงามของนางเลื่องลือไปไกลถึงหมื่นลี้ หมู่ภมรน้อยใหญ่ล้นแสวงหาเพื่อให้ได้ยลโฉม จนเป็นที่กล่าวขานว่า ชายชาตรีใด มิได้เชย เหมยกุ้ยกุหลาบงามชายผู้นั้น เสียชาติ กำเนิดมา
แม้เพียงได้ ยลโฉม ยอดบุปผาชายนั้นหนา ราวกับได้ ถึงสวรรค์เสียก่อนตาย
จากหอมู่ตานเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เพียงไม่กี่ปีก็ยกระดับกลายเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย เพราะเหมยกุ้ยคนเดียวแท้ ๆ ดังนั้น เหมยกุ้ยจึงเป็นคนเดียวที่รื่อหงให้อภิสิทธิ์เหนือนางคณิกาคนใด
เมื่อเสียงพิณแว่วหวานบรรเลงจบลง ผู้ที่เงี่ยหูฟังนอกห้องจึงเคาะประตูห้องกุหลาบแดงเบา ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แอ๊ดดดดดดดด
ช่องประตูบานไม้สลักสลวย ถูกแง้มออกเผยให้เห็นดวงหน้านวลของสาวงามที่อยู่ในห้อง ชุดที่สวมอยู่เป็นเพียงเกาะอกสีชมพูหวาน สวมเสื้อคลุมข้างนอก (Bei Zi) สีขาวบางเบา ปล่อยชายกรุยกราย ชุดธรรมดา ๆ ไม่อาจซ่อนความงามบาดตาของนางไว้ได้
รื่อหงเดินตามร่างอรชรเข้าไปข้างในห้องกุหลาบแดง
“ท่านแม่ มีอะไรให้ข้ารับใช้คะ ท่านถึงต้องลำบากมาเยือนข้าถึงห้อง”
ปากบางชมพูอิ่มเอื้อนเอ่ย ขณะที่รินน้ำชาต้อนรับผู้เป็นเจ้าของหอแห่งนี้
“เหมยกุ้ย เจ้าเป็นลูกที่ข้ารักมากที่สุด ข้ายอมรับว่า หอมู่ตานมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็เพราะเจ้า”
“ขอบคุณท่านแม่ที่ให้ความเมตตาข้าเสมอมา”
สาวงามโค้งศีรษะลงคำนับรื่อหง
“สองสามวันที่เจ้าพักผ่อนมานี่ สบายดีไหม?”
“เป็นเพราะท่านแม่เมตตาให้เหมยกุ้ยหยุดรับแขก ข้ารู้สึกหายเหนื่อยมากขึ้นแล้วค่ะ”
“อืม ดี ดี งั้นคืนนี้ เจ้าคงจะรับแขกได้แล้วสินะ”
เหมยกุ้ยมองสบตาผู้ควบคุมหอคณิกาแห่งนี้ แม้ถ้อยคำจะเป็นการหารือแต่นัยแห่งความหมายคือการสั่งให้รับแขก!
“ท่านแม่ค่ะ ท่านแม่คงจะลืม เราตกลงกันแล้วว่า หากข้ายอมรับรองขุนนางผู้นั้นพร้อมกับคุณชายเหล่ยในคืนเดียวกัน ท่านแม่จะอนุญาตให้ข้าพักได้หนึ่งอาทิตย์ บัดนี้ล่วงเวลามาเพียงสามคืนเท่านั้น”
เหมยกุ้ยพยายามแบ่งรับแบ่งสู้ นางอยากจะพักกายให้ห่างจากความคาวของโลกีย์ เพราะเหนื่อยหน่ายกับการเป็นที่ระบายความใคร่ของบรรดาบุรุษเต็มทน ยิ่งชายวัยไม้ใกล้ฝั่งนางยิ่งเอือมระอา
“ข้าจำได้”
รื่อหงเว้นจังหวะการพูด แล้วสบตาหญิงสาวที่หล่อนชุบเลี้ยง
“และข้าก็จำได้ว่า ข้าเป็นคนชุบเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เด็ก วันที่เจ้าไม่มีที่ซุกหัวนอน ข้าไม่ใช่รึที่เอื้อเฟื้อที่หลับที่นอนให้แก่เจ้า”
“อะ อะ อ่าซ์ อร้ายยยยยยยยยยยย”สิ้นเสียงครวญคราง เรือนร่างโชกเหงื่อของทั้งคู่ก็สั่นสะท้านราวกับถูกไฟฟ้าซ็อต ทั้งสองนิ่งค้างซึมซาบความซาบซ่านให้เต็มทรวง ก่อนจะจบบทสวาททะลวงหอยของแม่ทัพด้วยการจูบบดลึกวาบหวามฝากความหวานให้ตราตรึงใจและแล้ววันแต่งตั้งองค์จักรพรรดินีอย่างเป็นทางการพื้นที่ท้องพระโรงลามไปจนถึงประตูวังด้านหน้าเต็มไปด้วยบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้าร่วมถวายพระพรและเป็นสักขีพยานในการรับตำแหน่งอันสูงส่งเมื่อเสียงแตรเสียงประทัดดังสนั่นขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มพิธี เสียงแซ่เซ็งพูดคุยของเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างสงบลง พร้อมกับยืนในแถวรอรับการเสด็จขึ้นบัลลังก์ไม่ช้าร่างงดงามในชุดจักรพรรดิเต็มยศก็ปรากฏบนพรมสีแดงที่ทอดยาวสู่ราชบัลลังก์ท่อนล่างเป็นกระโปรงยาวสีแดงปักมังกรที่ฐานด้านล่าง ชายกระโปรงยาวระพื้น ยามก้าวเดินสะบัดไหวดูราวกับมังกรโลดแล่นในสายน้ำแยงชี ผ้าคล้องไหล่สีทองอร่ามคลุมเป็นสายยาวที่แขนทั้ง 2 ข้าง เสื้อชั้นนอกแขนกว้างปักลายกุหลาบดิ้นทอง แขนเสื้อที่ยาวลงมาถึงสะโพกพลิ้วไหวตามจังหวะย่างก้าว เนื้อแพรพรรณล้วนทักทอจากช่างฝีมือดีที่สุดในแผ่นดิน !!“แม่ทัพใหญ่จางหย่งขอเข้าเฝ้า!!!”
ตับ ตับ ตับ ตับๆๆๆๆๆๆ“อะ อ่า อ๊า อร้ายยยยยยยย”ซ๊วบบบบบบบบบบบบบบบบบบพรวดดดดดดดดดดดดดดดด“อร้ากกกกกกกกกก”มังกรยักษ์พ่นพิษอุ่นซ่านเข้าเต็มโพรงหอยพร้อมกับเสียงครางระงมจนถึงสวรรค์ของทั้งคู่ ร่างอรชรกระตุกงึกๆ เกร็งเสียวสุดขีด สะโพกแกร่งของแม่ทัพหนุ่มผู้หิวกระหายตอกตรึงรูหอยบดแน่น ปล่อยให้จิตวิญญาณของตนล่องลอยไปแสนไกล ในไม่ช้าเรือนร่างกำยำก็ค่อยๆ เอนซบลงอกอวบๆ ทั้งคู่หอบหายใจกระเส่า“อ่า ข้าไม่เคยกินสุราอร่อยขนาดนี้มาก่อน”แม่ทัพรำพันกระซิบแนบเนื้อนวล บนโต๊ะกลมใหญ่กลางกระโจม เขาไม่คิดว่าการเดินทางกลับวังหลวงครั้งนี้จะได้พบเทพธิดาที่นำพาเข้าสู่สรวงสวรรค์อย่างไม่คาดฝัน“ข้าก็ไม่เคยถูกมังกรยักษ์จ้วงกระหน่ำได้ถึงใจขนาดนี้เช่นกัน โอ้แม่ทัพสมแล้วที่ท่านเป็นยอดชาตรี”เหมยกุ้ยพลิกตัวขึ้น ดุ้นมังกรยักษ์จึงหลุดออกจากร่องหอย“อ่า”ร่างอรชรค่อยๆ เลื้อยกายลงมาที่หว่างกำยำ จนสบเข้ากับลำตัวของมันเยิ้มไปด้วยน้ำทิพย์สีขาวขุ่น“มังกรท่านใหญ่น่ากินเหลือเกิน”เหมยกุ้ยถึงกับอุทานกระเส่าเมื่อเจอหัวดุ้นสีน้ำตาลไหม้อาบช่ำด้วยน้ำทิพย์ เส้นเลือดปูดโปนยังเต้นตุบๆ ลิ้นเรียวเล็กแลบเลียริมฝีปากตนอย่างห
ยิ่งลิ้นสากสอดแทง... น้ำหวานยิ่งทะลักจนฉ่ำปาก เขาดูดดื่มตักตวงความหวานฉ่ำที่ทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสายแผล็บๆ แผล็บ ๆ “อะ.... อือ... อะ อ่า จะแตกแล้ว อ่อยยยยยย”ปากใหญ่ร้อนฉ่ายังคงขบเม้มกลีบเนื้อหอยเต็มปากเต็มคำ ลิ้นร้อนฉ่าแทงเข้าแทงออกรัวๆ เร่งจังหวะตามเสียงกระเส่าของนาง ยิ่งดูด ยิ่งเลียน้ำหอยฉ่ำ ๆ ยิ่งไหลทะลัก ร่างอรชรบิดส่ายบ่งบอกว่าเจ้าของร่างกำลังเสียวซ่านมากแค่ไหนจ๊วบบบบบบ จ๊วบบบบบบจ๊วบบบบบบแผล็บๆ แผล็บ ๆ แฮ่กๆ แฮ่กๆ“โอ้วววววววว ท่านแม่ทัพ ไม่ไหวววว แล้ววววว อร้ายยยย”เหมยกุ้ยแอ่นสะโพกหยัด มือเรียวขยุ้มผมดกดำของเขาให้แนบชิดร่องสาว ร่างอรชรกระตุกเกร็งงึก ๆ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอค้างครางออกมาผะแผ่วด้วยความเสียวซ่านที่แผ่ซ่านไปทั้งกายสาว“อร้ายยยยยยยยยยย”พรวดดดดดดดดดดดด น้ำหอยแตกพรวดทะลักง่ามขา รูหอยขมิบตอดอากาศอย่างหิวโหย ซ่านกระสันอยากให้มังกรจ้วงแทงแทบขาดใจ เหมยกุ้ยครางกระเส่าขมิบตอดความว่างเปล่าไม่ยอมหยุด นางลอยขึ้นสวรรค์ชั้นหนึ่งไปแล้ว“อะ อ่า อือ อ่อยยยยยย”“อู้ววว.. อ่า... เหมยกุ้ย... เงี่ยนมากแล้วสินะ นำทะลักเลยนะ โอ้ววววว”แม่ทัพหยัดกายขึ้นแลบล
“เชิญชิมสุราชั้นเลิศจากข้า... เหมยกุ้ย มอบเป็นของขวัญแด่ท่านแม่ทัพ”มือใหญ่ยึดข้อมือเล็กกางออก แล้วร่างใหญ่ก็ถาโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่นอนแผ่หลาบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว“เหมยกุ้ยยยยยยย ฮ่า ๆ เหมยกุ้ย”จ๊วบ!ซู้ดดดด จ๊วบ“อะ อ่า หือ อ่า”ลิ้นสากร้อนระอุแทรกเข้าไปในโพรงปากอุ่น มันตวัดลิ้นเล็กให้ตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนเลือดในกายนางร้อนระอุ เผยอเรียวปากขึ้น ตอบรับลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามา และหยัดร่างเข้าเบียดกายแข็งแกร่งทันทีซู้ดดดด จ๊วบจ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ“อืม อ่า จ๊วบ”ร่างอรชรใต้ร่างใหญ่กำยำบิดส่าย อย่างซ่านกระสันเมื่อแม่ทัพหนุ่มบรรจงจูบด้วยลิ้นร้ายอย่างหื่นกระหาย ลิ้นร้อนควาญรีดน้ำหวานในโพรงนางจนหมดสิ้น แล้วลามเลียมาถึงติงหูเกิดความสยิวแผ่ซ่านจนขนอ่อนของนางลุกซู่ทั้งกายจนครางกระเส่าออกมา“อร้ายยยย อ่า หือ”แผล็บ! จ๊วบ!ปากร้อนระอุของแม่ทัพใหญ่ลามเลียเลื้อยลากมาถึงซอกคอขาวผ่อง ลิ้นร้อนตวัดเลียกลืนกินสุราในเนื้อนวลมาเรื่อยๆ มือใหญ่ร้อนฉ่าดึงทึ้งอาภรณ์นางออกจนเกิดรอยแยกของเสื้อคลุม หน้าอกอวบอิ่มเผยชูชันอวดเต้าสล้างกลมกลึงเฉิดฉายอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหนุ่มจับจ้องอกอวบๆ ของนางอย่างหลงใหล
แม่ทัพใหญ่ยืนนิ่งราวกับถูกสาป เขาคาดว่าจะได้กลิ่นคาวเลือดและการสู้รบซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัด แต่สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ คือ สาวงาม งามที่สุดที่เขาเคยพบยิ่งยามที่ร่างอรชรเยื้องย้ายขยับกายเข้าใกล้ กลิ่นหอมฟุ้งลอยอบอวลไปทั่วทั้งกระโจม ใจของแม่ทัพใหญ่เต้นตึกตักระส่ำ เต้นแรงยิ่งกว่าการเห็นกองทัพศัตรูนับแสนอยู่ตรงหน้าสติของแม่ทัพใหญ่หลุดลอยลืมสิ้นว่าตนมาที่กระโจมน้อยนี้เพื่อสิ่งใด หัวใจของเขามันวาบหวามเคลิบเคลิ้ม แม้มือเรียวของนางเอื้อมเข้าสัมผัสมือใหญ่ เขาก็ยอมให้นางนำพาแต่โดยดี“ท่านแม่ทัพเชิญทางนี้เถิด”เหมยกุ้ยจูงร่างสูงใหญ่ให้นั่งลงที่โต๊ะกลมกลางกระโจม ที่มีสำหรับอาหารและเหล้าชั้นดีไว้เพียบพร้อม หากแม่ทัพใหญ่มีสติมากพอเขาจะประเมินสถานการณ์ตรงหน้าว่าคือ กลลวง แต่เหตุไฉนร่างกายของเขากลับวูบไหวยอมนั่งลงตามคำสั่งนางแต่โดยดี“ขออภัยท่านแม่ทัพที่ข้าน้อยบังอาจมารบกวนท่าน”เหมยกุ้ยชวนคุยระหว่างรินสุราเลิศรสลงในจอก“อะ เอ่อ ไม่เป็นไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นแม่ทัพ?”แม่ทัพใหญ่จางหย่งตอบอย่างเงอะงะ หลายเดือนที่ผ่านมาเขากรำศึกทั้งวันทั้งคืนเจอแต่บรรดาทหารหนุ่มๆ นี่เป็นคืนแรกที่เขา
“หากผู้ใดแพร่งพรายเรื่องในพระตำหนักนี้ออกไป มันผู้นั้นจะมีสภาพเป็นเหมือนนายทหารผู้นี้!”ปากสีแดงสดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็น“หากผู้ใดสวามิภักดิ์ต่อข้า มันผู้นั้นจะยังคงนอนหลับกินอิ่มอยู่ในตำหนักแห่งนี้เหมือนเช่นเคย!”องค์จักพรรดินี จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน!บรรดาข้าทาสบริวารต่างคุกเข่าหมอบลงถวายความจงรักภักดี ไม่มีใครไม่รักชีวิต!เมื่อผู้เป็นนายเก่าสิ้นวาสนา นกน้อยที่ไร้ผู้ปกครองย่อมบินหาคอนเกาะที่มั่นคงกว่ามันคือสัจธรรมของชีวิต“ฮ่าๆ ทุกคนจงฟัง!”เสียงประกาศก้อง ร่างอรชรในชุดสีทองกรุยกรายยืดกายขึ้นองครักษ์ทั้งสองยืนเคียงข้าง“ขอให้พวกเจ้าทุกคนจงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเหมือนเช่นเคยปฏิบัติมา อีกไม่เกิน 1 ชั่วยาม พระชายาก็จะฟื้น แต่จะกลายเป็นคนไร้สติ ให้พวกเจ้าทุกคนบอกกล่าวต่อๆ กันออกไปว่า -พระชายาโศกเศร้าเพราะสูญเสียพระสวามีจนเสียสติ-”น้อมรับพระบัญชา!“ระหว่างที่เจ้าเฝ้าพระตำหนักพระชายามีผู้ใดเล็ดลอดคาบข่าวไปบอกแม่ทัพใหญ่หรือไม่?”เหมยกุ้ยเอ่ยถามหลี่เจี๋ยขณะเสด็จกลับตำหนักของตน“ไม่มีแม้แต่เงาเส้นหนึ่ง”องครักษ์หนุ่มตอบ“ดีมาก ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ดูแลพระตำหนักของพระชายาเพราะข้ายังไม่ไว