เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง
"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"
คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่น
อวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย
"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"
เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ
"องค์ชายใหญ่"
เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอก
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือ
พัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง
ทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียว
และยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูกรายงานต่ออวี้จิ้งในไม่ช้า
เซิ่งซื่อวางพัดลงบนโต๊ะเบาๆ แต่แรงที่กดนั้นกลับหนักกว่าที่ควร นางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น
"ท่านพี่กลับมาแล้วหรือยัง"
นางเอ่ยถามถึงผู้เป็นสามีเสียงแผ่ว ราวกับไร้เรี่ยวแรง ดวงหน้าซีดขาว อารมณ์ในใจปั่นป่วนจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม
"กลับมาเมื่อครู่เจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังตรงไปยังห้องโถง"
คำตอบนั้นทำเอาเซิ่งซื่อใจหายวาบ นิ้วเรียวที่วางบนตักเริ่มกำแน่นจนซีดขาว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้นมาบ้าง พวกเขาจะทราบเรื่องแค่ไหน สิ่งที่นางทำจะถูกเปิดโปงหรือไม่
แล้วซุนเอ๋อร์เล่า หลานชายของนาง จะสามารถหนีรอดมาได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือว่าถูกจับตัวเอาไว้แล้ว
คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัว ทว่านางไม่มีคำตอบแม้แต่ข้อเดียว
ตอนนี้…เซิ่งซื่อไม่รู้อะไรเลย และนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
นางสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พยายามควบคุมสีหน้าให้สงบ แล้วกล่าวเสียงเบาแต่เฉียบขาด
"เจ้าเร่งส่งคนไปพบพี่ชายข้า สอบถามให้แน่ ว่าซุนเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือยัง"
ภายในห้องโถงเรือนหลัก
รองเสนาบดีอวี้จิ้งก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฝีเท้าเร่งรีบบ่งบอกชัดว่าเขารีบมาทันทีที่ทราบข่าวจากคนขององค์ชายใหญ่ ว่าบุตรีถูกลอบสังหารกลางทาง ด้านหลังติดตามมาด้วยอวี้เฉินที่มีใบหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยอันใด อวี้หลันที่ขอตัวไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง หลังจากได้อาบน้ำชำระล้างคราบฝุ่นคราบเลือด ใบหน้าของนางก็ดูสดชื่นและผ่อนคลายมากขึ้น
"พี่หญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่"
อวี้เฉินเอ่ยถามขึ้นในทันที เขารีบตรงเข้าไปหาพี่สาว ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ส่วนอวี้จิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกล ไม่ได้เอ่ยอันใด แต่สายตาที่ทอดมองมานั้น สะท้อนความห่วงใยและวิตกกังวลอย่างชัดเจน
อวี้หลันยิ้มบางให้คนทั้งสอง รอยยิ้มนั้นแม้บางเบา แต่กลับอบอุ่นพอให้ทั้งบิดาและน้องชายคลายใจ
"พี่ไม่เป็นอะไร โชคดีที่องค์ชายใหญ่ช่วยเอาไว้ทัน"
นางเอ่ยตอบน้องชายก่อนอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงหันไปสบตาบิดา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ทำให้ท่านพ่อต้องกังวลแล้ว"
อวี้จิ้งทอดสายตาแน่วแน่มองบุตรสาว แม้ในใจยังห่วงอยู่ไม่คลาย แต่ก็โล่งอกขึ้นมากเมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดี
"ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย ว่าแต่มันเกิดสิ่งใดขึ้น"
คนทั้งสี่นั่งลงภายในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศโดยรอบเงียบงัน แววตาทุกคู่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
อวี้หลันนั่งลงอย่างสงบ หลังจากนั้น นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง
แน่นอน…
นางย่อมไม่เอ่ยถึงในสิ่งที่ตนเองทำ
อวี้หลันเพียงยกความดีความชอบให้กับคนของตน และบุรุษที่กำลังจ้องมองนางด้วยแววตาหวานเชื่อม
แม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยถ้อยคำใดแทรกขึ้นมา แต่สายตากลับจ้องมองมาทางนางอย่างไม่วางตา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเห็นประกายหยอกล้อแฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น หญิงสาวจึงหลบสายตาของเขา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าความลับจะเปิดเผย แต่เพราะหัวใจของนางเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล
หลังจากที่อวี้หลันเล่าจบ บรรยากาศในห้องโถงยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะดูเหมือนว่านักฆ่ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ทางการกำลังตามล่ามานานหลายปี แต่พวกมันกลับไม่เคยทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้เลย
"ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงช่วยบุตรสาวของกระหม่อมไว้"
อวี้จิ้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
หลี่เหวินหลงไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณนั้นตรงๆ แต่สายพระเนตรทอดมองไปยังสตรีเพียงคนเดียวในห้อง สายตาที่ทั้งหนักแน่นและลึกซึ้งยากหยั่ง
"ข้ายินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง"
อวี้เฉินลอบกลอกตากับคำกล่าวนั้น สายตาจับจ้องท่าทีของผู้เป็นนายและพี่สาวของตนไม่วางตา
เขาคิดว่าท่าทางของสองคนนี้ดูจะ...แปลกๆ ชอบกล
"ท่านพ่อ ลูกยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอกท่านเจ้าค่ะ"
เสียงของอวี้หลัน เอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เนิบช้าแต่มั่นคง ดวงตาของนางสบกับบิดาอย่างแน่วแน่
อวี้จิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยขัด ดูจากแววตาของบุตรสาวแล้วคงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย
"ความจริง ลูกไม่ได้ล้มป่วย แต่ลูกถูกวางยาพิษ เป็นพิษจากเหง้ารากม่านหลิวเจ้าค่ะ"
สิ้นคำกล่าวของนาง อวี้เฉินเบิกตากว้างทันที ขณะที่อวี้จิ้งก็ตัวแข็งทื่อ สีหน้าพลันซีดเผือดไปชั่วพริบตา
แต่ไม่เพียงแค่นั้น นางยังเอ่ยต่อว่า
"และลูกเชื่อว่า...ท่านแม่ก็ไม่ได้จากไปเพราะอาการล้มป่วยเช่นกัน แต่เป็นเพราะพิษชนิดเดียวกันนี้"
สิ้นคำพูดนั้น ภายในห้องโถงก็ตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เหมือนถูกแช่แข็ง เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของแต่ละคน
อวี้จิ้งและบุตรชายสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ความจริง ที่ร่วงหล่นลงมาราวหินหนักทับลงกลางอก
ส่วนองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ภายในอกตอนนี้ร้อนระอุราวเพลิงลุกไหม้ เต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ตีขึ้นจนแทบกลั้นไม่อยู่ อยากจะสับคนพวกนั้นเป็นหมื่นๆ ชิ้น เขาหลุบตาลงช้าๆ ข่มความโกรธเอาไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง มือข้างหนึ่งกำแน่น จนเส้นเลือดที่หลังมือปูดชัด
อวี้จิ้งจ้องมองใบหน้าของบุตรสาวนิ่งงัน มือที่วางอยู่บนเข่าเริ่มสั่น ความรู้สึกผิด ความตกใจ และความแค้นพันกันยุ่งในแววตาของชายผู้เป็นใหญ่ในจวน และมีอำนาจในราชสำนักไม่น้อย แต่กลับไร้ความสามารถที่จะปกป้องบุตร และภรรยาของตัวเอง
อวี้เฉินเองก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก สีหน้าของเขาสลับระหว่างความตะลึงและโทสะ
หลี่เหวินหลงปรายตามองรองเสนาบดีอวี้จิ้งเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง
"เช่นนั้นข้าคงต้องบอกกล่าวท่านอีกเรื่อง คิดว่าท่านควรที่จะรับรู้เอาไว้"
เดิมทีเขาคิดจะสืบหาหลักฐานให้แน่ชัด สาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ แต่ในเมื่อศัตรูลงมือหนักถึงเพียงนี้ และยังกระทำกับ อวี้หลันของเขา
เขาจะรออีกไม่ได้แล้ว
"ข้าคิดว่านักฆ่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับเมื่อแปดปีก่อน"
คำพูดนั้นราวกับหล่นลงบนศีรษะของอวี้จิ้ง เขาเงียบงันไปนาน มือสองข้างประสานแน่น ราวกำลังข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ
"พระองค์... หมายความเช่นไร"
อวี้จิ้งเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบพร่า แม้ไม่ดังนัก แต่เปี่ยมไปด้วยความตึงเครียดและบางอย่างที่คล้าย ความกลัว
หลี่เหวินหลงเงียบไปเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะทอดพระเนตรไปยังอวี้เฉินเล็กน้อย แล้วหันกลับมาตอบชัดถ้อยชัดคำ
"เมื่อแปดปีก่อน ตอนที่ข้าพาอวี้เฉินออกจากจวนก็ถูกลอบสังหารเช่นกัน"
อวี้จิ้งหันไปมองบุตรชายของตน คล้ายต้องการคำยืนยันอีกครั้ง ว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่…คือความจริง
อวี้เฉินสบตาบิดาเงียบๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ อย่างแน่วแน่
คำตอบนั้น…เสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้จิ้ง มือของเขาสั่นเทา ราวกับร่างกายไม่อาจทานทนความจริงที่ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นทุกขณะ
ใครกันล่ะที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด หากภรรยาและบุตรธิดาของเขาตาย
แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยา ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของเขาแม้เพียงเสี้ยว
แต่ก่อนที่ชายสูงวัยจะปล่อยให้อารมณ์พาไป เสียงขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ข้าอยากให้ท่านทำตัวเป็นปกติ...อย่าพึ่งบุ่มบ่ามทำอะไร เพราะข้าคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกันหลายฝ่าย"
ชายหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง น้ำเสียงสงบเยือกเย็นทรงพลัง
"หากท่านลงมือเร็วเกินไป คนที่อยู่เบื้องหลังก็จะไหวตัวทัน ข้ายังต้องการเวลาสืบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง"
อวี้จิ้งมองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าด้วยแววตาแดงก่ำ สุดท้าย ก็ถอนหายใจเงียบๆ คล้ายยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ อย่างยากลำบาก
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก