หลายวันผ่านไปในที่สุดไป๋หมิงเยว่ก็เริ่มคิดได้
นางเปิดประตูห้องออกด้วยใบหน้าซีดเซียว เรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงยิ่งกว่าเดิม
หลี่เฟยเทียนยังคงมาหานาง คลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ เหมือนไม่เคยทำเรื่องบัดสีอันใดมาก่อน
“เยว่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็หายป่วยแล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบเลย กระนั้นข้าก็มาหาเจ้าทุกวัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บไข้หรือไม่?”
ชายหนุ่มตรงเข้ามาจับมือเรียวเล็กอย่างห่วงใย แววตาสั่นไหว ประหนึ่งหากมิได้เจอกันอาจขาดใจตายได้
จิ่นซินที่ติดตามคุณหนูของตนทุกยามเวลา ได้เห็นความจริงทุกสิ่งมาโดยตลอดก็ลอบถอนหายใจเบื่อหน่าย
นางเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยจึงไม่สะดวกอะไรเท่าใด จึงได้แต่ทำตากะหลับกะเหลือกสีหน้าพิกลแล้วหลบเลี่ยงไป
ไป๋หมิงเยว่มองหน้าชายคนรักด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ
แม้เป็นคนอ่อนแอเป็นแค่คุณหนูในห้องหอที่แสนจะบอบบาง แต่นางไม่คิดจะกักเก็บความปวดร้าวให้กลัดหนอง นางไร้ซึ่งความคิดประคองความรักจอมปลอมอย่างคนโง่งม คำถามแทงใจจึงเกิดขึ้นต่อหน้าบุรุษ
“ท่านมาหาข้าหรือมาหาใครกันแน่ เฟยเทียน”
เพียงวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา บุรุษพลันเบิกตากว้าง
“เยว่เอ๋อร์....เจ้า...” เขาอึกอัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋หมิงเยว่อยากหัวเราะทั้งน้ำตา “เรือนนี้มิใช่เรือนของน้องรอง เกรงว่าท่านคงเดินมาผิดทางแล้วกระมัง”
ม่านตาดำของหลี่เฟยเทียนหดแคบ “เจ้ารู้แล้ว?”
หญิงสาวพยักหน้า น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางสะอึกสะอื้นเสียงเครือ หายใจแทบไม่ออก
“หลี่เฟยเทียน ในเมื่อท่านมิได้รักข้าแล้วจงไปเสีย ท่านจะไปรักกับน้องสาวของข้าที่ใดก็ไป พวกเราสองคน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นอ้อมแขนอบอุ่น หลี่เฟยเทียนสวมกอดไป๋หมิงเยว่แนบแน่นรีบยื้อสุดใจ
“เยว่เอ๋อร์ หญิงที่ข้ารักอย่างแท้จริงย่อมเป็นเจ้า ทว่าฐานะของเจ้าในจวนไป๋ไม่เหมือนเดิมแล้ว การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหลี่ไป๋ยังคงต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ตัวข้าไม่อาจเลือกภรรยาเอกตามแต่ใจได้ เยว่เอ๋อร์ ข้ารักเพียงเจ้า ข้าไม่มีทางไม่แต่งกับเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
รักข้า แต่ไม่อาจมอบฐานะภรรยาเอกให้ข้าได้
ไป๋หมิงเยว่หลับตาลงอย่างปวดใจ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลันเห็นไป๋ลี่ถิงยืนชะงักนิ่งอยู่เบื้องหน้า ในระยะสายตาตรงพุ่มไม้
ชั่วจังหวะที่เห็นน้องสาวแอบมอง มิรู้ว่าอะไรดลใจ นางจึงเอ่ยกับเจ้าของอ้อมแขน “หากท่านรักข้าคนเดียว พิสูจน์ได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มก้มหน้าซุกซอกคอขาว รัดแขนกับร่างนุ่ม “ข้ารักเพียงเจ้า จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ยอมทั้งนั้น”
ไป๋หมิงเยว่พลิกกายในอ้อมกอด เงยหน้าออดอ้อน “จูบข้าได้หรือไม่?”
เมื่อคำนี้หลุดออกมา ใบหน้านวลพลันแดงซ่าน นับแต่เด็กจนโตเต็มวัย นอกจากมองตาจับมือ นี่คือครั้งแรกที่แนบชิด ไป๋หมิงเยว่กลั้นใจรอคำตอบด้วยหัวใจเต้นแรงแทบทะลุอก
หลี่เฟยเทียนที่ก้มหน้าอยู่แล้วจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ลอบถอนหายใจโล่งอก พิสูจน์โดยการจูบเป็นเรื่องง่ายดาย ก่อนจรดริมฝีปากอุ่นชื้นกับกลีบปากนุ่มแดง
ค่อยๆ ละเลียดชิมคนงามอย่างรักใคร่ท่วมท้น
จังหวะนั้นเสียงตวาดพลันดัง “พี่เฟยเทียน!”
เจ้าของนามรีบผละออกจากสตรีตรงหน้า เขาเบิกตามองตามเสียงจึงเห็น ...ไป๋ลี่ถิง!
ไป๋หมิงเยว่กระตุกยิ้มสมใจ
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “