FAZER LOGINหนังสือนิยายลึกลับทำให้นางรู้จักเขา ตัวร้ายผู้แสนร้ายกาจ ผู้ขึ้นเป็นฮ้องเต้ที่ชั่วร้าย สุดท้ายตายเพราะขายวิญญาณให้ปิศาจ เมื่อตายแล้วย้อนมาเกิดใหม่ ภารกิจช่วยเขาจึงเริ่มขึ้น แต่เอทำไมเขาจ้องแต่จะฆ่านางหว่า?
Ver maisวันนี้อากาศหนาวเหน็บกว่าทุกวัน หิมะสีขาวบริสุทธิ์ตกโปรยปรายไม่หยุดตั้งแต่เช้าจวบจนกลางวันก็ยังมิมีทีท่าว่าจะหยุด ยิ่งส่งเสริมให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าท่ามกลางความหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถกระทบกระเทือนผิวกายขาวดุจหิมะภายใต้อาภรณ์สีม่วงสดสลับแดง นางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ได้เลย
ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือประกอบกับดวงตาดอกท้อสดใสแลดูงดงามและน่ารักในเวลาเดียวกัน จมูกเล็กเชิด ปากสีชมพูระเรื่อ พวงแก้มแดงจางๆเป็นผลมาจากอากาศหนาวเย็นนัก ยิ่งทำให้แม้นางนั่งเฉยๆก็สามารถดึงดูดผู้คนได้อย่างง่ายดาย
เรือนร่างบอบบางมีส่วนเว้าส่วนโค้งพอควรเจริญเติบโตตามแบบฉบับเด็กสาววัยสิบสี่ย่างสิบห้า วัยใกล้ปักปิ่นกำลังจะเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
สตรีหนังหนาที่สามารถนั่งท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บขนาดบุรุษยังหลบเข้าบ้านตนเองเพื่อแสวงหาความอบอุ่น สตรีผู้นั้นคือข้าเอง
นามของข้าคือ เซียวเฟยเจิน แปลว่าผู้โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ ท่านพ่อข้าเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ให้เอง ถึงชื่อจะดูธรรมดาแต่ข้าชอบความหมายมันนะ
เพราะข้าชอบอิสรภาพและเรื่องเงินๆทองๆยิ่งนัก
เรื่องที่ชอบรองลงมาคือเรื่องกินแต่หากให้ชื่อมีอาหารเข้ามาด้วยคงแปลกพิลึกน่าดู
ที่นี่คือหมู่บ้านในดินแดนทางเหนือ ของแคว้นเฉียนเหลียง ราชวงศ์ปกครองปัจจุบันคือ ราชวงศ์หย่ง องค์ฮ่องเต้คือ หย่งเจิ้นนั่นเอง
หมู่บ้านที่ข้าอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กในดินแดนหนาวเหน็บทางเหนือเรียกได้ว่าห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก
“เจินเอ๋อร์เข้ามาอ่านหนังสือในบ้านสิลูก อยากแข็งตายรึ ไอ้ลูกคนนี้” บุรุษเคราประปรายเปิดประตูหน้าบ้านชะโงกหน้าออกมาเรียกข้าคือท่านพ่อของข้าควบด้วยตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน
แต่มิใช่บิดาแท้ๆหรอกนะ ข้าเป็นลูกกำพร้า ท่านพ่อเคยเล่าว่าเขาเจอข้าตอนอายุประมาณหนึ่งขวบถูกห่อด้วยผ้าไหมเนื้อดีวางไว้ที่หน้าบ้านของเขา
ด้วยความที่ข้าหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักท่านพ่อท่านแม่จึงเก็บข้ามาเลี้ยง ไม่นานพวกท่านก็ให้กำเนิดลูกชายมาอีกคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วครอบครัวข้าจึงมีอยู่ด้วยกันสี่คน ข้า พ่อ แม่ และน้องชายจอมซนอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้อายุราวสิบสองขวบเศษ
“ข้าอยากแข็งตายจะแย่ ท่านพ่อก็รู้ว่าสตรีเช่นข้าน่ะตายยาก ท่านอย่าห่วงเลย เข้าไปนั่งหน้าเตาไฟเถอะท่านน่ะ”
ข้าตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงใสกังวานทว่าห้วนและไร้หางเสียงเฉกเช่นคนบ้านป่า สิ่งที่ข้าพูดมิได้เกินจริงอันใด เหตุผลที่ข้าสามารถนั่งอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นวันๆได้เช่นนี้มิใช่เพราะข้าหนังหนาหรืออย่างไร
แต่เพราะข้ามีพลังวิเศษ ข้าสามารถสร้างม่านเกราะปกป้องสิ่งของหรือคนผู้ใดก็ได้ตามที่ข้าต้องการเพียงแค่สัมผัสและระลึกจิต
ยิ่งข้ากับสิ่งของที่ต้องการปกป้องเกี่ยวพันกันมากเท่าไหร่เกราะของข้าก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกันหากข้ากับสิ่งของนั้นมิได้มีสายสัมพันธ์อันดีใดเลยเกราะของข้าก็แทบไม่มีประโยชน์ใดเลย
ซึ่งตอนนี้ข้าใช้พลังปกคลุมตัวเองอยู่
ในโลกนี้มิใช่ทุกคนจะมีพลังแปลกๆเช่นข้าแบบนี้หรอกนะ จะมีก็เพียงกระหยิบมือที่ได้รับพลังพิเศษเช่นนี้
คนที่นี่เรียกมนุษย์เช่นพวกข้าว่าผู้วิเศษ
มีตำนานกล่าวขานว่าผู้วิเศษคือมนุษย์ที่สวรรค์ให้พลังมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเอง นับเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้นั่นเอง
ดังนั้นหากลูกหลานบ้านไหนเกิดมามีพลัง ไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดในตระกูลยากจนเร้นแค้นขนาดไหนขอเพียงนำไปรายงานตัวกับองค์ฮ่องเต้ เด็กผู้นั้นจะถูกยกระดับฐานะขึ้นทันที โตขึ้นจะได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ ตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับขุนนางขั้น 2 เลยทีเดียว นี่ยังไม่รวมทรัพย์สินที่ทรงจะประทานให้อีกมากมาย
แล้วแบบนี้จะมีใครไม่นำเด็กที่เกิดมามีพลังไปรายงานตัวงั้นหรือ
มีสิ ข้าไง ด้วยเพราะอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงข้าจึงสามารถหลบซ่อนตัวตนได้ง่าย บิดามารดาที่เลี้ยงข้ามาเป็นคนสมถะ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงจึงไม่มีใครปากโป้งไปแจ้งทางการ
ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการรายงานพลังของตนเองหรอกนะ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น
ใกล้แล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ข้าจะเผยตัวตนแล้วล่ะ
“พ่อจะไปล่าสัตว์ต่างหากเห็นเจ้านั่งอยู่หน้าบ้านก็เพียงพูดพอเป็นพิธีเท่านั้น เดี๋ยวชาวบ้านเขามาเห็นแล้วจะหาว่าข้าไม่รักลูก”
“เหรอ”
ข้าอยากจะลากเสียงให้ยาวไปถึงอีกบ้านหนึ่งกับท่าทีประชดประชันทำราวกับมิได้เป็นห่วงข้าเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าเราสองคนมิได้มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกันแต่ข้ารักท่านพ่อ และข้าก็รู้ว่าท่านพ่อรักข้าเช่นกัน
“ท่านจะไปล่าสัตว์หรือ ขะ...”
“ไม่ พ่อมิให้เจ้าไปด้วย”
ข้าชะงักฝีเท้าตนเองทันทีเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน ข้าชอบขอติดสอยห้อยตามท่านพ่อเข้าป่าบ่อย ๆ พอเข้าป่าไปปุบข้าก็มักจะหายวับแยกทางกับท่านพ่อปับ เพราะข้ามิได้ประสงค์ติดตามท่านพ่อไปช่วยล่าสัตว์อยู่แล้ว ที่ขอตามไปเพื่อเป็นข้ออ้างมิให้ท่านแม่ห้ามปรามข้าเท่านั้น
ข้าชอบเข้าไปเดินเล่นในป่า และที่สำคัญในส่วนลึกของป่ายังมีที่ลับของข้าที่หนึ่งซ่อนอยู่ด้วย ที่นั่นมีกระท่อมหลังเก่าตั้งอยู่ ด้วยความตาดีของข้าทำให้ข้าพบโดยบังเอิญ
แต่มิใช่กระท่อมร้างผู้คนหรอกนะ ที่นั่นมีเจ้าของเป็นชายเฒ่าใจดีปากร้ายผู้หนึ่ง เห็นเขาบอกว่าเป็นคนจากที่อื่นเดินทางมาจำศีลบำเพ็ญเพียรที่นี่ เหตุผลที่ข้าชอบไปที่นั่นมิใช่เพียงชายผู้นั้นเพียงอย่างเดียว แต่ในกระท่อมเก่าๆมีทั้งตำราเรียน หนังสือชีวประวัติราวกับห้องสมุดขนาดย่อยเลยก็ว่าได้
ที่ข้าสามารถเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล่วก็เพราะชายผู้นั้นสอนและให้ยืมอ่านหนังสือพวกนั้นนั่นแหละ
ข้าเคยสงสัยด้วยนะว่าทำไมคนหัวดีเช่นเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ก็มิได้คำตอบ ข้าที่จำเป็นต้องขวนขวายเอาความรู้จากอีกฝ่ายจึงไม่อยากถามต่อด้วยเพราะกลัวโดนไล่ตะเพิดออกจากกระท่อมน่ะสิ
ทำไมคนป่าเมืองหนาวอย่างข้าต้องลำบากหาความรู้เข้าหัวน่ะหรือ อย่างไอ้เฟยเจินทำสิ่งใดย่อมหวังผลอยู่แล้วหรือไม่ก็โดนบังคับมา ซึ่งครานี้เป็นอย่างหลัง
ในความเป็นจริงแล้วข้ามิใช่คนของโลกนี้หรอก ข้าคือสาวยุคศตวรรษที่ยี่สิบนู่น แต่ดันตายอย่างอนาถโชคยังดีที่ก่อนตายข้าเพิ่งอ่านหนังสือนิยายลึกลับเล่มหนึ่งจบ ด้วยความที่ตอนจบของเรื่องไม่สมดังใจข้าเสียเลยจึงนั่งด่าคนแต่งไปเสียหลายรอบ
ตอนจบของเรื่องตัวร้ายชายตายเพราะโดนความชั่วเข้าครอบงำ ตัวละครตัวนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
เขาเป็นถึงบุตรของสนมเอก บิดาเป็นถึงฮ่องเต้คนปัจจุบัน ชายหนุ่มจึงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ชายสาม แต่โชคร้ายหรือด้วยเพราะคนแต่งจัดวางให้ชีวิตเด็กน้อยอายุหกขวบต้องกำพร้ามารดา ทว่ามิใช่เพราะสิ้นชีพหรืออย่างไรแต่จู่ ๆก็หายตัวไปไร้ร่องรอย ไม่แม้บอกลาลูกชายตนเองสักคำ คนภายนอกจึงลือกันว่านางหนีตามบุรุษคนรักไปเพราะใคร ๆต่างก็รู้ว่านางเข้าวังมาเพราะโดนฮ่องเต้หมายตาต้องใจมิใช่ด้วยความสมัครใจ
แต่บุตรอย่างตัวละครผู้นี้แม้ยังเด็กแต่ชาญฉลาดยิ่งนัก เด็กน้อยไม่คิดอย่างนั้นจึงหนีออกจากวังเพื่อไปตามหาท่านแม่ของตนเอง สิบกว่าปีผ่านไปไม่มีใครพบเด็กน้อยใจกล้าผู้นี้อีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กน้อยในวันนั้นกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามทว่าดวงตาแข็งกร้าว หัวรุนแรงในวันนี้ เขาแสดงตัวพร้อมหลักฐานว่าตนเองคือองค์ชายสาม พร้อมทั้งโดนฮองเฮารับไปเลี้ยงดูต่อ
นักเขียนบรรยายว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กน้อยเก่งกาจ ฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายต่าง ๆด้วยตัวคนเดียว พูดถึงเรื่องฆ่าคนเขาสามารถฆ่าได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ จึงได้รอดมาถึงทุกวันนี้
ทว่าชายหนุ่มกลับมามือเปล่าเขาหามารดาไม่เจอ แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาคือฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจ ไม่กลัวใคร จิตใจหยาบไม่สนหัวใครทั้งนั้น
นั่นแหละจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางนองเลือดของตัวละครตัวนี้
ฮองเฮาที่ไร้บุตรมีแต่บุตรีทรงรับเป็นบุตรบุญธรรม ต่อหน้าเหมือนจะดีทว่าความเป็นจริงแล้วฮองเฮาต้องการใช้ลูกคนนี้เป็นอาวุธและหุ่นเชิดของตนในเวลาเดียวกัน
ที่ตัวละครตัวนี้ขึ้นครองราชย์ได้เพราะแผนการของฮองเฮาทั้งนั้น หลังจากขึ้นครองราชย์สุดท้ายก็ถูกความชั่วร้ายกลืนกิน บ้านเมืองราวกับถูกปิศาจร้ายครอบครอง และจบลงด้วยพระเอกกับนางเอกของเรื่องมาจัดการ จบชีวิตลงอย่างน่าอนาจทั้ง ๆที่ความเป็นจริงแล้วเบื้องหลังทั้งหมดมิใช่เขาเลยสักนิด
เด็กคนหนึ่งที่บอบช้ำจากการโดนมารดาทอดทิ้ง
เด็กที่รักบุพการีขนาดออกไปตามหาด้วยตัวคนเดียว
เด็กคนหนึ่งที่ถูกความรักของแม่เลี้ยงหลอกใช้
มีใครให้แย่กว่านี้อีกไหม
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นนิยายรักที่ยังไง๊ยังไงพระเอกกับนางเอกสุดท้ายก็ต้องสมหวังกันอยู่ดี แต่จบเช่นนี้ จบด้วยการจัดการคนชั่วผิดตัว คนบงการยังอยู่ดี ข้ารู้สึกไม่ชอบใจเสียเลย
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการมาเกิดใหม่ในโลกของหนังสือที่ย้อนมาตอนเริ่มเรื่อง
คนที่ให้สิทธิ์นี้แก่ข้า ข้าจะเรียกว่าสวรรค์แล้วกันนะ มอบหมายภารกิจ เปลี่ยนชะตาตัวร้ายให้ข้า หลังจากข้าโดนรถชนตายคาที่ระหว่างที่กำลังเดินออกจากหอสมุด
พอข้าลืมตาอีกทีก็ได้รับภารกิจและก็ฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยแรกเกิดพร้อมทั้งความทรงจำทั้งหมดในชาติที่แล้ว
บางทีข้าก็คิดว่าการที่ตนเองเป็นเด็กกำพร้าอาจเป็นความตั้งใจของสวรรค์ และพลังที่ติดตัวมานี้ก็นับว่าข้าควรกล่าวขอบคุณเบื้องบนมากแล้ว
วันเวลาผ่านไป ข้าเรียนรู้การใช้พลังตนเอง เรียนรู้ทักษะของการเผชิญโลกกว้างที่มิใช่บ้านป่าของตนเอง พอรู้ว่ามีตาเฒ่าที่รู้หนังสืออยู่ในป่าใกล้ตนขนาดนี้จึงรีบตีสนิททันที
เขาสอนวิชาข้า ข้าช่วยปิดบังตัวตนของเขา ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเท่านั้นก็พอ
ข้าหลุดจากความคิดตนเมื่อได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของพ่อบุญธรรมตน
“คราวนี้ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกน่าท่านพ่อ ข้าจะสร้างเกราะให้ท่านต่างหาก”
เท้าเล็กภายใต้รองเท้าขนสัตว์กันหนาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าหาท่านพ่อของตนเอง ข้าเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของอีกฝ่าย
แสงสีขาวบริสุทธิ์เรืองรองออกมารอบตัวของท่านพ่อก่อนที่จะจางหายไปอันบ่งบอกได้ว่าพลังของข้าทำงานสร้างเกราะเสร็จแล้ว หลังจากนี้ภายในสิบสองชั่วยามไม่ว่าจะมีอันตรายใด ๆ จะฟันก็ไม่เข้า อาคมใด ๆก็ไม่อาจทะลุเกราะข้าได้อย่างแน่นอน
เพราะเกราะที่ข้าสร้างให้คนที่ตนเองรักอย่างท่านพ่อมักแข็งแกร่งมาก ข้าคิดว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยสร้างมาเลยด้วยซ้ำ
เพราะข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อก็รักข้า คิดแล้วก็อุ่นใจแต่ลึกๆในใจข้าก็รู้สึกวูบโหวงมิใช่น้อยเมื่อใกล้แล้ว
ใกล้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องจากที่นี่ไปทำภารกิจของตนเองเสียที
ท่านพ่อมองข้าตอบด้วยความรักทีหนึ่งก่อนจะเอื้อมมาลูบศีรษะข้าอย่างเบามือและเดินจากไป
มือบางขาวนวลเนียนดุจหิมะของข้ายกขึ้นมากอดตนเองเพราะรู้สึกหนาวเหลือเกิน ข้ากำลังยืนกลางแจ้งท่ามกลางหิมะตก ลมหนาวพัดมาไม่ขาด นาน ๆ ทีข้าจึงรู้สึกหนาวเช่นนี้
ทำไมข้าถึงเพิ่งมารู้สึกหนาวน่ะหรือ....
เงื่อนไขการใช้พลังอีกหนึ่งข้อของข้าคือ หากข้าสร้างเกราะนี้ให้ใคร เกราะที่ปกป้องข้าก็ยิ่งเบาบางลงตามความแข็งแกร่งที่ข้ามอบให้ผู้อื่นนั่นแหละ
เมื่อกี้ข้ามอบเกราะให้ท่านพ่อเต็มที่บัดนี้รอบตัวข้าจึงไร้เกราะป้องกันอยู่เลยน่ะสิ
ไม่รอให้ตัวเองยืนจนแข็งตายอยู่หน้าบ้านข้ารีบซอยเท้าเข้าไปหาความอบอุ่นภายในบ้านทันที
แต่แล้วดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เป็นใจให้ข้า คงคิดว่าข้าหนังหนายิ่งกว่าหมีขั้วโลกเหนืองั้นสิ เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่วิ่งเข้ามาทางบริเวณที่ข้ายืนอยู่ พร้อมทั้งเสียงตะโกนดังมาถึงก่อนตัวทำให้ฝีเท้าข้าชะงัก
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ อยู่ไหมขอรับ”
“พี่หลี่ลั่วเสียงดังมาแต่ไกลเลย พ่อข้าไม่อยู่หรอกเจ้าค่ะ ออกไปล่าสัตว์เมื่อครู่นี่เอง...ท่านมีเรื่องด่วนหรือเปล่าเจ้าคะ”
หลี่ลั่วคือผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านของท่านพ่อข้าเอง บ้านเขาอยู่นู่น ทางเข้าหมู่บ้านนู่น ส่วนบ้านข้าอยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน
ระยะทางนับว่าไกลพอสมควร อีกฝ่ายวิ่งมาเช่นนี้คงไม่แคล้วมีเรื่องสำคัญมาแจ้งพ่อข้า
“ด่วนและสำคัญมาก แฮ่ก ๆ”
“พักเหนื่อยก่อนเดี๋ยวขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน ข้าขี้เกียจหาผู้ช่วยท่านพ่อใหม่”
“เอ้า ไอ้นี่หนิ แช่งข้าเสียแล้ว” ข้าหลบมะเหงกของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เหอะเรื่องความว่องไว ข้ารับรองไม่เป็นสองรองใครหรอกนะ
ขนาดลิงบางตัวยังต้องอายข้าเลย
“เรื่องด่วนอะไร พี่หลี่ลั่ว”
“ก็ที่หน้าหมู่บ้านมีขบวนของทหารกลุ่มเบ้อเริ่มรออยู่น่ะสิ เห็นบอกว่าเป็นตัวแทนมาส่งราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ บอกว่ามาขอพบพ่อของเจ้าน่ะ”
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล

















