“พี่เฟยเทียน!”
เจ้าของนามรีบผละออกจากสตรีตรงหน้า เขาเบิกตามองตามเสียงจึงเห็น...ไป๋ลี่ถิง!
ไป๋หมิงเยว่ลอบกระตุกยิ้มสาสมใจ
ทันทีที่หลี่เฟยเทียนเห็นไป๋ลี่ถิง เขาก็ชะงักงันตัวเกร็ง
อ้อมแขนอบอุ่นที่โอบกอดไป๋หมิงเยว่อย่างอ่อนโยนพลันแข็งค้างไปถนัดตา ไม่ช้ายังรีบผละจากอย่างตกใจ
แน่นอนว่าไป๋หมิงเยว่สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเขา เรื่องนี้ยิ่งกว่ามีมีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทงนางจนเลือดโชก หญิงสาวเจ็บร้าวเกินทานทนจนกระทั่งต้องปัดแขนเขาออก แล้วหันหลังวิ่งหนีอย่างคนไร้ทางสู้
ไป๋หมิงเยว่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องร้องไห้อยู่คนเดียวก่อนจะเป็นลมสลบไป
จิ่นซินเห็นเช่นนั้นก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
แม้คุณหนูจะไม่ให้นำเรื่องราวในจวนไปปรึกษาใคร แต่การเงียบหาใช่ทางออกที่ดีไม่
มีความจริงอยู่หนึ่งประการ แม้จวนไป๋จะเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด ทว่ากลับมีพระสนมคนหนึ่งสนิทสนมกับมารดาของไป๋หมิงเยว่มาก เนื่องจากเคยมีบุญคุณต่อกัน
จิ่นซินจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าพบพระสนมผู้นั้น
ทั้งลำบากและใช้เวลาเนิ่นนาน แต่สาวใช้ตัวน้อยกลับไม่ย่อท้อ ในที่สุดวันที่เฝ้ารอก็มาถึง จิ่นซินได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าถึงตำหนักพระสนมเว่ยโดยขันทีผู้หนึ่ง
เรื่องราวฟ้องร้องจึงพร่างพรูออกจากปากของจิ่นซิน ตามความเป็นจริงทุกประการโดยไม่มีการหมกเม็ดใดๆ นางเล่าพลางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาราวจะขาดใจ
ช่างเป็นสาวใช้ที่ภักดีอย่างยิ่ง
พระสนมให้รู้สึกชื่นชมระหว่างรับฟังเรื่องราวโสมมในจวนไป๋ เมื่อฟังจบจึงบังเกิดความคิดฉุดดึงไป๋หมิงเยว่ให้หลุดพ้นขึ้นจากห้วงทุกข์ระทมขมขื่นใจจึงคิดจับคู่ให้เสียเลย
ช่วงนี้นางกำลังเป็นที่โปรดปราน ใช้เวลานอนคุยเรื่องสัพเพเหระกับฮ่องเต้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น
และบางครั้งฝ่าบาทก็มักจะพลั้งเผลอพร่ำบ่นเรื่องงานราชกิจออกมาบ้างเล็กน้อย
“แม่ทัพหยางเปี่ยมบารมี ฝีมือสูงส่ง เริ่มเรืองอำนาจมากเกินไป การกำจัดเขามิใช่ทางออกที่ดี ถึงอย่างไรฝีมือสูงส่งของเขายังสร้างคุณประโยชน์แก่แผ่นดินได้อีกมาก”
“เช่นนั้นสมรสพระราชทานเพื่อลดทอนความล้ำเลิศไยมิใช่ควรเกิดขึ้นเล่าเพคะ” พระสนมแย้มยิ้มอ่อนหวานพลางกล่าววาจาเสนาะโสตคล้ายไม่ใส่ใจ
“แม่ทัพผู้แข็งกระด้างปานศิลากับหญิงสาวธรรมดาไร้ยศศักดิ์ไร้อำนาจสนับสนุน มิใช่คู่ที่เหมาะสมหรือเพคะ”
ฮ่องเต้เยี่ยนเลิกคิ้ว อันที่จริงมิใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้ว่าสนมแต่ละนางเป็นเช่นใด แอบพบใครบ้างในแต่ละวัน ทว่าเพราะกำลังเสาะหาสตรีที่สมควรเป็นหมากตานี้อยู่พอดีจึงไม่ได้ขัดสนมเว่ยในเรื่องนี้ อีกอย่างพระองค์เองก็ลองถามหยั่งเชิงกับพระสนมคนใดก็มีแต่แนะนำหลานสาวจากตระกูลตัวเองเพื่อเสริมอำนาจแห่งตนไปเสียสิ้น
เมื่อหยั่งเชิงกับขุนนาง พวกเขาก็เอาแต่อ้ำอึ้งอึกอัก มิกล้าออกความเห็น
ทว่าสกุลเว่ยกับสกุลไป๋นั้น สายสัมพันธ์ห่างไกล ไร้เส้นสายโยงใย เรื่องขั้วอำนาจอันใดยิ่งไม่มี
แน่นอนว่าฮ่องเต้ส่งสายลับออกไปสืบหาข้อเท็จจริงในประสงค์ของสนมเว่ยได้ไม่ยาก
สนมเว่ยไหนเลยจะล่วงรู้พระทัยฮ่องเต้ถึงขั้นนั้น นางเพียงแนะนำไป๋หมิงเยว่ตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะมารดาของอีกฝ่ายเคยช่วยนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง
เฮ้อ! ถือว่าตอบแทนคุณให้แก่วิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าเองก็ช่วยบุตรสาวของท่านได้เท่านี้ล่ะ! สนมเว่ยคิดเพียงต้องการให้ไป๋หมิงเยว่หลุดพ้นจากครอบครัวที่ละเลยและบุรุษเห็นแก่ตัว นางจึงเอ่ยอย่างเรียบง่ายไร้แผนการใดว่า
“นางคือคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แห่งจวนขุนนางขั้นเจ็ด ไร้มารดา บิดาไม่ใส่ใจ นามว่าไป๋หมิงเยว่เพคะ แน่งน้อยผู้นี้ไร้ตัวตนในจวน หมดอำนาจตั้งแต่มารดาตาย ปราศจากคู่หมั้นคู่หมายเป็นเรื่องเป็นราวแม้อายุล่วงเข้าสิบแปดปีแล้ว และที่สำคัญ ทั้งนางและตระกูลมิได้มีอำนาจมากจนเกินไป นิสัยใจคอหรือก็อ่อนแอชวนปวดใจ เหมาะแก่การดึงรั้งบารมีขุนนางเรืองอำนาจได้อย่างดีเพคะ”
เมื่อฟังจนจบ เนตรมังกรพลันเปล่งประกายเข้มลึก พระสนมเว่ยคนงามจึงได้รับสิทธิ์ปรนนิบัติจนรุ่งสาง...
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ
เมื่ออยู่เพียงลำพังสองต่อสอง นางจึงเริ่มไกลเกลี่ย “หยางเอ๋อร์ มิใช่ว่าน้าอยากขู่เข็ญหรือบีบบังคับเจ้า เพียงแต่เมื่อก่อนน้าก็ตามใจให้เจ้าออกไปทำสิ่งที่ชอบแล้ว เจ้าอยากฝึกวรยุทธ์ ปรารถนาท่องหล้า ข้าไม่เคยขัดสักครา”นางเว้นวาจาถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่วทว่ากลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาดไม่ให้โอกาสคนโต้แย้ง “เจ้าก็รู้ว่าแคว้นเยี่ยนมีสกุลทรงอิทธิพลที่คอยจ้องกลืนกิน หมายมาดคิดกำราบเราให้ตกต่ำโดยตลอด สี่สกุล หลิว โจว เซี่ย โอว ต่างขับเคี่ยวกันและกันเสมอมา”หลิวไท่หยางนิ่งฟังมิเอ่ยวาจา แววตายังคงเย็นชาไร้ความรู้สึก สีหน้าไม่บ่งบอกความคิดใด ยากคาดเดาทุกสิ่ง เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ“หยางเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ดีปานใด สกุลโจวคิดเชื่อมสัมพันธ์หนึ่งในสามสกุล หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ปล่อยให้สกุลเซี่ยหรือสกุลโอวได้สกุลโจวไป สกุลหลิวจะรักษาอันดับหนึ่งได้หรืออย่างไร ยังจะยืนหยัดเพื่อบรรพบุรุษที่เพียรสร้างมาอย่างยากลำบากได้หรือ?”นางส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวต่ออย่างทอดถอนใจว่า“หยางเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ ด้วยตำแหน่งผู้สืบทอดของเจ้าและความสามาถที่มีมากกว่าน้องเล็ก ใช่ว่าเจ้าอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธไ