ย้อนกลับไปก่อนมีราชโองการสมรสพระราชทาน
ตั้งแต่มารดาสิ้นใจ ไป๋หมิงเยว่ที่เคยเป็นที่หนึ่งของจวนก็ถูกลดฐานะลงกะทันหัน นางที่กลายเป็นบุตรสาวของอดีตภรรยาเอกก็คล้ายตายทั้งเป็น เพราะบิดายกฮูหยินรองขึ้นเป็นใหญ่ในเรือนหลังทันที น้องสาวคนรองของนางจึงโดดเด่นขึ้นมาบดบังรัศมีของคุณหนูใหญ่อย่างนางจนมิด
อำนาจจัดการในจวนล้วนตกอยู่ในมือฮูหยินคนใหม่กับบุตรสาวคนรองจนสิ้น บุตรสาวคนโตจากอดีตฮูหยินเอกจึงไร้ตัวตนเข้าไปทุกที ทุกวันบ่าวไพร่ยังแทบไม่เคยเห็นหน้า
งานเลี้ยงการเข้าสังคมล้วนเป็นฮูหยินที่เคยเป็นรองและน้องสาวผู้น่ารักสดใส บิดายังใส่ใจแค่พวกนางทั้งสอง
เมื่อฮูหยินรองให้กำเนิดบุตรชายอีกหนึ่งคน บรรยากาศภายในจวนไป๋สำหรับไป๋หมิงเยว่ยิ่งย่ำแย่
คุณหนูใหญ่จึงคล้ายถูกขังให้อยู่ตำหนักเย็นก็ไม่ปาน
เหล่าบ่าวไพร่เห็นเจ้านายทำเยี่ยงนั้นก็ยิ่งเกียจคร้านไม่นำพาต่อคุณหนูใหญ่ของจวนผู้นี้ พวกเขาพร้อมประจบสอพลอเฉพาะนายหญิงที่มีอำนาจในกำมือ ผู้อื่นไร้อำนาจจะต้องสนใจไปไย
กระนั้นไป๋หมิงเยว่ก็หาได้ใส่ใจบิดาและแม่เลี้ยงไม่ ยิ่งไม่ชายตาแลเหล่าบ่าวไพร่ในจวนที่เปลี่ยนไปมิใคร่นับถือหรือกริ่งเกรงนางเหมือนเดิมทั้งหลายเหล่านั้น เพราะนางยังมีนายน้อยหลี่เฟยเทียนอยู่ทั้งคน
ครอบครัวหลี่สนิทสนมกับครอบครัวไป๋มาช้านาน หลี่ทำการค้าใหญ่ ไป๋เป็นขุนนางท้องถิ่น สองสกุลผูกมิตรกัน บุตรชายและบุตรสาวต่างรักใคร่กลมเกลียวมาโดยตลอดตั้งแต่พวกเขายังเป็นเพียงเด็กหญิงและเด็กชายอายุน้อย
ไป๋หมิงเยว่กับหลี่เฟยเทียนสนิทสนมกันถึงขั้นคบหาดูใจอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ มารดาของไป๋หมิงเยว่ก่อนตายก็รับรู้และสนับสนุนเป็นอย่างดี หวังฝากฝังบุตรีอย่างหมดห่วง
“คุณหนูใหญ่ คุณชายหลี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้เข้ามารายงานต่อไป๋หมิงเยว่เหมือนเช่นเคย
“กำลังนั่งรออยู่ในศาลา คุณหนูใหญ่รีบไปเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”
ไป๋หมิงเยว่เป็นสตรีเรียบร้อยที่อ่อนหวานนุ่มนวล กิริยาเนิบนาบเชื่องช้า แม้สาวใช้จะวิ่งตึงตังไร้มารยาทเข้ามา นางก็แค่ขมวดคิ้วเรียวงามน้อยๆ
“เหตุใดวันนี้เจ้าดูร้อนรนนัก”
“โธ่! คุณหนูใหญ่” จิ่นซินชักสีหน้ามึนตึงพลางกล่าว “บ่าวแค่รู้สึกว่าวันนี้สวนงามน่าชม ท่านควรออกไปเดินเล่นรับลมกับคุณชายหลี่ให้เร็วขึ้นหน่อยเจ้าค่ะ”
“อ้อ...เช่นนั้นเรารีบไปเถิด”
หญิงสาวกระชับชุดคลุมสีดำสวมทับสีขาวให้มิดชิดพลางลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นแม้ยังอ่อนแรงอยู่มาก
ช่วงนี้นางเจ็บป่วยบ่อยจนน่าแปลกใจเกินไปจริงๆ
ไป๋หมิงเยว่ยังคงไว้ทุกข์ให้มารดาผู้ลาลับเกือบสามปี ใบหน้าจึงซีดเซียวไร้เครื่องประทินโฉม เสื้อผ้าก็ไร้สีสัน
นางเดินนำหน้าสาวใช้คนสนิทออกมาทางศาลา สถานที่ซึ่งเป็นจุดนัดพบเสมอมาระหว่างบุรุษของนาง
ทว่าเมื่อมาถึงกลับเห็นไป๋ลี่ถิงนั่งอยู่ก่อนแล้ว
น้องสาวคนรองของนางนั่งอยู่กับบุรุษของนาง
พวกเขานั่งคุยกันโดยไม่มีนางนั่งร่วมบ่อยครั้งมากขึ้น เมื่อก่อนตอนยังเด็กอาจไม่รู้สึกอะไร ทว่ายามนี้กลับไม่ใช่
ไป๋หมิงเยว่หรี่ตามองเงียบงัน บัดนี้นางจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดสาวใช้จิ่นซินถึงได้มีท่าทีร้อนรนนัก
จังหวะนั้น ไป๋ลี่ถิงที่หันมาเห็นพี่สาวชะงักไปเล็กน้อย นางรีบเก็บซ่อนพิรุธลุกขึ้นยืนยิ้มๆ ด้วยท่าทางอ้อนแอ้นพลางทักทายเสียงใส ดวงตากลมโตคู่นั้นดูน่ารักเป็นพิเศษ
“พี่ใหญ่มาแล้ว”
หลี่เฟยเทียนจึงหันมามองด้วยสีหน้าปกติคงรอยยิ้มอบอุ่นเป็นนิตย์ “เยว่เอ๋อร์มาแล้ว”
ไป๋หมิงเยว่คลี่ยิ้มอ่อนหวานไม่กล่าวอะไร
เมื่อเดินมานั่งลงในศาลา ผู้เป็นน้องสาวก็กล่าวลาแล้วรีบจากไปทันที
คงเหลือเพียงหลี่เฟยเทียนที่ยังมีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ประดับบนใบหน้าหล่อเหลา
“พี่เทียนรอข้านานแล้วกระมัง”
ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวมากุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล “นานเท่าใด ข้าก็รอเจ้าได้”
พวงแก้มหญิงสาวแดงเรื่อ ไป๋หมิงเยว่อมยิ้มเขินอาย เลือกที่จะปัดความคิดไร้สาระซึ่งกำลังรบกวนจิตใจให้ตกไป
นางไว้ใจบุรุษของนาง...
ทั้งสองคุยกันด้วยถ้อยคำหวานหูเหมือนเคย
ยังนัดแนะกันเรื่องจัดการหมั้นหมายหลังพ้นช่วงไว้ทุกข์ให้มารดา ขอแค่ครบสามปีในอีกไม่กี่นาน เรื่องแต่งงานคงเกิดขึ้นทันที
ทว่าความไว้วางใจและหมายมั่นในความรักนั้น กลับกลายเป็นยาพิษกัดกินหัวใจไป๋หมิงเยว่ไม่เหลือดี
เมื่อค่ำคืนหนึ่งในเทศกาลลอยโคม ไป๋หมิงเยว่ได้บังเอิญเห็นหลี่เฟยเทียนยืนปล่อยโคมเคียงคู่กับไป๋ลี่ถิง
พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสองในมุมลับตา
ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันใต้เงาแสงสะท้อนจากโคมไฟ ต่างจับจ้องสายตากันและกันในระยะชิดใกล้
จากนั้นภาพการจุมพิตลึกซึ้งของชายคนรักกับน้องสาวของไป๋หมิงเยว่ก็ปรากฏเต็มสองตา
หลี่เฟยเทียนกับไป๋ลี่ถิงจูบกันแนบแน่น
ฝ่ามือยังกอบกุมกันไม่ปล่อย
เมื่อค่อยๆ ผละจากใบหน้ากันและกันอย่างเสียดาย เสียงสั่นเทาของฝ่ายหญิงก็ตัดพ้อกระเง้ากระงอดว่า
“เมื่อไหร่พี่เฟยเทียนจะบอกความจริงเรื่องของเรากับพี่ใหญ่เสียทีเล่าเจ้าคะ”
ฝ่ายชายก้มหน้าตอบเสียงพร่า “น้องลี่ถิงใจเย็นเถิด ให้เวลาพี่สาวเจ้าได้ทำใจสักหน่อย หากบอกออกไปยามนี้ ดีไม่ดีนางอาจทำใจไม่ได้ มารดาของนางเสียไปไม่ถึงสามปี ส่วนเจ้าเองยังต้องรอปักปิ่นอีกหลายเดือนมิใช่หรือไร หืม...”
“อืม...ก็จริง” หญิงสาวเงยหน้ากะพริบตากลมโตแลดูไร้เดียงสา
“แต่พี่เฟยเทียนต้องสัญญากับข้าว่าจะบอกปัดเรื่องหมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ห้ามตบปากรับคำเด็ดขาด ต่อให้พี่ใหญ่ไม่ต้องไว้ทุกข์แล้วก็ตาม”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ปลอบเสียงทุ้มนุ่ม “ข้าก็บอกปัดมาตลอดอยู่แล้วอย่างไรเล่า เอาเป็นว่าเจ้าก็รีบโตเป็นหญิงงาม จะได้เป็นเจ้าสาวของข้าเสียที หลังปักปิ่นเลยเป็นไร?”
หยอกเย้ากันจบก็แนบชิดคลอเคลียใต้แสงจันทร์ ฝ่ายหญิงส่งเสียงออดอ้อน ฝ่ายชายคอยพะเน้าพะนอไม่ห่าง
ช่างเป็นภาพอันบริสุทธิ์งดงามหาใดเทียม
ไป๋หมิงเยว่ยืนมองภาพบัดซบนั้นด้วยสองตาแดงก่ำ สองหูอื้ออึง สมองขาวโพลน
น้ำตามากมายหลั่งรินอาบแก้มเมื่อใดไม่ทราบได้ หัวใจนางแหลกสลายไปแล้วโดยสมบูรณ์
หญิงสาวเก็บภาพบาดตาบาดใจนั้นเอาไว้เพียงลำพังแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องหับปิดสนิท แม้หน้าต่างก็ไม่แง้มเปิด
นางร้องไห้จนสลบ น้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด ขดตัวอยู่มุมห้องราวกระต่ายน้อยบาดเจ็บ
เนิ่นนานผ่านไปยังค่อยๆ คล้ายกับหนูป่วยใกล้ตายเข้าไปทุกที
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “