แค่ลักษณะภายนอกของผู้เป็นนาย เรือนร่างสูงใหญ่ราวกับหุ่นทองแดงสำฤทธิ์ ผิวเนื้อสีน้ำตาลคล้ามแดด เครื่องหน้าเข้มจัดยิ่งมีหนวดเคราที่แลเห็นเป็นปื้นเขียวยาวจากข้างแก้มและเหนือริมฝีปาก ดวงตาสีเทาอมเขียวขี้ม้า คมดุใต้กรอบตากว้างลึก มองมาแต่ละครั้งทำให้เขานึกถึงนกอินทรีที่เหินอยู่บนเวหา ใช้สายตาอันแหลมคมและฉับไว มองเห็นเป้าหมายได้จากระยะไกล โจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ ทำเขากลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
ต้องมาเจอกับมาดนิ่งๆ แต่ประกายในดวงตาเจิดจรัสวาวจ้าราวสิงโตตัวเขื่องหมายขย้ำเหยื่อ บวกกับพระอาทิตย์จากด้านนอกสาดแสงส่องมาขับเน้นพายุเพลิงโทสะเป็นราวน้ำแข็งห่อลาวาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอีก อากาศในห้องที่เย็นจัดกลับร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับอยู่ในเตาอบก็มิปาน
ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากบอกว่าตัวเองกลัวจนขี้หดตดหาย อยากวิ่งออกจากห้องไปแล้วไม่ย้อนกลับมาอีก แต่ทำไม่ได้ เพราะเขามีภาระหน้าที่ต้องหาเงินไปจุนเจือครอบครัว รักษาพ่อที่กำลังป่วยด้วยโรคไตเรื้อรัง รวมถึงค่าเทอมน้องที่เหลือเพียงแค่ปีเดียวก็จบแล้ว เขาจะเป็นไทมาเปราะหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะต้องเจอเข้ากับพายุร้ายโหมกระหน่ำ จนเรือไม้ผุแทบแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ต้องอดทน...อดทนเข้าไว้
“แน่ใจ” เอ่ยถามเสียงเข้มจัด กรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน ถ้าหากใช่...เป็นอย่างที่ได้ยินมา ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์จะเกิดขึ้นเลย ไม่ได้เป็นแค่หายนะ แต่เป็นโลกพลิกกลับถล่มตรงหน้าเลยเชียวแหละ ดังนั้นเขาจึงต้องการคำตอบที่...แม่นยำ ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่...คิดเอาเอง
คนถูกถามผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา รู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้นเล็กน้อย ที่ไม่ต้องเจอกับพายุเพลิงโทสะของผู้เป็นนายอย่างที่คิดไว้ ทว่าขนที่ต้นคอก็ยังลุกเกรียวอยู่ดีนั่นแหละ เพราะถึงนายไม่ถามด้วยปาก แต่สายตานายกำลังเอ่ยถามอยู่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
ทุกคำที่เขาถามไป มักไม่ค่อยได้คำตอบจากใคร จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ เสียเงินเสียทองตั้งมากมายจ้างคนเหล่านี้ไว้ทำไม สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับ เขาทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือบุคลากรที่มีคุณภาพ แล้วคนที่ร่วมงานทุกคน คุณภาพด้านการทำงานนั้นอยู่ในเกณฑ์ดี ความสามารถสูง เพียงแค่บางเรื่องเท่านั้นที่แย่
จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาคือเจ้าของที่ควรต้องดูแลงานและทรัพย์สินของตัวเองให้ดี แต่เขาดันปล่อยปละละเลย เพราะทุ่มเทให้กับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่สามารถป้องกันการโจรกรรมข้อมูลที่ล้ำหน้าที่สุดในขณะนี้ จนลืมสนใจสิ่งอื่นใด เลยกลายเป็นจุดบอดให้กับคนบางคนที่ทำตัวเป็นเหลือบไร คอยจ้องเอาผลประโยชน์จากมันสมองของคนอื่นไปเป็นของตัวเอง บวกกับไม่คาดคิดด้วยว่าจะมีคนหาญกล้ากระตุกหนวดมาเฟีย ที่ก็ไม่ได้ร้ายมากมาย แค่มองเด็กตัวเล็กๆ แล้วร้องไห้จ้าในทันทีก็เท่านั้น
ร่างหนาแกร่งยืดตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง สองขาแยกห่างออกจากกันเล็กน้อย สองมือแกร่งสอดไขว้ไปจับกันไว้ด้านหลัง มองลูกน้องซึ่งทำงานกับเขามาร่วมห้าปีแล้ว ยอมรับว่าหนุ่มตรงหน้า ได้ความบ้างไม่ได้เรื่องบ้างก็ต้องให้อภัยกัน ในเมื่อตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะดีเก่งไปเสียทุกด้าน เพียงแค่ไม่ชอบความอึมครึมและไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่านั้นเอง
ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ในนี้ ธุรกิจการงานเขาเป็นไปอย่างดีเยี่ยม มีการติดต่อเข้ามาของห้างร้านบริษัท ให้ไปวางระบบงานป้องกันภัยให้ไม่ขาดสาย แต่ก็เป็นอย่างที่เขาว่า สายลมยังพัดแผ่วพลิ้ว ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆฝนตั้งเค้า ก่อนทะเลสงบเงียบไร้คลื่นลมจะโหมกระหน่ำ กลายเป็นพายุทอร์นาโดลูกใหญ่สาดซัดเข้ามา เริ่มต้นจากข่าวโคมลอย ที่หลายคนก็ปักใจเชื่อ ด้วยคิดแค่ว่า ถ้าไม่มีมูลความจริง ก็ไม่มีใครเอาไปพูดหรอก ขนาดบิดาเขาเองก็ยังเอ่ยถาม...
“ได้ข่าวว่าบริษัทแกมีปัญหารึไอ้ลูกชาย มีอะไรให้ฉันช่วยบ้างล่ะ”
คำถามออกจะหยามหยันมากกว่าต้องการจะช่วยเหลือด้วยใจจริง เพราะสองพ่อลูกไม่ลงรอยกัน ตั้งแต่ที่ผู้เป็นลูกชายแหกคอกออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ด้วยเบื่อกับวงการที่ชีวิตต้องแขวนอยู่บนเส้นได้ แม้กระทั่งนอนก็ยังต้องซุกปืนไว้ใต้หมอน เพราะกลัวมีใครบุกเข้ามายิงถึงในห้องนอน วันเวลาผ่านพ้นไปคนใกล้ชิดล้มตายไปทีละคนสองคน เพื่อช่วยให้นายอย่างเขาและคนในครอบครัวรอดตาย สิ่งที่เกิดขึ้นเขามองอย่างชินชา ทั้งเบื่อหน่ายและระอิดระอาใจ ไม่อยากทำให้คนอื่นเขาต้องมาตายเพราะเขา พอๆ กับไม่อยากเสี่ยงชีวิตที่ได้ไม่คุ้มเสียอีกแล้ว
ใช่...ถ้าไม่มีข่าวมา บิดาที่ไม่เคยสนใจว่าลูกชายนอกคอกไม่เอาอ่าวอย่างเขา จะไปทำมาหากินอะไร ที่ไหน ขอเพียงแค่ไม่นำความเดือนร้อนมาให้เท่านั้นคงไม่เอ่ยปาก แต่การที่ท่านพูดแบบนี้ แสดงว่าต้องมีข่าววงในที่ใหญ่เอากาล จนเกิดความเป็นห่วงกังวล เขาคงต้องปลีกเวลาไปคุยกับท่านเสียหน่อย เผื่อจะได้เรื่องอะไรกลับมาบ้าง
“คอยจับตาคนในบริษัท มีใครทำอะไร ที่ไหนบ้าง” ทุกเบาะแสจะต้องไม่ถูกมองข้าม เพราะนั่นอาจนำพาไปถึงเงาร้ายได้ “ถ้าหากมีคนล้วงเอาความลับออกไปจริง...ก็คงยังไม่เคลื่อนไหวให้ถูกสงสัยและจับได้” เขาไม่มีวันยอมให้เหลือบไรร้ายที่คอยดูดเลือด อยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน!
“ครับ” รับคำก่อนโค้งคำนับและเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ชายหนุ่มในชุดในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรมมีชื่อ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ริมหาดอ่าวนาง ในบริเวณที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของหาด ด้วยมีชายหาดขาวสะอาดทอดตัวยาวราวกับรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวและมีแหลมยื่นออกมา ผู้บริหารมีหัวคิดฉลาดเฉียบแหลมดัดแปลงกะเทาะหินลดลั่นเป็นขั้นบันได และสร้างศาลาไว้ให้แขกเหรื่อได้พักกินลมชมวิว มองพระอาทิตย์ขึ้นและตก ยามเที่ยงวันก็ไม่ร้อน ด้วยเส้นทางเดินไปศาลามีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นลดหลั่นกัน บวกกับลมทะเลที่พัดพัดโบกโบยเป็นสายไม่ขาดทั้งวัน เดินลิ่วๆ อย่างไม่สนใจจะมองคนร่วมถนนเดียวกันสะดุดตากฤติกาเป็นอย่างมาก
“กล้า แสงกล้า...นั่นนายใช่ไหม” กฤติกาตัดสินใจตะโกนถาม เมื่อเห็นร่างใหญ่กำลังจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ซึ่งภายในเป็นห้องเช่าขนาดกะทัดรัดและราคาประหยัดที่หาได้ยากยิ่งในพื้นที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยวติดอันดับหนึ่งในสิบของเมืองไทย
แสงกล้าหันตามเสียงเรียก นัยน์ตาเข้มของหนุ่มผิวหมึกเบิกกว้างเมื่อเห็นคนเรียก ก่อนปากหนาจะคลี่ยิ้มจนเห็นไรฟันสีขาวซี่ขนาดเท่าๆ กันเรียงตัวอย่างสวยงาม ตัดกับผิวเนื้อสีดำแดง ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็จะนึกถึงยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งเสียทุกทีไป
“ลูกไก่” แสงกล้าร้องตะโกนกลับไป พร้อมหมุนกายเดินข้ามถนนไปหาเพื่อนสาวที่ไม่เจอกันเป็นนาน “ดีใจจังที่เจอเธอ ไปไงมาไงถึงได้มาถึงนี่ล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม พร้อมจับจูงมือเรียวเดินไปยังเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นราชพฤกษ์ ซึ่งตอนนี้ออกดอกสีเหลืองอร่าม บางส่วนของกลีบดอกก้านใบ ร่วงหล่นลงมาจนต้องปัดกวาดก่อนหย่อนก้นลงนั่ง
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด