ร่างระหงฝืนทนความเจ็บแล้วลุกยืนขึ้น เมื่อเจ็บที่ข้อเท้า นางก็เพียงแค่ไม่เหยียบพื้นเต็มเท้า นางโผเดินไปเกาะตามต้นไม้เพื่อช่วยพยุงตนเอง พอเดินพ้นจากตรงนั้นมาไกลแล้วนางจึงยืนพิงต้นไม้หวังพักให้หายเหนื่อย
ท่ามกลางป่าที่เงียบสงัดที่นางได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจตัวเอง ในระหว่างที่ยืนเหนื่อยหอบอยู่นั้นหูก็พลันได้ยินเสียงน้ำไหล
‘ที่ใดมีแม่น้ำลำธาร ที่แห่งนั้นก็จะมีคนอาศัยอยู่’ คำกล่าวของบิดาที่เคยพานางออกไปสืบคดีกับมือปราบเมื่อยามนางยังเป็นเด็กดังขึ้น
พอคิดถึงบิดาน้ำตาก็คลอขึ้นในดวงตาดอกท้อทันที นางรู้สึกผิดต่อบิดายิ่งนัก นางมีส่วนที่ทำให้ท่านพ่อต้องตาย
“ฮึก...” นางสะกดกลั้นอารมณ์โศกเศร้าพลางยกมือปาดน้ำตา นางควรพาตนเองให้รอดออกไปจากป่าให้ได้ก่อน
“ข้าต้องเข้มแข็ง” อย่างน้อยก็เพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อ
เมื่อหายเหนื่อยหอบบ้างแล้ว นางจึงเดินไปทางเสียงแม่น้ำด้วยความหวังว่าจะเจอบ้านของชาวบ้าน
กว่าจะพาตนเองเดินไปถึงแม่น้ำมันช่างเป็นเวลาที่ยาวนานมากในความรู้สึกของนาง ดวงตาดอกท้อฉายแววโศกเศร้าทันทีเมื่อกวาดสายตามองแล้วพบว่าไม่มีบ้านคนดั่งเช่นที่ตนคาดหวัง
ร่างระหงที่อ่อนล้าทรุดตัวลงนั่ง สายตาก็กวาดมองดูความปลอดภัยไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
“นั่นคนใช่หรือไม่” นางรำพึงรำพันกับตัวเอง แต่ด้วยความมืดสิ่งที่นางเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม
“ช่วยข้าด้วย” น้ำเสียงที่ระโหยโรยแรงราวกับคนแทบจะขาดใจทำให้นางชะงัก
คนผู้นั้นเป็นคนไม่ดี หรือแท้จริงเขากำลังเดือดร้อน
“ได้โปรดช่วยข้า” เสียงทุ้มคล้ายคลึงเสียงบุรุษดังขึ้นอีกครั้ง พลันภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในความทรงจำ
เหตุใดนางถึงคุ้นเคยราวกับมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ความสงสัยพลันแล่นเข้ามาในความรู้สึก มือเรียวลูบไล้ใบหน้าตนเองก่อนจะพบว่าแท้จริงนางไม่ได้บาดเจ็บที่ใดนอกจากข้อเท้า ดวงหน้างดงามของนางที่ควรมีรอยเหล็กร้อนทาบจนเกิดแผลเหวอะหวะ กลับไม่มี
นางขยับตัวเข้าไปใกล้แม่น้ำเพื่อหวังจะใช้เงาที่สะท้อนในน้ำมองใบหน้าตนเอง ทว่าก็ต้องผิดหวังเนื่องจากทุกอย่างมืดมิด นางจึงไม่อาจเห็นหน้าตามที่ตั้งใจ แต่จากที่สัมผัสในตอนนี้ ใบหน้านางเรียบเนียน ตามเนื้อตัวมีรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้เล็กน้อย เสื้อผ้าฉีกขาดจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยวไม่มาก ความเจ็บปวดทรมานในช่องท้องจากยาพิษก็หายไป
“ช่วยข้าด้วย” ท่ามกลางความสับสน นางควรจะรีบเข้าช่วยเหลือบุรุษผู้นี้ใช่หรือไม่
อา...จะว่าไปในตอนที่นางกำลังเดินทางออกจากเมืองซานโจว รถม้าของนางถูกโจรป่าโจมตี นางจึงวิ่งหนีเข้าป่าแล้วมาเจอบุรุษผู้หนึ่งที่ริมแม่น้ำเช่นนี้มิใช่หรือ
ซูหนิงเซียนขยับเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นกลุ่มอาภรณ์ที่กองอยู่บนพื้นไร้ความเคลื่อนไหว นางจึงมองหาไม้หรืออะไรบางอย่าง ก่อนจะเลือกไม้ขนาดพอดีมือมาหนึ่งอัน หากเกิดชายผู้นี้ไม่ใช่คนดีนางจะได้ใช้มันตีเพื่อป้องกันตัว
“นี่ท่าน...” นางใช้ไม้เขี่ยกลุ่มอาภรณ์กองนั้น
“...” แน่นิ่งไร้การตอบรับ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายน่าจะหมดสติเรียบร้อยแล้ว
แม้จะไม่รู้วิชาแพทย์เท่าใดนัก แต่ด้วยเป็นบุตรสาวของเจ้ากรมอาญา นางที่เคยติดตามบิดาไปสืบคดีจึงมีโอกาสได้เห็นลักษณะการตายและศพคนตายมากมาย
ดังนั้นการตรวจสอบเรื่องชีพจรเบื้องต้นนางจึงสามารถทำได้ในทันที มือเรียวจับชีพจรที่ข้อมือก่อนจะทอดถอนใจอย่างโล่งอก
นางใช้มือตบบนใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเบาๆ ก่อนจะคาดเดาว่าเขาคงหมดสติไปแล้ว ดวงตาดอกท้อกวาดมองรอบตัวก่อนจะตัดสินใจประคองบุรุษตัวใหญ่ให้ออกห่างจากริมแม่น้ำแห่งนี้
แม้แม่น้ำจะเป็นแหล่งที่มักจะมีชาวบ้านอาศัยอยู่ แต่หากที่ใดมีแม่น้ำแต่ไม่มีบ้านคน นางควรพึงระลึกเอาไว้ว่าที่แห่งนั้นต้องเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าดุร้าย
หากนางไปจากตรงนี้โดยทิ้งเขาไว้ก็คงดูไร้น้ำใจเกินไป นางจึงตัดสินใจประคองเขาให้ออกห่างจากตรงนั้น
แม้จะทุลักทุเลแต่ทว่านางก็สามารถประคองเขาไปยังถ้ำแห่งหนึ่งได้ ภายในถ้ำแห่งนี้คุ้นตานางอีกแล้ว เห็นทีสิ่งที่นางคิดจะเป็นจริง
ใช่แล้ว! นางกำลังคิดว่าแท้จริงตนไม่ได้รอดตาย แต่เป็นนางที่ตายไปแล้วและได้รับโอกาสให้หวนคืนมา หรือไม่ก็เรื่องราวโหดร้ายเหล่านั้นมันเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น
แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หากบอกว่านางฝันแล้วการที่พบเจอบุรุษเจ็บหนักอยู่ริมแม่น้ำ กับถ้ำแห่งนี้ เหตุใดมันถึงเกิดขึ้นจริงเล่า
เมื่อครู่นางเพียงลองเดินไปตามเส้นทางที่เคยเห็นในฝัน แต่ที่ตรงนี้กลับมีถ้ำจริงๆ แล้วนางก็คุ้นตาหินก้อนนั้นที่นางเคยใช้อาภรณ์ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำของเขาวางพาดเพื่อตากไว้
‘แน่ชัดแล้ว ข้าว่าข้าได้รับโอกาสให้หวนกลับคืนมาเพื่อเอาคืนบุรุษสตรีชั่วช้าคู่นั้น’ ดวงตาดอกท้อวาวโรจน์ก่อนจะรั้งความคิดตนเองกลับมา อย่างไรในยามนี้นางก็ต้องช่วยเหลือบุรุษที่ตนพามาด้วยก่อน
นางสำรวจบาดแผลของเขาตามที่เคยทำในกาลก่อน แต่ดีที่แผลของเขาไม่ได้มากมายเช่นในตอนนั้น ทำให้ซูหนิงเซียนใช้เวลาไม่นานในการทำแผล อาภรณ์ที่เปียกถูกถอดออกจนหมดสิ้น ด้วยความสงสารนางจึงสละอาภรณ์ตัวนอกที่มีรอยขาดมากมายให้เขาเพื่อห่มคลุมให้ความอบอุ่น คืนนี้บาดแผลคงทำให้บุรุษผู้นี้เกิดอาการหนาวสั่น
นางใช้อาภรณ์ที่ยังเปียกของเขาเช็ดเนื้อเช็ดตัวนางที่เปรอะเปื้อน นัยน์ตาดอกท้อกวาดสายตามองไปทั่วถ้ำแห่งนี้ แม้จะโชคดีที่สามารถหลบฝนที่เพิ่งจะตกลงมาได้ แต่ทว่านางที่เป็นคุณหนูไม่เคยตกระกำลำบากเช่นนี้ นางจึงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรจึงจะจุดไฟได้ ด้วยเหตุนี้ภายในถ้ำจึงมืดมิด
กึก กึก กึก เสียงกัดฟันของบุรุษที่นอนหมดสติอยู่ข้างๆ ดังขึ้น นางได้แต่ถอนหายใจพลางก้มมองอาภรณ์ตัวในของตนที่เปียกชื้นไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าอาภรณ์ของเขา นางจึงยังสวมใส่อยู่
“เฮ้อ...” นางถอนหายใจอย่างรู้สึกรำคาญตนเอง ที่เหตุใดถึงต้องสงสารคนที่ไม่เคยพบหน้าผู้นี้
สุดท้ายก็ทนความจิตใจดีของตนไม่ไหว นางจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ ก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้าง นางก่ายขาและใช้มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้หนุนหัวโอบกอดเขา เพื่อที่อาภรณ์ตัวนอกจะได้ปกคลุมตัวนางด้วย
‘กลางป่ายามค่ำคืน เหน็บหนาวยิ่ง’ บุรุษที่กำลังตัวร้อนเช่นนี้คล้ายดั่งเตาอุ่นที่ทำให้นางคลายหนาวได้บ้าง
ด้วยร่างกายที่เมื่อยล้าและเสียงฝนที่ขับกล่อม สุดท้ายซูหนิงเซียนก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย
.....................
จริง ๆ หนาวแหละ เห็นตัวอุ่นดีเลยกอดไว้
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”