พราวจันทร์นั่งไม่ค่อยติด เมื่อยังไม่เห็นมีคนมาเสียทีเธอจึงลุกขึ้นเดินไปเกาะอยู่ที่กำแพงกระจกมองดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ คราแรกคิดว่าจะทำให้เธอหายจากอาการประหม่าแต่ดันลืมไปว่าตัวเองนั้นกลัวความสูง ตอนนี้จึงยืนตัวเกร็งขาแข็งก้าวไม่ออก
“คุณพราวครับ”
พราวจันทร์ค่อยๆ หันหลังกลับมามองคนที่ส่งเสียงเรียก
“ขะ...คะ” พราวจันทร์หันมาสบตากับตะวันวาดได้ ชายหนุ่มก็ยืนตัวเกร็งไม่คิดไม่ฝันว่าสาวแว่นเฉิ่มเชยที่เขาเห็นเมื่อเช้าจะกลายเป็นนางฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเขาได้ ทั้งชุดที่ขับผิวของเธอให้ดูผุดผ่อง และเดรสพอดีตัวของเธอก็ยิ่งทำให้เขาเห็นว่าสาวสาวตรวหน้าซ่อนรูปแค่ไหน เห็นทีต้องปรับทัศนคติการมองหญิงสาวใหม่แล้ว
“เอ่อ...ท่านประธานคะ” สาวเจ้าที่กำลังต้องการคนช่วยเหลือรีบเรียกประธานหนุ่มเสียงสั่น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ตะวันวาดหลุดจากภวังค์ได้ก็เริ่มเดินปรี่เข้ามาหาพราวจันทร์ที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ไม่ไกล
“พราวว่าจะเดินมาชมวิว แต่ลืมไปว่าตัวเองกลัวความสูงค่ะ” พราวจันทร์คว้าหมับไปที่ข้อมือของตะวันวาดอย่างถือวิสาสะ เมื่อหาที่ยึดเหนี่ยวได้จึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้บ้าง
“แล้วตอนเดินมาไม่กลัวเหรอครับ” เขาเอ่ยถามขณะช่วยจูงมือหญิงสาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“ก็ตอนเดินกินลมชมววิวมันไม่ได้สนใจนี่คะ แต่พอมองลงไปยังวิวด้านล่างขามันก็เริ่มแข็งค่ะ” พราวจันทร์เอ่ยพูดไปตามตรง ก็อีตอนที่เธอกำลังเดินเล่นสมองมันกำลังกังวลว่าเมื่อไหร่จะมีใครมา มาได้สติจริงๆ อีกทีก็ตอนที่สายตามองทอดไปยังด้านล่างของตึกสูงนี้แล้ว
“คุณพราวนี่ก็จริงๆ เลยนะครับ” ตะวันวาดขำในลำคอเล็กน้อยให้กับความโก๊ะของพราวจันทร์ หากเขาขึ้นมาช้ากว่านี้เชื่อได้เลยว่าเธอได้ยืนขาแข็งอยู่ที่กำแพงกระจกไม่ขยับไปไหนแน่นอน
“ท่านประธานจะขำพราวก็ไม่แปลกหรอกค่ะ” พราวจันทร์นั่งปากคว่ำบุ้ยปากจนคางเกิดรอยย่น
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ อ่อ...แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านประธานแล้วนะครับ เรียกผมว่าตะวันก็พอ”
“คุณ...ตะวันให้พนักงานเรียกแบบนี้ทุกคนเลยเหรอคะ” ดวงตากลมโตที่ปราศจากแว่นหนามองจ้องหน้าของตะวันวาดจริงจัง เป็นครั้งแรกที่ประธานหนุ่มรู้สึกประหม่ากับการที่ต้องมาปะทะสายตากับหญิงสาวที่เขามองเธอว่าจืดชืด ต่อไปนี้ดูท่าเขาจะประมาทกับเสน่ห์ของสาวน้อยคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว
“ครับ ก็ดูเป็นกันเองดี คุณพราวไม่ชอบเหรอครับ”
“ชอบสิค่ะ แล้วคนอื่นๆ ในบริษัทล่ะคะ พวกเค้าไปอยู่ไหนกันหมดเหรอคะ” ใบหน้าหวานหันหลังมองไปยังหน้าลิฟท์
“คืนนี้ไม่มีใครมาแล้วครับ ในบริษัทผมมีแค่คุณพราวเป็นพนักงานใหม่แค่คนเดียวครับ”
“อ้าวเหรอคะ พราวคิดว่าจะมีคนอื่นมาด้วยซะอีก”
“คุณพราวไม่ชอบเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่าจะมีคนอื่นมาด้วยเท่านั้น อ่อ...พราวขอบคุณสำหรับของที่ส่งไปให้พราวนะคะ” พราวจันทร์เริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องนั่งอยู่กับประธานหนุ่มสองต่อสอง ครั้นจะพูดความจริงว่ารู้สึกอย่างไรก็กลัวจะเสียมารยาท จึงเลือกที่จะหาเรื่องอื่นคุยกับท่านประธานหนุ่มไปเรื่อย
“ครับ ผมว่ามันเข้ากับคุณพราวมากๆ แถมตอนคุณพราวไม่ได้ใส่แว่นก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจนผมแทบจำไม่ได้เลยครับ”
“น้าของพราวก็บอกแบบนั้นเหมือนกันค่ะ อีกอย่างที่พราวอยากจะถามคุณตะวันค่ะ”
“อะไรเหรอครับ” ตะวันวาดนั่งตัวตรงเตรียมฟังคำถามของหญิงสาวอย่างตั้งใจ ภาวนาให้เธอไม่ถามคำถามอะไรที่เขาไม่อยากจะตอบ
“ของที่คุณตะวันส่งไปให้พราว ไม่ว่าจะเป็นชุด กระเป๋ารองเท้าแล้วก็พวกเครื่องประดับ กับอาหารตรงหน้า เอ่อ...คุณตะวันไม่ได้เอาราคาของพวกมันมาหักเงินของพราวทีหลังใช่ไหมคะ”
ตะวันวาดเริ่มแสยะยิ้มก่อนจะยกมือป้องปาก เป็นอีกครั้งที่คำพูดคำจาของเธอทำเขารู้สึกขบขันได้อีกรอบ
“เปล่าครับ ให้แล้วให้เลยไม่มีมาหักเงินทีหลังครับ”
“อ่อ...ค่อยโล่งอก” คราวนี้พราวจันทร์พอจะยิ้มออกมาจากหัวใจได้เสียที เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอเลยในตอนนี้
“สบายใจแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเรามาเริ่มมื้อเย็นกันเลยดีกว่าครับ ลองชิมสเต็กเนื้อนี่สิครับ นุ่มละลายในปากเลยนะครับ” ตะวันวาดค่อยๆ บรรจงหั่นสเต็กเนื้อวางลงในจานของพราวจันทร์
“ขอบคุณค่ะ” สาวเจ้าได้ลิ้มลองสเต็กเนื้อราคาแพงครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความอร่อยที่เธอไม่เคยได้สัมผัส เพราะเนื้อที่อยู่ในปากของเธอแทบจะไม่ต้องเคี้ยวก็ละลายหายลงคอไปเรียบร้อยแล้ว ลืมเนื้อย่างไม้ละยี่สิบบาทที่หน้าปากซอยบ้านเธอไปได้เลย
“ถ้าอยากลองอย่างอื่นเพิ่มก็จิบไวน์ล้างปากก่อนนะครับ จะได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารได้เต็มที่”
พราวจันทร์ที่กำลังเอร็ดอร่อยกับสเต็กเนื้อพยักหน้าหงึกๆ เมื่ออาหารที่อยู่ในปากหมดไปเธอก็หยิบแก้วไวน์ที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาลองดื่ม และแล้วไวน์แดงแก้วนี้ก็ทำให้พราวจันทร์เริ่มหลงไหลกับรสสัมผัสของมันไปได้โดยง่าย
มื้ออาหารมื้อนี้พราวจันทร์จึงเลือกที่จะดื่มไวน์เสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการของตะวันวาด
เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ทุกครั้งที่เห็นหญิงสาวดื่มหนักขึ้น เพราะพอจะมองออกว่าพราวจันทร์กำลังเมาแต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเมา ด้วยกำลังหลงไหลอยู่กับรสสัมผัสของไวน์ราคาแพงแสนละมุนลิ้นที่เขาสั่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
เวลาผ่านไปร่วมสามชั่วโมง และแล้วก็มาถึงเวลาที่ตะวันวาดรอคอย เขาถอดสูทตัวนอกออกพาดวางไว้กับพนักพิงเก้าอี้และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตคลายความอึดอัด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเท้าเอวมองหญิงสาวที่คอพับคออ่อนฟุบไปกับโต๊ะรับประทานอาหาร
“หึ่...” เขากรอกลิ้นไปกระพุ้งแก้ม จ้องมองคนตัวเล็กราวกับเธอเป็นอาหารอันแสนโอชาและรวบอุ้มสาวเจ้าพาดบ่าลงลิฟท์ไปยังห้องสวีทสุดหรูที่เขาได้เปิดเอาไว้
ตะวันวาดแบกคนตัวเล็กก้าวเท้ายาวด้วยความเร่งรีบไปยังห้องนอนใหญ่ เขาวางเธอให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม จากนั้นเขาก็นอนตะแคงยกมือชันหัวอยู่ข้างพราวจันทร์ไม่ห่าง ทั้งจ้องมองใบหน้าหวานไม่วางสายตา
ผมของเธอที่เกล้ามัดสูงตั้งแต่แรกกระจายแผ่ออกเมื่อหัวถึงหมอนบวกกับใบหน้าที่กำลังแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ยิ่งทำให้พราวจันทร์น่าดึงดูดสำหรับตะวันวาดเพิ่มไปอีกเท่าตัว
“สวยสะกดคนได้เหมือนกันนะคุณเนี่ย” มือหนายกลูบไล้ปลายจมูกมนของหญิงสาวเล่น คนที่รู้ตัวว่าถูกกวนเริ่มยกมือไม้ปัดไปมาจากนั้นก็เริ่มสะลึมสะลือค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น เมื่อสายตาพอจะมองเห็นว่าใครกำลังยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เธอก็รีบยกมือเรียวผลักออก
“แค่ไม่อยากเห็นมันได้ดีไปกว่าฉัน ขำๆ น่า”“โอนเงินให้ฉันด้วย ฉันจะบินไปต่างประเทศพรุ่งนี้”“อืม...ทำเป็นทวง”“แน่นอน ฉันทำงานก็ต้องได้เงิน”“โอนเรียบร้อย” วิรินดาโชว์สลิปโอนเงินให้กับรสรินทร์“ขอบใจ อ่อ... ฉันอยากเตือนแกด้วยความหวังดี เงินที่ถลุงจากไอ้แก่นั่นได้ก็เก็บเอาไว้สร้างเนื้อสร้างตัวบ้าง เผื่อวันนึงมันเฉดหัวแกทิ้งแกจะได้ไม่อดตาย อีกอย่างฉันก็ได้ข่าวว่าเมียมันโหดมากระวังตัวเอาไว้ล่ะ”“รู้แล้วย่ะ แม่ฉันยังไม่พูดมากเหมือนแกเลย”“อันนี้ฉันหวังดีจริงๆ ถึงได้พูดนี่ไง” ถึงจะไม่ได้ชอบนิสัยของวิรินดานัก แต่ด้วยความที่รู้จักกันมานานเธอก็อยากจะเตือนวิริดาในการใช้ชีวิต เธอเองได้เงินก้อนโตจากวิรินดารวมกับเงินเก็บที่หามาทั้งชีวิตก็จะหาธุรกิจเล็กๆ ทำที่ต่างประเทศแล้ว ไม่อยากเหนื่อยใช้เสน่ห์ปอกลอกเงินใครเหมือนที่ผ่านมาพราวไหมเดินทางมาถึงบ้านพักตากอากาศของพิมอักษรที่เขาใหญ่ตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน มาถึงก็ยังไมได้นอนเพราะเอาแต่นั่งร้องห่มร้องให้เสียใจเพราะความรู้สึกถูกทำลายจนใจแทบสลาย“คุณไหมอิ่มแล้วเหรอคะ”พราวไหมพยักหน้าตอบป้าสาวช้าๆ หลังจากตักข้าวเข้าปากได้สองสามคำ แม้ท้องจะหิวมากจนส่งเสียงร้
“ใช่”“หึ่... แล้วพี่มินทร์ก็โกหกไหมจนได้”“พี่ไม่ได้โกหกนะไหม”“ขอถามอีกเรื่องนะคะ ตอนไปสิงคโปร์พี่ไปนอนกับเลขาพี่มินทร์ใช่ไหม” พราวไหมเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาพรั่งพรูไหลเอ่อออกมาไม่ขาดสาย“ไหมฟังพี่ดีๆ นะ ตอนนั้นพี่เมาแล้วก็ไม่รู้เรื่อง” เตมินทร์ตัวชาวาบเริ่มมีน้ำเสียงอึกอัก เรื่องที่เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องวันนี้ก็ดันมาเกิดเรื่องจนได้“แสดงว่าจริง ฮือ ฮือๆๆๆ ไหมอุตส่าห์เชื่อใจพี่มินทร์มาตลอด ทำไมทำกับไหมแบบนี้คะ ทำไมทำแบบนี้ ฮือๆๆๆ” พราวไหมฟุบลงไปนั่งสะอึกสะอื้นจนหัวไหล่สั่นเทากับพื้น หัวใจของเธอถูกบีบคั้นจนปวดหนึบ ไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจมาตลอดจะหักหลังกันได้ลงคอ นี่สินะเหตุผลที่ทุกคนเตือนเธอนักหนาว่าให้ดูแลตัวเอง เพราะลมปากของผู้ชายมันเชื่อไม่ได้จริงๆ“ไหม พี่ยืนยันได้นะว่าพี่ไม่ได้มีอะไรกับโรสจริงๆ” เตมินทร์ลงไปนั่งกอดพราวไหมเอาไว้แน่น ยิ่งเห็นว่าเธอมีน้ำตามากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจมากขึ้นเท่านั้น“หยุดพูดซะที ไม่มีอะไรคุณโรสจะท้องได้ยังไง ฮือๆๆๆ” พราวไหมพยายามผลักเตมินทร์ออกให้พ้นตัวแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมอกง่ายๆ“ท้อง!” เขาพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องที่
“คุณทั้งสองคนอย่าเพิ่งเข้าใจคุณมินทร์ผิดนะคะ คือเมื่อวานที่คุณมินทร์ไม่บอกความจริงกับคุณไหม เพราะเค้าแค่ให้โรสไปช่วยเลือกของขวัญเซอร์ไพรซ์ให้กับคุณไหมค่ะ”“อย่างนี้นี่เอง” เมื่อเข้าใจทุกอย่างพราวไหมจึงรีบค้อมหัวให้รสรินทร์เล็กน้อย ที่เข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่าสามีของเธอกับเลขาสนิทสนมกับผิดปกติ ส่วนคนต้นเรื่องที่อยากจะให้เธอมาคุยกับรสรินทร์นั่งเงียบกริบพูดอะไรไม่ออกเพราะกำลังรู้สึกผิดเช่นเดียวกับพราวไหม“แต่โรสขอไม่บอกนะคะว่าเป็นอะไร”“ฉันเข้าใจค่ะ ต้องขอโทษคุณโรสด้วยนะคะ”“ถ้าไม่มีอะไรแล้วโรสขอตัวก่อนนะคะ วันนี้นัดกินข้าวกับเพื่อนเอาไว้ค่ะ”“ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”หลังจากเลขาสาวสวยของเตมินทร์เดินออกไปจากโต๊ะอาหารได้สองสาวอย่างพราวไหมและอลิสาก็มองหน้ากันด้วยสายตารู้สึกผิดกับรสรินทร์“เธอคงจะรู้สึกไม่ดีกับฉันแน่ๆ”“ช่างมันเถอะ อย่างน้อยเราก็ได้รู้ความจริงไงว่ามันเป็นมายังไง หลังจากนี้ก็สบายใจแล้ว”พราวไหมยังคงนั่งหน้าห่อเหี่ยวไม่หาย ไม่ใช่แค่รู้สึกผิดกับรสรินทร์ตอนนี้ยังรู้สึกผิดกับสามีของเธอด้วย เพราะหัวใจของเธอดันเริ่มมีอาการไม่ไว้ใจเขาไปแล้วทั้งที่ยังไม่รู้ความจริงแน่
“สำหรับพี่ ไหมสวยที่สุดในสายตาของพี่เสมอ แต่พี่ก็อยากให้ไหมได้มีเวลาของตัวเองได้ดูแลตัวเองบ้าง ไม่ใช่เพื่อพี่แต่เพื่อตัวไหมเอง” เขารวบกอดภรรยาตัวเล็กเอาไว้แน่น พอจะเข้าใจในสิ่งที่พราวไหมสื่อ“อ๋อ... เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงได้มาคุยกับพี่เรื่องจะหาพี่เลี้ยงให้ลูกๆ”พราวไหมพยักหน้าน้อยๆ ในอ้อมอกของสามี“ไหมอยากทำอะไรพี่ตามใจไหมทุกอย่างเลย แค่ไหมเสียสละอุ้มท้องดูแลลูกทุกอย่างคนเดียวพี่ก็ขอบคุณไหมมากๆ แล้ว พี่ไม่มีวันทำให้ไหมเสียใจพี่สัญญา แล้วก็จะไม่มีวันมองของข้างนอกสวยกว่าของในบ้านด้วย”“ขอบคุณนะคะที่พูดให้ไหมสบายใจ”“พี่รักไหมกับลูกมากๆ จำคำนี้เอาไว้นะครับ” ฟอด พูดจบก็กดหอมพวงแก้มนวลฟอดใหญ่“กอดด้วยค้าบ” คิมหันต์วิ่งตัวป้อมนำหน้าเหมันต์เข้ามาหาพ่อกับแม่ที่นั่งกอดกันอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น“เบาๆ ลูก” เตมินทร์ถูกคิมหันต์โถมเข้าหาจนสุดตัว แล้วจึงรวบลูกชายทั้งสองมากอดพร้อมกัน พราวไหมชอบมองภาพนี้เป็นที่สุด มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเช่นที่เคยฝันมาตลอดหลังจากพราวไหมหาคนช่วยเลี้ยงลูกได้ร่วมครึ่งเดือน วันนี้เธอก็ยอมปล่อยให้พี่เลี้ยงดูแลลูกๆ เธอตามลำพัง ส่วนเธอก็ถูกอลิสา
วันเวลาของความสุขพ้นผ่านนานจนคิมหันต์และเหมันต์ลูกชายฝาแฝดของพราวไหมกับเตมินทร์อายุได้เกือบสองขวบ ทุกวันนี้พราวไหมก็ยังคงทำหน้าที่ดูแลลูกๆ ด้วยตัวเองไม่คิดจะมีพี่เลี้ยงเพราะเธอไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองให้ความรักความเอาใจใส่ลูกไม่เต็มที่ส่วนเตมินทร์ช่วงนี้ก็ทำงานอย่างหนัก เพราะกำลังเร่งที่จะขยายกิจการในประเทศและต่างประเทศ เขาจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านบ่อยนัก“จะมาก็ไม่บอกกันก่อนจะได้เตรียมตัวต้อนรับ” พราวไหมบ่นอุกขณะอุ้มลูกชายลงเปล หากเธอรู้ว่าอลิสาจะมาหาที่บ้านวันนี้จะได้เตรียมตัวหาอะไรเอาไว้ต้อนรับ แต่เพื่อนเธอก็ไม่คิดจะโทรบอกกันก่อนที่จะมา“มาธุระที่นี่กะทันหันน่ะก็เลยแวะมาหาซะหน่อย...ทำไมโทรมแบบนี้ล่ะเพื่อนฉัน บอกให้หาพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยงลูกก็ไม่ยอม” อลิสายกมือลูบหน้าลูบตาพราวไหมที่ดูซีดเผือดไร้เลือดฝาด ทั้งขอบตาที่เคยเป็นประกายสวยมีเสน่ห์ตอนนี้หมองคล้ำพาคนที่มองเห็นรู้สึกไม่สดใสไปด้วย“ก็บอกแล้วไงว่าอยากให้ลูกติดฉันคนเดียว”“ป้าจะช่วยเลี้ยงบ้างก็ไม่ยอมค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนวางแก้วน้ำเย็นๆ ลงตรงหน้าของอลิสาได้ก็รีบประสมโรงกับเพื่อนของเจ้านายที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี“แค่ทำงานบ้านป้าสาว
ดวงตาคมเริ่มจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยแววตาไหวระริก รู้สึกเจ็บลึกไปถึงข้างในเมื่อคนที่เขารักมาตลอดเห็นว่าเขาเป็นคนอันตรายต่อความรู้สึกของเธอ“เลิกเกลียดพี่ได้ไหม ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะพี่อยากอยู่ใกล้ไหม เข้าใจหรือยัง” เขาก้มซุกลำคอระหงส์และเอ่ยความในใจออกมาเสียงสั่นเครือ“หมายความว่ายังไงคะ” พราวไหมเผยออ้าปากค้าง เริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดกับคำพูดของชายหนุ่ม“พี่ขอโทษ เพราะพี่ไม่เคยลืม ไม่มีสักวินาทีเดียวที่พี่ลืมสิ่งที่ทำกับไหม ความรู้สึกรักที่พี่มีให้ไหมพี่ก็ไม่เคยลืมมันเหมือนกัน พี่ไม่รู้ว่าไหมเกลียดพี่มากขนาดไหน แต่พี่อยากให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอดีตได้หรือเปล่า เป็นเจ้าสาวให้พี่จริงๆ ได้ไหม”เตมินทร์ชันตัวจ้องหน้าคนที่กำลังฉงนใจไม่ห่าง“จะ..จริงใช่ไหม ไม่ได้หลอกไหมใช่ไหม ไหมคิดมาตลอดว่าคนที่ไหมยังรักไม่เคยลืมได้จริงๆ เห็นว่าไหมเป็นแค่ตัวสร้างประโยชน์ซะอีก"คำว่ายังรักไม่เคยลืมจากปากหญิงสาว เหมือนเตมินทร์ได้ยกภูเขาออกจากอก เขายิ้มทั้งน้ำตาลูกผู้ชายและก้มลงพรมจูบพวงแก้มนวลนุ่มนิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเอ่ยกระซิบเสียงอ่อนย้ำให้หญิงสาวได้รับรู้เหตุผลของการกระทำของเขาอีกครั้ง“ที่พี่ทำทุก