ตอนที่ 10 เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย
‘ฉันเป็น...เมีย...ที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้เสียชีวิตค่ะ และนี่ค่ะเอกสารการจดทะเบียนสมรส’
คำพูดพร้อมกับใบเอกสารที่ยื่นไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาล เปรียบเหมือนกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงมายังกลางศีรษะของฉัน อีกทั้งสายตาคู่นั้นที่แอบส่งมาเย้ยหยัน ยิ่งทำให้ฉันที่แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับทรุดเข่าลงไปแทบจะในทันที ก่อนที่ตัวเองจะโชคดีที่ยังมีป้านีพุ่งตัวมาโอบประคองช่วยฉันไม่ให้ล้มลงไปได้ทัน...
'มะ...ไม่จริง' ฉันพึมพำเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน
'เป็นไปไม่ได้ พ่อหนูไม่มีวันจดทะเบียนสมรสกับคนอย่างอายุพินแน่นอน เอกสารนี้มันต้องเป็นของปลอมแน่ ๆ ฮึก...ฮึก...' หัวทุยที่ส่ายไปมาอย่างไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ยิ่งทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้ใจ
'อ๊ะ...นี่พ่อของเธอไม่ได้บอกหรอจ๊ะว่าเขาจดทะเบียนกับฉันน่ะ อะนี่...ถ้าไม่เชื่อก็ดูให้เต็มตาซะนะ' น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจถูกพ่นออกมาพร้อมกับหลักฐานที่เป็นใบทะเบียนสมรสยื่นมาตรงหน้าของฉัน
และคำพูดกับเอกสารตรงหน้าก็เป็นเหมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกความจริงลงมากลางหน้าเนียนของฉัน และยิ่งเมื่อฉันได้พินิจเพ่งดูหลักฐานที่อยู่ในมือด้วยสายตาอันสั่นเทาแล้วก็ต้องพบเข้ากับความจริงที่ว่าพ่อของฉันได้จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้วจริง ๆ และสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นมันได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ อีกทั้งด้วยความจริงที่หัวใจไม่อาจจะยอมรับได้ มันก็ได้ทำให้ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังจนหน้ามืดไปหมด โดยเฉพาะความรู้สึกเสียใจที่ทำไมฉันต้องมารับรู้เอาวันนี้ด้วย...ทำไมฉันต้องมารับรู้ในวันที่ฉันต้องมาเสียพ่อไป และนอกเหนือสิ่งอื่นใดท่านจะรู้บ้างไหมว่าสิ่งที่ท่านทิ้งเอาไว้มันอาวุธชั้นดีที่ใช้สร้างบาดแผลให้กับฉัน จน ณ เวลานี้หัวใจของฉันมันยับเยินไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
แม้แต่ป้านีที่เพิ่งรู้เรื่องราวนี้พร้อมกันกับฉัน แกก็ดูจะช็อกไม่ต่างกัน แต่กระนั้นป้านีก็ยังบีบมือฉันแน่นคล้ายกับต้องการจะส่งกำลังใจมาให้ ฉันที่รู้สึกตื้นตันใจ เพราะทั้งที่ป้าแกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดอะไรกับฉันเลย แต่สำหรับฉันตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกว่ามือคู่นี้มันช่างเป็นที่ยึดเหนี่ยวทั้งจิตใจและร่างกายได้เป็นอย่างดี
หลังจากความจริงที่แสนโหดร้ายปรากฏ ฉันที่เหมือนกับถูกหยุดเวลาไว้ ณ ตอนนั้น ก็ได้แต่ปล่อยให้เมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของพ่อทำทุกอย่างตามอำเภอใจ
จนกระทั่ง...
'หนูลินลูก เรามาพาพ่อกลับกันเถอะ' เสียงอันแสนอบอุ่นของป้านี เอื้อนเอ่ยเบา ๆ เรียกสติของฉัน ก่อนที่ฉันจะต้องมารับรู้อีกว่า ยัยแม่เลี้ยงตัวร้ายมันแค่มาเอาใบมรณะบัตรเพื่อไปดำเนินเรื่องทางกฎหมายเท่านั้น โดยที่ความใจดำของมันคือไม่แม้แต่จะเข้าไปดูหน้าพ่อฉันเป็นครั้งสุดท้ายเลย
หลังจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลก็มีเพียงฉันกับป้านีที่คอยจัดการธุระทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ โดยตลอดระยะเวลาที่ดำเนินงานให้พ่อฉัน ฉันไม่เคยเห็นหัวนังแม่เลี้ยงมาร่วมงานเลยแม้แต่วันเดียว
‘นี่ยุพินเขาจะไม่มาส่งพ่อเราเลยหรือไงกัน นี่มันก็จวนจะถึงเวลาแล้วนะ’ ป้านีเดินมาพูดกับฉันหลังจากที่ท่านไม่เคยเห็นแม้แต่เงาแม่เลี้ยงมาร่วมงานเลยสักวัน
ส่วนฉันได้แต่มองไปที่ป้านีด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ความรู้สึกเงียบเหงาเขาจู่โจมหัวใจของฉันอีกครั้งเมื่อนึกถึงความรู้สึกที่จะไม่มีพ่ออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
จากนั้น...
‘ฮึก...ฮึก...’ ร่างกายที่ไม่อาจหลอกจิตใจได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อความเศร้าใจได้ดำดิ่งไปถึงจุดที่ลึกที่สุด ธรรมชาติก็ทำส่งน้ำตาให้ไหลออกมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่มี
และป้านีก็ยังเป็นคนเดียวที่เข้ามาโอบกอดปลอบประโลมฉันดั่งเช่นหลายวันที่ผ่านมา และยังเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างฉันนับตั้งแต่วันที่แม่ฉันหนีออกไปจากบ้านจนกระทั่งถึงวันนี้วันที่ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว แต่มันก็คงเป็นเพราะฉันเองที่เก็บตัวไม่ค่อยไปพูดคุยกับแกเหมือนเมื่อครั้งที่ชีวิตฉันยังสมบูรณ์ดี นั่นก็เพราะว่าฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วงหรือเป็นกังวลใจเพราะฉัน และฉันไม่อยากจะเป็นตัวปัญหาให้กับใคร...
เพราะอย่างนั้นฉันจึงเลือกที่จะเก็บทุกอย่างเอาไว้ และคิดว่ามันคือเกราะคุ้มภัยไม่ให้ฉันเจ็บปวดอีก แต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้เกราะคุ้มภัยที่ฉันหลงคิดว่ามันจะทำให้ชีวิตฉันปลอดภัย มันจะค่อย ๆ กลืนกินความสดใสที่เคยมี...จนเหลือเพียงแค่ความเฉยชา...
ป้านียื่นมือมากอบกุมมือบางที่กำลังสั่นเทาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เธอทอดสายตามองไปยังหญิงสาวที่โตขึ้นมากตรงหน้าด้วยหัวใจที่หนักหน่วง เด็กสาวที่หน้าตาน่ารักมากคนหนึ่งที่ควรจะมีความสดใสตามวัย แต่ทว่า...ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหม่นหมองและเศร้าสร้อยจนน่าเวทนา
สายตาที่ผ่านการมองโลกมาอย่างมากมายของเธอ มองคนตรงหน้าพลางนึกย้อนไปเมื่อครั้งวันวาน ภาพเด็กตัวน้อยหน้าตาน่ารักแสนซุกซนแต่ช่างฉลาดสดใสสมวัย เด็กน้อยที่ชอบวิ่งมาขอขนมกินที่บ้านของเธอ พร้อมกับส่งเสียงเจื้อยแจ้วเจรจาจนเธอคลายความเหงาไปได้อยู่หลายครั้ง แต่น่าสงสารที่ความสดใสนั้นกลับถูกความเห็นแก่ตัวของพวกผู้ใหญ่พรากไปจนทำให้หม่นหมอง และถึงแม้ว่าเธอจะคอยสอดส่องและค่อยเป็นห่วงเด็กสาวตลอดมา แต่ทว่า...เด็กสาวผู้น่าสงสารกลับไม่ได้ทำตัวให้ต้องเป็นห่วงแม้แต่น้อยเลย นั่นก็เพราะเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น แม้ว่าจะต้องเจอกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสกี่ครั้งกี่หนก็ตาม
อ๊อดดดด ~~
สิ้นความคิดของทั้งหญิงสาวและหญิงวัยกลางคน เสียงที่เป็นดังสัญญาณของการปล่อยมือของผู้ที่อยู่กับผู้ที่จากไปก็ดังขึ้น เมื่อสุดท้ายแล้วก็ต้องถึงเวลาที่ฉันต้องส่งพ่อให้ออกเดินทางแล้ว...
‘ป่ะ...หนูลิน...เราไปส่งพ่อกัน’ ป้านีเอ่ยพร้อมกับกระชับมือที่กุมมือฉันให้แน่นขึ้น
ฉันพยักหน้าช้า ๆ แม้ว่าน้ำตายังอาบเต็มสองแก้มนวลอยู่
จากนั้นภาพควันที่ถูกปล่อยออกจากหอคอยที่สูงเสียดฟ้า คล้ายกับว่าต้องการส่งคนในนั้นไปให้ใกล้กับสรวงสวรรค์มากที่สุด แม้ว่าภาพตรงหน้าจะหมายถึงสัจธรรมของการปลดปล่อยให้อีกคนไปสู่อิสระอย่างแท้จริง แต่ทว่า...ความผูกพันสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ไม่อาจจะทำใจยอมรับกับสิ่งที่ต้องปล่อยไปได้เลย...
'ลาก่อนค่ะพ่อ...เดินทางปลอดภัยนะคะ...แล้วสักวันลินจะไปหานะ...ฮึก...ฮึก...' (T_T)
ฉันยืนมองจนกระทั่งควันนั้นเจือจางบางเบาจนไม่เหลือ พร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้ายที่ไหลลงมาเสมือนเป็นการบอกลาผู้ชายที่ฉันรักสุดหัวใจ เพราะจากนี้ฉันคงเหลือเขาไว้ได้เพียงแค่ในความทรงจำ...
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ