ตอนที่ 9 เล่นชู้!!
ฉันที่ยังคงจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากนั้นฉันก็รีบตรงดิ่งกลับมาบ้านป้านีที่ได้ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้วก็ได้บอกว่าถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นว่าตอนนี้พ่อของฉันท่านถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยป้านีที่เป็นห่วงความรู้สึกของฉัน แกก็ได้ให้เหตุผลว่าตอนที่โทรไปที่ยังไม่ยอมบอกกับฉันทางโทรศัพท์ในตอนนั้น เพราะแกไม่อยากให้ฉันตกใจจนเป็นอันตรายไปจึงได้บอกให้ฉันมาเจอกันที่บ้านก่อน จากนั้นค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกันกับแก ส่วนฉันหลังจากที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับพ่อของตัวเองแล้วนั้น ตัวฉันก็ถึงกับเกิดอาการช็อกจนสมองขาวโพลนตาลายแทบจะเป็นลมล้มลงไป โชคยังดีที่วินาทีนั้นฉันได้ป้านีปรี่เข้ามาประคองเรียกสติไม่ให้ดับวูบได้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้เป็นลมหัวฟาดพื้นไปอย่างแน่นอน
จากนั้นป้านีก็รีบพาฉันไปยังโรงพยาบาลที่ส่งพ่อของฉันไปรักษาทันที แม้ว่าทั้งฉันและป้านีจะยังไม่รู้สถานการณ์ของพ่อที่แน่ชัดว่าตอนนี้อาการของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทว่า...ด้วยสายใยระหว่างพ่อลูกบางอย่าง อีกทั้งความรู้สึกข้างในที่มันวูบโหวงแปลก ๆ มันทำให้ฉันอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เมื่อความรู้สึกนั้นมันช่างไปคล้ายเหมือนเมื่อคราวที่แม่ของฉันท่านได้ทิ้งฉันไปเมื่อหลายปีก่อน
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามข่มใจและความคิดอกุศลเอาไว้ไม่ให้ฟุ้งซ่าน ก่อนจะพาร่างวิ่งถลาไปตามทางเดินโรงพยาบาลที่ชี้ทางไปยังห้องฉุกเฉิน
‘คะ...คุณหมอค่ะ พะ...พ่อของหนู พ่อของหนูเป็นยังไงบ้างคะ ฮึก...ฮึก...’ ฉันตรงเข้าไปเขย่าแขนของคุณหมอสูงวัยที่เพิ่งออกมาจากประตูห้องที่อยู่ตรงหน้า
และด้วยห้องฉุกเฉินที่มีเพียงผู้ป่วยชายวัยกลางคนที่เพิ่งถูกส่งตัวมารักษาด้วยอาการเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพียงคนเดียวเท่านั้น ทำให้คุณหมอที่ถูกถามจากญาติผู้ป่วยอย่างฉันรับรู้ได้ทันทีเลยว่าคนตรงหน้าถามถึงอาการของผู้ป่วยคนไหน อีกทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจของคุณหมอก็เป็นคำตอบได้ดีเลยว่า...ไอ้ความคิดอกุศลเมื่อครู่นี้มันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
‘หมอเสียใจด้วยนะครับ’ คุณหมอพูดเพียงสั้น ๆ ก่อนจะโค้งหัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น ส่วนฉันที่เมื่อความรู้สึกจุกอกได้ทะลักตีตื้นมาคลอที่เบ้าตาแล้วนั้น ก็ไม่อาจจะต้านทานหยาดน้ำตาเหล่านั้นได้อีกต่อไป
‘ฮึก ฮึก ฮือออออ ~~’ ฉันปล่อยโฮร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร พร้อมกับร่างบางที่ทรุดกายลงไปนั่งกับพื้นอย่างคนที่หมดแล้วซึ่งความหวังทุกอย่าง นั่นก็เพราะว่า...นับจากวินาทีนี้ฉันได้เหลือแค่เพียงตัวคนเดียวบนโลกใบนี้อย่างเป็นทางการแล้ว...
‘ฮืออออออ ~~ ทำไมพ่อถึงต้องทิ้งหนูไปอีกคนด้วยล่ะคะ ทำไมไม่รอดูความสำเร็จของหนูก่อน ทำไมกันค่ะ หรือหนูเป็นเด็กไม่ดีเหรอ พ่อกับแม่ถึงได้ทิ้งหนูไปกันหมด ฮือออออ ~~’ ฉันพร่ำพรรณนาออกมาอย่างสุดจะอัดอั้น ภาพความทรงจำตั้งแต่ครั้งพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกกัน ได้ฉายวนมาให้ฉันได้รับรู้ว่าความจริงอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง
‘ฮืออออออ ~~ ลินยังน้อยใจพ่ออยู่นะคะ พ่อต้องกลับมาหาลินซิ กลับมาง้อลินเหมือนเมื่อตอนลินเด็ก ๆ ก่อนซิ กลับมาพาลินไปกินไอติมอร่อย ๆ ก่อนซิค่ะ ฮึก...ฮึก ฮือออออ ~~’ ฉันพรั่งพรูความรู้สึกที่มีข้างในออกมาอย่างไม่สนว่าใครจะมองด้วยสายตาแบบไหน เพราะถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันอาจจะคิดว่าหัวใจของตัวเองด้านชาในเรื่องครอบครัวไปแล้ว แต่พอได้มาเจอกับสถานการณ์การสูญเสียพ่อขึ้นมาเข้าจริง ๆ มันก็ทำให้ฉันได้รับรู้ว่าที่แท้จริงแล้วฉันนั้นยังรักพ่อของฉันมาก มากจนเกินกว่าจะทำตัวให้ไร้ความรู้สึกกับการที่ต้องเสียท่านไปได้
ป้านีที่ทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยใจที่ปวดร้าว เธอที่เข้าใจถึงสถานการณ์ของเด็กสาวตรงหน้าทุกอย่างถึงกับอดที่จะแสดงความหดหู่ต่อสิ่งที่ได้พบได้เห็นในวันนี้ไม่ได้ นั่นก็เพราะเธอเองก็รับรู้เรื่องราวของเด็กสาวมาโดยตลอด นับตั้งแต่เด็กคนนี้ยังตัวกะเปี๊ยกเล็กนิดเดียวจนบัดนี้เติบใหญ่โตเป็นสาว อีกทั้งยังรู้เรื่องที่แม่ของเด็กสาวทิ้งไป รวมถึงเรื่องราวในรักครั้งใหม่ของคนเป็นพ่อที่เกิดขึ้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกห่างเหินกัน
ความรู้สึกสงสารเข้าเกาะกินหัวใจหญิงวัยกลางคนอย่างป้านีทันที นั่นก็เพราะเธอเองรู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวการสูญเสียในครั้งนี้
ย้อนไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ~~
ป้านีที่ได้ยินเสียงทะเลาะดังออกมาจากบ้านของเด็กสาว ด้วยความอยากรู้บวกกับเป็นห่วงคนในบ้านตามประสาบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้เธอแอบออกมาดูและได้พบกับความจริงที่ว่า ยุพินเมียใหม่ของพ่อเด็กสาวที่เธอรักและเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยหล่อนแอบ...เล่นชู้ อีกทั้ง ณ เวลานั้นก็ดันประจวบเหมาะกันกับที่พ่อของเด็กสาวกลับมาเห็นพอดี ทำให้เขาที่บันดาลโทสะขับรถไล่ตามชู้ที่ขับมอเตอร์ไซค์หนีออกไป จนตัวเองต้องมาพบกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้
หญิงวัยกลางคนได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างนึกสงสารในชะตากรรมของเด็กสาว ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปประคองร่างอันสั่นเทา แล้วโอบกอดปลอบประโลมให้ความอุ่นใจ
‘ไม่เป็นไรนะหนูลิน...พ่อเขาไปสบายแล้วนะ’ ป้านีเอ่ยปลอบฉันพร้อมกับลูบหัวอย่างแผ่วเบา แต่ทว่า...คำปลอบนั้นไม่อาจทำให้ความเจ็บปวดในหัวใจของฉันลดน้อยลงไปได้เลย
‘ฮึก ฮึก ป้านีค่ะ ลินไม่ดีตรงไหนเหรอคะ หรือว่าลินยังเป็นเด็กดีไม่พอเหรอคะ ทำไมทุกคนถึงทิ้งลินไปกันหมดเลย ฮึก...ฮืออออ ~~’ ฉันที่ยังคงเสียใจและนึกสงสัยในตัวเองว่าฉันมันเป็นนังเด็กตัวซวยหรือยังไงกัน เพราะนอกจากความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ที่แม่ที่ทิ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องมาเสียพ่อไปอีกคน
‘ไม่คิดแบบนี้นะลูก...หนูลิแพศยา’ ป้านียังคงเอ่ยปลอบด้วยเสียงอันอบอุ่นแต่สั่นเครือพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความสงสารเอาไว้ไม่ให้ไหล เนื่องจากแม้ว่าตัวเองจะรู้สึกสงสารเด็กสาวตรงหน้าจับใจเพียงใด แต่เธอก็จะไม่ร้องไห้ออกมาจนทำให้เด็กสาวต้องเสียขวัญไปมากกว่านี้
จากนั้นไม่นาน ร่างอวบอั๋นของยัยแม่เลี้ยงแพศยาที่แสนจะร้ายกาจคนนั้นก็ได้มาถึงโรงพยาบาลแล้วทำการแสดงทันที
นังแม่เลี้ยงตัวร้ายเริ่มทำการแสดงด้วยท่าทีร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ เธอแสดงจนใครต่อใครที่ไม่รู้ความจริงต่างมองมาด้วยสายตาสงสาร แต่ทว่า...มารยาที่เธอแสดงออกมานั้น กลับไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจเท่ากับที่ด้านข้างของเธอดันมีผู้ชายหน้าละอ่อนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนกำลังโอบประคองร่างยั่วยวนนั้นอยู่ จากนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่พยาบาลก็ดังขึ้น...
‘ใครเป็นญาติผู้เสียชีวิตค่ะ’ พยาบาลสาวเอ่ยถามพร้อมกับมองกวาดสายตาไปทั่ว
‘ฉันค่ะ / ฉันค่ะ’ ทั้งฉันและนังผู้หญิงมารยาร้ายกาจต่างพูดออกมาพร้อมกันทันที
และก่อนที่ฉันจะทันได้ชี้แจงอะไรออกไปนั้น ผู้หญิงที่มีฐานะเป็นแม่เลี้ยงของฉันก็ได้เผยความจริงที่ทำให้ฉันถึงกับช็อกยิ่งกว่าถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ