ฉากนั้นเจาะเข้าไปในหัวใจของเมเดลีนเธอรีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเอโลอิสที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น “แม่คะ! แม่!”เธอไม่รู้ว่าเอโลอิสแค่เป็นลมหรือว่าแย่กว่านั้น แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ออกมาเลยตอนนี้เอโลอิสถูกมัดด้วยเชือกที่มัดแน่นจนมีรอยฟกช้ำบนแขน ใบหน้าของเธอมีสิ่งสกปรกและฝุ่นเกาะอยู่เป็นชั้น ๆ ในขณะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด สภาพดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก“แม่! ตื่นสิคะแม่ เอวลีนอยู่ที่นี่ แม่อยากเจอหนูใช่ไหม?”เมเดลีนคลายเชือกอย่างรวดเร็วและอุ้มเอโลอิสไว้ ก่อนที่จะวางเธอพิงกำแพง“แม่คะ”เธอร้องเรียกอีกสองสามครั้ง แต่เอโลอิสไม่ตอบสนองเลยเมเดลีนสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นชายคนนั้นเปิดกระเป๋าแล้วจ้องเงินด้วยดวงตาที่เป็นประกายโลภมาก“คุณทำอะไรกับแม่ฉัน ทำไมแม่ถึงไม่ตื่นเลย!” เมเดลีนถามอย่างฉุนเฉียวชายคนนั้นคาบบุหรี่ไว้ในปากขณะที่ตอบอย่างเหยียดหยาม “นังบ้านั่นเอาแต่คร่ำครวญหาลูกสาว หรืออะไรสักอย่าง มันน่ารำคาญ ฉันก็เลยปิดปากมันด้วยยานอนหลับก็แค่นั้นแหละ”ได้ยินอย่างนั้นเมเดลีนก็กำหมัดแน่น เธอมองชายคนนั้นนับเงินอย่างมีความสุข ก่อนจะก้มลงกระซิบที่เข็มกัดดอกกุหลาบที่คอเสื้อ “คุณได้ยิน
“ฉันอยู่ตรงนี้ แกต้องการอะไรอีก ถ้ามันคือเงินก็เอาไปซะ”เขาตะลึงและไม่เคยคาดคิดว่าเมเดลีนจะไม่กลัวเขาเลยเขาชื่นชมความกล้าหาญของเธอ แต่พฤติกรรมของเมเดลีนต่างหากที่กำลังบั่นทอนความรู้สึกและทำให้เขาโกรธ “เธอคงคิดว่าฉันเป็นคนขี้ขลาดจริง ๆ ใช่ไหม? ฉันจะทำให้เธอเสียใจเอง!”เขาจับใบมีดแน่น และขยับเพื่อจะแทงเอโลอิสด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วของเมเดลีน เธอจึงเข้าไปคว้าข้อมือของชายคนนั้นไว้“อย่าทำร้ายแม่ฉัน!” ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวเธอชายคนนั้นตกตะลึงก่อนที่จะดึงตัวเองออกจากการเกาะกุมของเมเดลีนแล้วยกเท้าขึ้นเตะเอโลอิสขณะที่ยังไม่ได้สติ เอโลอิสก็ล้มลงหัวกระแทกกับพื้นอย่างแรง“แม่!”เมเดลีนวิ่งไปหาเธออย่างกระวนกระวาย ก่อนจะเห็นเอโลอิสหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับว่าเจ็บปวดมาก เธอเพิ่งจะได้แตะตัวแม่ของเธอ ทันใดนั้นเมเดลีนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังคอก่อนจะหมดสติไปในวินาทีต่อมา ร่างบางล้มลงข้าง ๆ เอโลอิสชายคนนั้นโยนไม้เบสบอลทิ้งเมื่อเห็นว่าเมเดลีนหมดสติไปแล้ว เขานั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเธอด้วยท่าทางหื่นกระหาย มือสากดึงร่างของเธอเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว“มาดูกันว่าจะดื้อไปได้อีกสักแค่ไหน!” ชายคนนั้นห
เมเดลีนเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตัวเองและลุกขึ้นยืนทันที“นี่ ทำไมคุณถึงไม่สนใจฉันเลย?” เอโลอิสคว้ามือลูกสาวอย่างอารมณ์เสีย เธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลัง“ทำไมหนูถึงจะไม่สนใจแม่ล่ะคะ?” เมเดลีนจับมือผู้เป็นแม่แน่น หัวใจของเธอปวดร้าวเมื่อเห็นสิ่งสกปรกและฝุ่นผงบนใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเอโลอิส เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่หมดสติ เธอเห็นเพียงเอโลอิสที่ฟื้นแล้วส่วนผู้ชายคนนั้นก็หมดสติอยู่บนพื้นข้างประตูหญิงสาวไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้อีก เมื่อเห็นเปลวเพลิงที่เริ่มลุกลามมาสักพักแล้ว เธอจึงจับมือเอโลอิสและเดินไปที่ทางออกเปลวไฟที่กระจายตัวได้ขวางทางพวกเขาเอาไว้ และเมเดลีนก็สำลักควันไฟพวกนั้นตอนนั้นเองที่เอโลอิสเริ่มจะสังเกตเห็นว่าบ้านกำลังไฟไหม้ เธอมองดูเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำอย่างงุนงงราวกับคนหลงทาง“แม่คะ! แค่ก เราต้องไปแล้ว!” เมเดลีนบีบมือเอโลอิส และพยายามหนีออกทางประตู แต่กองขยะและกล่องใส่อาหารกลับมีส่วนทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว“แค่ก แค่ก!”เมเดลีนเริ่มไออย่างรุนแรงและรู้สึกอึดอัด ก่อนที่จู่ ๆ เธอจะได้ยินเสียงกระแทกอย่างรุนแรงดังมาจากข้างนอกแล้วตามมาด้วย
เธอมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นคือต้องช่วยเมเดลีนเมเดลีนไม่คิดว่าเอโลอิสจะมีแรงเยอะเป็นอีกเท่าตัวเพื่อที่จะเข้าไปช่วย ‘เธอ’ร่างบางเดินเซถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะชนเข้ากับชั้นหนังสือข้างตัวชั้นหนังสือแกว่งไปแกว่งมาราวกับว่ามันกำลังจะล้มลงการชนนั้นทำให้เธอรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่เมเดลีนไม่มีเวลามากังวลเกี่ยวกับตัวเองนัก เพราะขณะนี้เธอเห็นผู้เป็นแม่กำลังก้าวเข้าไปในกองไฟแล้ว“แม่!” เธอร้องออกมาแล้ววิ่งไปกอดเอโลอิสไว้ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบหน้า“ดูหนูสิ แม่ หนูคือเอวลีนจริง ๆ!” เมเดลีนกอดเอโลอิสแล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เอวลีนของฉัน...” เอโลอิสตกตะลึงไปชั่วครู่ ขณะที่จ้องหน้าเมเดลีนอย่างว่างเปล่า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามมากมาย “ไม่ คุณไม่ใช่เอวลีน เธอไม่เคยคุยกับฉันเลย เธอเกลียดฉัน คุณไม่ใช่... แค่ก แค่ก แค่ก คุณไม่ใช่...”เมเดลีนโอบแขนรอบตัวเอโลอิส “เอวลีนเลิกเกลียดแม่ไปนานแล้วค่ะ หนูรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเอวลีน เธอจะไม่โทษคุณอีก”“เอวลีนไม่โทษฉันแล้วเหรอ?” ราวกับว่าคำพูดของเมเดลีนจะทะลุไปถึงเอโลอิส เอโลอิสยกมือขึ้นแตะแก้มที่เปื้อนน้ำตาของลูกสาว พลางขมวดคิ้ว “เธอไม่โ
“ผมอยู่นี่ ลินนี่” เจเรมี่นั่งลงบนเตียงและโอบไหล่ของเมเดลีนเพื่อปลอบโยน “ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ลินนี่ ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ”หัวใจที่เต้นแรงของเมเดลีนค่อย ๆ สงบลง เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคยของอีกฝ่ายเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะหมดสติ เธอก็กำมือแน่น แววตาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ“ชั้นหนังสือหล่นลงมาและแม่ถูกทับเพราะช่วยฉัน” เมเดลีนโยนผ้าคลุมออกและลงจากเตียงเจเรมี่พุ่งไปขวางเอาไว้ “จะไปไหนลินนี่? ร่างกายคุณยังฟื้นตัวไม่เต็มที่”“ฉันรู้ว่าแม่ก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน! พาฉันไปที่นั่นทีเจเรมี่ ฉันอยากดูให้แน่ใจว่าแม่จะไม่เป็นไร?” สีหน้าของเธอตื่นตระหนกและหวาดกลัวคิ้วเข้มของเจเรมี่ขมวดเข้าหากัน “แม่ไม่เป็นไรลินนี่ แม่สบายดี คุณพักผ่อนก่อนโอเคไหม?”“ฉันจะพัก ฉันสัญญา แต่ฉันต้องรู้ก่อนว่าแม่เป็นยังไง?” เมเดลีนยืนหยัดในขณะที่จับมือเจเรมี่ด้วยท่าทีจริงจัง “พาฉันไปที่นั่นทีเจเรมี่”ถึงอย่างนั้นเจเรมี้ก็ยังลังเลราวกับว่าสิ่งที่เธอขอนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จได้เมเดลีนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนไปแล้วปล่อยมือเจเรมี่ทันที “แม่อา
เมเดลีนยิ้มก่อนจะขมวดคิ้ว“แล้วผู้ชายที่ลักพาตัวแม่ล่ะ?”“ตอนนี้ตำรวจนำตัวเขาไปที่ห้องขัง เขาสารภาพทุกอย่างแล้ว”“เขาบอกว่าอะไรคะ?” เมเดลีนถามต่อเจเรมี่ลูบแก้มของหญิงสาวด้วยความอ่อนโยนแล้วตอบ “เขาบอกว่าเห็นแม่ของคุณข้างถนนตรงบริเวณใกล้ ๆ ซากปรักหักพังของคฤหาสน์มอนต์โกเมอรี เขาจำแม่คุณได้ก็เลยหลอกให้แม่ตามเขาไป ก่อนจะโทรเรียกค่าไถ่กับเรา”เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เจเรมี่ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย“ผมตัดสินใจผิดที่ปล่อยให้คุณเข้าไปคนเดียว ผมสามารถจัดการไอ้เลวนั่นได้ด้วยตัวผมเอง แต่สุดท้ายผมก็ทำให้คุณต้องตกอยู่ในอันตรายแบบนั้น”เขากุมใบหน้าของเธอ แววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “ผมกลัวมากว่าคุณจะเจ็บอีก ลินนี่”เมเดลีนเงยหน้าขึ้นมองดวงตาอันน่าหลงใหลคู่นั้นด้วยความรู้สึกเอ็นดูเธอโน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างไม่ลังเล และรู้สึกว่าน้ำหนักที่อยู่ในใจได้เบาบางลง“ฉันดีใจที่มีคุณนะ เจเรมี่”เจเรมี่ยิ้มแล้วลูบหัวเมเดลีน “เด็กโง่”เธอยิ้มด้วยความโล่งใจ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นในที่สุดเอโลอิสก็ฟื้นขึ้นมา อาการของเธอก็ยังคงไม่ดีนัก สิ่งที่เอโลอิสทำได้คือลืมตาขึ้นมามอง ทว่าไม่ส
เมเดลีนจับพวงมาลัยแน่นขณะมองดูใบหน้าคุ้นเคยซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยกำลังเดินผ่านไป...ปรี๊น ปรี๊น ปรี๊น!เสียงรถที่บีบแตรเร่งดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เมเดลีนได้สติกลับมา แต่เมื่อมองไปเบื้องหน้าอีกครั้งเธอก็ไม่เห็นใครแล้ว‘ฉันคิดไปเองเหรอ?’เมเดลีนตกอยู่ในความงุนงงเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น และเหยียบคันเร่งต่อเมื่อพบกับเจเรมี่ เธอก็ได้รู้ว่าเขาจองตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางพักผ่อนในวันหยุดเอาไว้ และพวกเขาจะเดินทางกันในวันพรุ่งนี้เพราะเข้าใจเจตนาของเจเรมี่ เมเดลีนจึงไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้ของเขาเมื่อมองย้อนกลับไป เธอและเจเรมี่ไม่เคยไปฮันนีมูนที่ดี ๆ เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขามักจะเจอแต่เรื่องการแยกจากและความวุ่นวายเมื่อตัดสินใจที่จะเดินทาง ทั้งเมเดลีนและเจเรมี่ก็ได้ไปเยี่ยมเอโลอิสที่โรงพยาบาลด้วยกันพวกเขากำลังจะเดินทางในวันพรุ่งนี้ ทำให้เมเดลีนเป็นห่วงแม่เธอมาก“ไปพักผ่อนกับเจเรมี่เถอะเอวลีน พ่อจะดูแลแม่ของลูกเป็นอย่างดี ไม่ต้องกังวลแล้วไปพักผ่อนเถอะนะ” ฌอนตบไหล่ของเมเดลีนเบา ๆ และสัญญาเพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวลเมเดลีนจึงวางใจและไว้ใจให้ฌอนช่วยดูแล
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมร่างสูงของผู้คุมที่เดินเข้ามา “มีคนมาขอพบคุณ ไรอัน”ไรอันค่อย ๆ ลืมตาสีเทาที่เต็มไปด้วยประกายเมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาไม่คิดว่าจะมีใครมาเยี่ยมเขาอีก พ่อและแม่ของเขามาเยี่ยมงั้นเหรอ?‘จะใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่พ่อแม่ของฉันเอง’ เขาคิดกับตัวเอง แต่ใบหน้าที่ไม่เคยคาดคิดก็ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบเธออีกเขายังคิดว่าการเจอกันในวันนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาไรอันกำลังจะพูด แต่ได้ยินผู้หญิงตรงหน้าเย้ยหยันเสียก่อน และทำให้ความประหลาดใจรวมถึงความหวังของไรอันต้องกลายเป็นผุยผง“ในฐานะที่เป็นคนกำหนดอนาคตของฉัน ไรย์ คุณไม่คิดเลยเหรอว่าอนาคตของตัวเองจะจบลงแบบนี้?”หญิงสาวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ปรากฎรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่งดงามของเธอ“ฉันเสียใจจริง ๆ ไรย์ ทำไมคุณถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ฉันจะอยู่ไปเพื่ออะไร ถ้าคุณจะต้องอยู่ในที่แบบนี้ไปตลอดชีวิต?”ไรอันจ้องมองความงามอันไร้ที่ติตรงหน้า แล้วมองออกไปอีกทางอย่างเมินเฉย“ออกไป ทุกอย่างจบแล้ว”คิ้วที่บอบบางของคนฟังขมวดเข้าหากันอย่างขุ่นเคือง “ค